Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 259

ตอนที่ 259 รุกหนึ่งก้าว ถอยหนึ่งก้าว

รอยยิ้มบนใบหน้าของเถ้าแก่ไฉฝูหลินแห่งร้านสินค้าท่งไห่ไม่มีให้เห็นเหมือนเคย ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาด้วยสีหน้าดำคล้ำ ที่น่าสนใจก็คือ คนเฝ้าประตูที่คอยนำทางเขาเข้ามาก็สีหน้าดำคล้ำไม่แพ้กัน ปากก็บ่นไม่หยุด

“เถ้าแก่ไฉ ใต้เท้าเราไม่ค่อยพอใจ ท่านบุกเข้ามาเช่นนี้ พวกข้าน้อยทำอะไรไม่ได้ ปกติท่านก็มิได้ไร้ธรรมเนียมเช่นนี้นี่!”

ไฉฝูหลินไม่รับคำอะไร ตลอดทางมาคนเฝ้าประตูก็เอาแต่พูดเช่นนี้ไปมาหลายรอบ ในที่สุดไฉฝูหลินก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว หยุดเดินหันมากล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า

“ค่าผ่านประตูก็ให้พวกเจ้าไปไม่น้อยแล้ว ครั้งนี้มาเรื่องด่วนไม่ได้พกเงินมา ก็มาชักสีหน้าใส่ข้างั้นหรือ?”

“เถ้าแก่ไฉกล่าวเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ ธรรมเนียมก็ต้องเป็นธรรมเนียม….”

กล่าวไม่ทันจบ ไฉฝูหลินผู้นั้นก็ยกเท้าขึ้นถีบไปทีหนึ่ง โดนคนเฝ้าประตูผู้นั้นล้มคว่ำลงกับพื้น คนเฝ้าประตูถึงกับคลานอยู่กับพื้น รอจนไฉฝูหลินเดินเข้าไปเอง เขาจึงได้ตะโกนดังอย่างเดือดดาลว่า

“เจ้าคนแซ่ไฉ เจ้ากล้าลงมือกับข้าในจวนนายท่าน วันหน้าดูซิว่าจะยังกล้าก้าวข้ามประตูมาอีกหรือไม่”

ไฉฝูหลินเดินไปถึงลานด้านหน้า ฟานต๋ากับว่านเต้าเดินออกมาจากในห้อง ลงบันไดมารับ สองคนล้วนอยู่ในชุดขุนนาง พ่อค้าแม้มีเงิน แต่สถานะทางสังคมก็ต่ำที่สุด ยามนี้ไฉฝูหลินควรจะโขกศีรษะคำนับ บังเอิญ คนเฝ้าประตูผู้นั้นวิ่งตามมาทันพอดี จึงชิงฟ้องด้วยสีหน้าโดนรังแกว่า

“นายท่าน เถ้าแก่ไฉรังเกียจข้าน้อยสุภาพไม่พอ ด่าทอใต้เท้าว่าไม่รู้จักอบรม ยังลงมือกับข้าน้อยด้วย”

พอเห็นฟานต๋ากับว่านเต้าออกมารับ ไฉฝูหลินแม้แต่มือก็ไม่ประสานคำนับ เดินเข้าไปในห้องพลางกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“เจ้าสุนัขที่เลี้ยงไม่อิ่มเช่นนี้ หากเป็นบ่าวของข้า ย่อมต้องตีให้ขาหัก โยนออกไปรอความตายบนท้องถนน!”

ไฉฝูหลินเดินผ่านไป ว่านเต้ารีบหันหลังตามไปติดๆ ฟานต๋าอึ้งไป ชี้ไปทางคนเฝ้าประตูที่เห็นว่าท่าจะไม่ได้การแล้ว ตะโกนดังขึ้นว่า

“พวกเจ้ามานี่ จับสุนัขน่าขายหน้าตัวนี้ตีขาให้หักแล้วโยนออกไปทางประตูเหนือ!!”

