Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 258

ตอนที่ 258 พยัคฆ์แลจิ้งจอกเข้าเมือง

“….พริบตามืดฟ้ามัวดิน พยัคฆ์แลจิ้งจอกมุ่งออกสี่ทิศ แต่นั้นเทียนจินไร้วันพรุ่ง…” จากบันทึกหยางหลิ่วแดนไกล

“….เข้าตรวจค้น สตรีแลเด็กน้อยร่ำไห้ ผู้กล้าคนดีกล้ำกลืน โทสะบังเกิดมิกล้าเอ่ย แต่นั้นเทียนจินล้วนขนานนามหวังทง ‘ภูติผี’ สยบทารกร่ำไห้…” จากบทความนิรนาม

“….ประตูเมืองเพิ่งเปิด หวังทงคำนับความว่างเปล่าสามครา ลุกขึ้นคว้าคนกระดาษม้ากระดาษโยนขึ้นฟ้าพ่นลมตาม ตะโกนก้องว่า โอม คนกระดาษม้ากระดาษพลันปรากฏพลทหารแม่ทัพปีศาจหน้าเขียวเขี้ยวยาว กระจายตัวสี่ทิศ นาวาสุคนธ์เป็นดังกำยานสีทองไม่ดับสลายหน้าเบื้องพระที่นั่งดอกบัวแห่งพุทธองค์ ไม่ดับธูปในเมือง หวังทงจะปรากฏร่างเดิมออกมา…” จาก วิพากษ์รายชื่อหนังสือต้องห้าม เล่มที่ 4 วิพากษ์ตำนานวีรชนแดนเหนือ

วันที่ 2 เดือนหก เมืองเทียนจินเปิดประตูเมืองออกมาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม พลทหารองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินทั้งห้าค่ายใหญ่และสองค่ายกองเกินเตรียมพร้อมภายใต้การนำของหัวหน้าหน่วยเข้าล้อมสำนักนาวาสุคนธ์ทั้งสามแห่งในเทียนจิน

วันนี้เป็นวันที่ทุกคนรวมตัวกันปักธูปพอดี บรรดาคนมารวมตัวกันกลางลานเกือบครบ และยังไม่มีการเตรียมพร้อมระวัง จึงไม่อาจหนีเล็ดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว

ในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม ชาวสำนักนาวาสุคนธ์ก็ถูกจับมัดโยงกันไล่ออกนอกเมืองไปไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ประตูเมืองทุกด้านล้วนมีทหารจากค่ายเฝ้าอยู่ห้าสิบนาย ไม่ให้คนพวกนี้เข้าเมืองมาอีก

จากนั้นหัวหน้าค่ายหนึ่งถึงค่ายห้าก็นำกำลังแต่ละค่ายรับหน้าที่เฝ้าดูถนนแต่ละสาย องครักษ์เสื้อแพรเทียนจินชุดเดิมภายใต้การนำของหังต้าเฉียวก็เข้าตรวจสอบร้านค้าทีละร้าน

ในเมืองย่อมไม่มีร้านที่ไม่จุดธูป เงื่อนไขขององครักษ์เสื้อแพรก็ง่ายมาก แค่โยนกระถางธูปทิ้งแขวนป้ายสงบสุขแทน แขวนป้ายสงบสุขหนึ่งปีเท่ากับเงินปักธูปหนึ่งในสี่ส่วนเท่านั้น หากยังปักธูปต่อและถูกตรวจพบ ร้านก็จะตกเป็นของทางการ และคนผู้นั้นก็ต้องถูกขับออกจากเทียนจิน

ทำการค้าก็เพื่อหาเงินหาทอง จ่ายเงินที่ไม่จำเป็นน้อยลง ผู้ใดบ้างไม่ยินดี แม้ว่าพวกงมงายสมองช้า หากได้เห็นพลทหารองครักษ์เสื้อแพรดุดัน เห็นดาบคมกริบส่องประกาย ก็ล้วนรู้งานว่าต้องปฏิบัติตาม

พวกนาวาสุคนธ์ที่ถูกขับออกนอกเมืองไปนอกจากพวกรับเงินรอก่อเรื่องแล้ว ยังมีพวกที่พักอาศัยอยู่ในเมืองเทียนจิน อยู่บ้าง พวกเขาจำเป็นต้องกลับเข้าเมือง ในการนี้องครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ทำให้พวกเขาต้องลำบาก เพียงแค่อยู่นอกเมืองโขกศีรษะที่ประตูเมืองสองสามที ร้องไห้คร่ำครวญว่าตนเองขอลาออกจากสำนักนาวาสุคนธ์ ก็สามารถกลับเข้าเมืองได้

ทุกคนใช่ว่าคำนับฝากตัวเข้าสำนักนาวาสุคนธ์ด้วยความศรัทธาจากใจ สำนักนาวาสุคนธ์ก็มิใช่ศาสนาใหญ่ที่สืบทอดกันมาหลายปีอะไรเช่นนั้น เมื่อก่อนทางการไม่ดูแล ทุกคนก็พากันเชื่อตามๆ กัน ดูว่าจะได้ประโยชน์อะไรหรือไม่ ตอนนี้องครักษ์เสื้อแพรจัดการดุเดือดเช่นนี้ ผู้ใดกล้านับถือต่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาอีกกัน ทุกประตูเมืองล้วนมีคนมาโขกศีรษะสำนึกผิดกันจำนวนมากทันที

ประชาชนที่ผ่านไปผ่านมาก ไม่สนใจว่าในนั้นมีพวกนาวาสุคนธ์หรือไม่ แต่ได้เห็นพวกนาวาสุคนธ์คร่ำครวญหวนไห้โขกศีรษะสะอื้นไห้ด่าทอตัวเองว่าเป็นพวกน้ำมันสุกรบดบังจิตใจ นับแต่นี้