กล่าวจบก็ไม่สนใจคนเฝ้าประตูที่เข่าอ่อนทรุดลง หันหลังรีบวิ่งตามเข้าไป

ด้านนอกมีคนมาจับตัวคนเฝ้าประตูออกไป เสียงตะโกนดังของคนเฝ้าประตูร้องขอชีวิตดังเข้ามาในห้อง กลับไม่มีผู้ใดสนใจ

พอไฉฝูหลินเข้ามาถึงกลับไม่นั่งลง พอเขาเข้ามา ขุนพลหลี่ต้าเหมิ่งที่นั่งอยู่ก็รีบลุกขึ้นประสานมือทักทาย

“เถ้าแก่ไฉ เป็นเรื่องเช่นนี้ ควรทำอย่างไร พวกข้าคิดไปคิดมาก็ยังไม่มีหนทางรับมือ นี่ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรจริงๆ !”

ขันทีว่านเต้าเข้ามาในห้องก็กล่าวอย่างร้อนใจ ไฉฝูหลินสีหน้าดำคล้ำกลับไม่รับคำ รอจนฟานต๋ารีบร้อนเข้ามาถึง ไฉฝูหลินจึงได้เอ่ยขึ้นว่า

“ทำอย่างไร ข้าเองก็ไร้หนทาง ตามปกติเหนือขุนนางยังมีขุนนาง ผู้ที่มาที่นี่เหลวไหลไม่ฟังอย่างไร ก็หาหัวหน้าเขามาจัดการ ก็ไม่เรื่องอะไรให้มากความอีก ชาวนาวาสุคนธ์หกพัน ยังมีปากท้องบนแม่น้ำ หากแตะต้องพวกเขา อย่างน้อยที่สุดก็เกิดจลาจลเป็นแน่ กระทบต่อการขนส่งทางน้ำ ก็เป็นเรื่องใหญ่ ผู้ใดก็ไม่อยากแหย่รังผึ้ง ลูบจมูกไปมาก็จากไป แต่ใต้เท้าน้อยผู้นี้เบื้องหลังกลับเป็นถึงโอ…”

ขุนพลหลี่ขัดขึ้นทันทีว่า

“ทหารของข้าสามารถไปที่เขตจิ้งไห่หรือไม่ก็เขตเป่ยถังในเทียนจิน ก่อความวุ่นวายในเมือง ขอเพียงก่อนกองทหารมาถึงให้รีบสลายตัวไปก็พอ”

“ง่ายอย่างนั้นที่ไหน มีเรื่องวุ่นวายขึ้นมาตอนนี้แล้วอย่างไร ในมือเขาตอนนี้มีคนเกือบสามพัน ในนั้นยังมีทหารพันกว่านายอยู่นอกเมืองนั่น ชาวนาวาสี่ทิศต้องใช้เวลาเท่าไรรวมตัว มิใช่ส่งเนื้อเข้าปากเขาหรืออย่างไร เฮ้อ คิดไปคิดมา เจ้าโจรน้อยนี้มาเทียนจินทำแต่ละอย่าง แต่ละก้าวล้วนอยู่ที่แจ้ง ล้วนถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติ ทำให้พวกเจ้าเอาผิดไม่ได้ ก้าวเดินทีละก้าวจึงมาถึงสถานการณ์เช่นวันนี้ เขาเป็นขุนนาง เขาใช้กฎหมาย เขาเดินรุกก้าวหนึ่ง พวกเราก็ได้แต่ถอยก้าวหนึ่ง”

ได้ยินไฉฝูหลินอธิบายยืดยาว ฟานต๋าก็รู้สึกหมดแรง ล้มพิงพนักเก้าอี้กล่าวว่า

“เช่นนั้นใช่ว่าอะไรก็ทำไม่ได้แล้วหรือ ให้เขาก้าวทีละก้าวบีบเข้ามาเช่นนี้”

“แน่นอนต้องทำอะไรสักอย่าง เรื่องเงินค่าปักธูปในและนอกเมืองเคยแพร่ออกไปภายนอกหรือไม่?”

“ไม่ขอรับ หลายคนที่คิดฟ้องร้องก็ล้วนเกิดเรื่องกันไปหมด”

ได้ยินคำตอบฟานต๋า ไฉฝูหลินก็ก้มหน้าเดินไปอีกสองก้าว ก่อนจะเงยหน้าเอ่ยเสียงเยียบเย็นว่า

“เช้านี้ตอนมาก็ได้ยินว่า ร้านค้าไม่ปักธูปก็ต้องแขวนป้ายสงบสุขอะไรนั่น เงินที่เก็บก็เพียงแค่หนึ่งในสี่ของค่าปักธูปเรา องครักษ์เสื้อแพรเก็บเงินชาวบ้าน นี่มันธรรมเนียมอะไร ใต้เท้าฟาน ว่านกงกงพวกท่านส่งสารไปฟ้องได้ ส่งข่าวนี้ไปเมืองหลวง ว่าพวกองครักษ์เสื้อแพรขูดรีดประชา เรื่องพวกนี้แต่ไรมาก็เป็นเรื่องที่ขุนนางตรวจสอบชอบที่สุด ให้พวกเขาทำเรื่องนี้ให้ดัง เรื่องก็ย่อมจัดการได้ง่ายเอง”

ฟานต๋าพยักหน้า ขันทีว่านเต้าข้างๆ ก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“เถ้าแก่ไฉ ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง ประชาเกิดจลาจล ตั้งแต่บนลงล่างล้วนหวาดกลัว สองปีก่อนในวังส่งคนไปเมืองฉางโจว แต่ละแห่งล้วนเก็บภาษีกันรุนแรง ผลปรากฏว่าร้านค้าแต่ละร้านประท้วงวุ่นวาย เจ้าตัวซวยนั่นถูกเรียกกลับเมืองหลวงทันที ถูกส่งไปทำงานที่หน่วยซักล้าง หรือให้นาวาสุคนธ์ก่อจลาจลสักครั้ง?”

“ไม่ได้ ตอนนี้ช่วงเรือทะเลกำลังเข้ามามาก เรือชาวฮกเกี้ยนไม่อาจเสียเวลาชักช้า มิเช่นนั้นก็จะเกิดเรื่องใหญ่ พวกเรารับมือไม่ไหว”

ขณะที่กล่าวอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเสียงพ่อบ้านรายงานดังเข้ามาว่า

“นายท่าน สารด่วนส่งมาจากกองคุมกำลังพล บอกว่าต้องส่งให้ถึงมือนายท่าน!”

ฟานต๋ารู้สึกงงเล็กน้อย รีบรับคำ ขณะนั้นเองประตูก็เปิดออก เจ้าหน้าที่คนหนึ่งวิ่งเข้ามา โขกศีรษะคำนับอย่างนอบน้อมก่อน จากนั้นก็ส่งสารให้ ยังกล่าวอีกว่า

“ใต้เท้าฟาน มีสารด่วนมาจากเมืองเต๋อโจว ใต้เท้าเรารีบส่งมาให้ท่านทันที ขบวนเรือของมหาอำมาตย์จางออกจากเมืองซานตงแล้ว น่าจะอีกสามวันก็จะมาถึงเทียนจิน”

ฟานต๋าเปิดสารอ่านรอบหนึ่ง ก็เงยหน้าบอกกับพ่อบ้านไปว่า

“มอบเงินให้สองตำลึง”

คนส่งสารออกไป ประตูปิดลง บรรดาคนในห้องต่างมองกันยิ้มเฝื่อน ฟานต๋าพับสารในมือ กล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า

“ว่านกงกง เรื่องตรวจสอบเรือบนแม่น้ำก็หยุดๆ ไปก่อน อย่าได้ขวางเส้นทางกลับเมืองหลวงของท่านจาง ขุนพลหลี่ ใช่ว่าเคยกล่าวว่าครั้งนี้แม่ทัพชีจะมารับด้วยตนเองหรือ?”

ไฉฝูหลินสีหน้าเผยรอยยิ้ม ตบมือดังก่อนจะเอ่ยว่า

“เยี่ยม! ใต้เท้าจางกลับมา เจ้าโจรนั่นก็จะสงบได้สองวัน รอใต้เท้าจางกลับเมืองหลวง พวกขุนนางตรวจสอบก็จะทำเรื่องใหญ่ให้ดังกระจาย ใครก็ควรรู้ว่าขุนนางใหญ่ทุกคนในราชสำนักไม่รู้สึกดีกับหวังทงนี่เท่าไร พอได้เห็นพฤติกรรมชั่วของเจ้าโจรน้อยนั่นที่เทียนจินแล้วล่ะก็…”

********

ทุกคนในเมืองเทียนจินล้วนจิตใจหวาดหวั่น คนในเมืองและนอกเมืองหลายปีนี้ล้วนรู้ดีว่ามีข้อห้ามหนึ่ง นั่นก็คือห้ามล่วงเกินนาวาสุคนธ์ ไม่อย่างนั้นจะบ้านแตกสาแหรกขาด

แต่พอเช้าขึ้นมา ในเมืองก็เกิดเหตุวุ่นวายที่ใช้เวลาไม่นานนักในเมืองก็ไม่เห็นร่องรอยของนาวาสุคนธ์แม้แต่น้อย ทุกคนถูกมองเป็นพวกไร้ความสามารถ เพียงแต่ช่วงเช้าเท่านั้นองครักษ์เสื้อแพรที่ไม่เคยอยู่ในสายตาก็สามารถควบคุมเมืองทั้งเมืองได้อย่างรวดเร็ว

ทุกคนหลายปีนี้ล้วนชิน แต่เช้ามาว่างเปล่าเช่นนี้ ทุกคนย่อมรู้สึกแปลกๆ แต่ลองคิดดูให้ดีแล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าไม่ดี

ลดนักเลงหาเรื่องประชาชนไปได้ ร้านค้าก็ไม่ต้องจ่ายค่าธูปที่สูงลิ่ว ประโยชน์มากมาย จะมีผู้ใดคิดว่าเรื่องนี้ไม่ดีกัน

“ใต้เท้า ในเมืองมีพวกนักเลงถือโอกาสวางเพลิงปล้น จับได้ 7 คน จัดการอย่างไร ขอใต้เท้าสั่งการ!”

หัวหน้าค่ายหนึ่งรายงานหวังทง

ตอนเช้าองครักษ์เสื้อแพรเข้ากำแพงเมืองมารักษาการบนถนนหลายสาย แม้กล่าวว่าไม่รบกวนชาวบ้านเดือดร้อน แต่การลงมือด้วยมีดดาบก็ยากที่จะไม่ทำให้คนรู้สึกหวาดหวั่น

กลับมีนักเลงรู้สึกกำลังชุลมุน จึงได้กล้าจับอาวุธออกปล้นวางเพลิง แต่เรื่องเช่นนี้หวังทงคาดไว้ก่อนหน้าแล้ว ทหารม้าตระเวนตรวจตราก็พบเหตุจึงได้เข้าจับกุม

ทุกคนล้วนรู้จักดูทิศทางลม จับได้สองสามรายแล้ว ที่เหลือก็เลิก พากันอยู่ในบ้านเงียบๆ ไม่กล้าออกมา

“หักมือหักขา ให้ม้าลากไปที่กองคุมกำลังพลส่งให้เจ้าหน้าที่ไป เรื่องชาวบ้านพวกนี้ให้เขาจัดการไป!”

หวังทงนั่งอยู่ในห้องโถงกลางก้มหน้าอ่านเอกสาร ตอบไปอย่างไม่สนใจนัก หัวหน้าค่ายที่ยืนอยู่นั้นก็ไม่สนใจว่าหวังทง ออกคำสั่งอยู่ในอารมณ์ไหน คำนับเสร็จก็ก้าวเท้ายาวๆ ออกไปทันที

เห็นหวังทงท่าทางไม่ปกติ ไช่หนานข้างๆ ก็ถามอย่างระมัดระวังว่า

“ใต้เท้า ข่าวจากกองคุมกำลังพลมาว่า ใต้เท้าจางอีกสามวันจะมาถึงเทียนจิน พวกเราทางนี้ต้องเตรียมอะไรหรือไม่?”

“ไม่ต้อง ใต้เท้าจางไม่รู้สึกดีอะไรกับข้า เห็นหน้ากันทำไม บัญชีป้ายสงบสุขก่อนตะวันลับต้องจัดการให้เสร็จ คิดให้ได้ว่าสามเดือนจะเก็บเงินได้เท่าไร แล้วประทับตรากองพันเรา ต้องเร็ว!”

ฟังวาจาเอาจริงเอาจังของหวังทงแล้ว ไช่หนานก็รีบลุกขึ้นรับคำ ยังไม่ทันได้นั่งลง หวังทงก็สำทับอีกว่า

“ทุกค่ายที่เข้าร่วมปฏิบัติงานนี้ตามตัวมาสองสามคน บันทึกคำให้การวันนี้ เจ้าจะจดหรือหาคนมาจดก่อนก็ได้ นี่ก็ต้องทำให้เสร็จก่อนตะวันลับฟ้าเหมือนกัน”

กานสั่งการเกรงว่าจะเร่งร้อนเกินไป ไช่หนานหรี่ตามองฟ้าด้านนอก รีบกล่าวอำลาออกจากห้องไปจัดการ หวังทงตบโต๊ะ ลุกขึ้นตะโกนออกไปด้านนอก

“เตรียมม้า เตรียมม้า ไปค่ายนอกเมือง!!”

********

“เรื่องที่ได้ทำไปในเมืองวันนี้ ข้าได้ยินพวกถานเจียงนั่นเล่าแล้ว เจ้าจัดการได้ไม่เลว ทหารก็ฝึกได้ดี”

อวี๋ต้าโหยวจิบชาไปคำหนึ่ง ก็หัวเราะชมเชยยกใหญ่ หวังทงยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มกล่าวว่า

“ในเมืองก็แต่พวกโจรสวะ ทหารเราฝึกมาแม้แต่พวกนี้ยังเก็บกวาดไม่สะอาด เช่นนั้นมิสู้ไปโดดทะเล”

“เจ้าไม่นั่งสั่งการในเมือง รีบร้อนมาทำอะไรที่นี่ อย่ามัวแต่เล่นฝีปากกับข้า บอกมา!”

“อีกสามวันใต้เท้าจางจะมาถึงเทียนจิน แม่ทัพชีก็จะมารับด้วย ใต้เท้าอวี๋กับแม่ทัพชีคุ้นเคยกันดี ช่วยขอร้องแทนข้าน้อยสักเรื่องได้หรือไม่?”

“เรื่องอะไร?”

“ใต้เท้าอวี๋รู้ดีว่าข้าน้อยกำลังหลอมปืนใหญ่ มีแต่ปืนใหญ่ไม่มีพลยิง จึงอยากขอยืมพลยิงสักกองจากแม่ทัพชี เรื่องนี้ต้องขอให้ใต้เท้าอวี๋ช่วยพูดสักหน่อย!”

“หลอมปืนกลับไม่มีพลยิงปืนเป็นสักคน?”

อวี๋ต้าโหยวอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น หวังทงรู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง เขาก็เพิ่งคิดได้วันนี้ อวี๋ต้าโหยวหยุดพักหัวเราะ ก่อนจะขมวดคิ้วถามอย่างสงสัยว่า

“เรื่องนี้ข้าก็ว่าแปลก องครักษ์เสื้อแพรไม่ต้องรักษาเมืองและไม่ต้องออกรบ เจ้าหลอมปืนใหญ่ทำไม!?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version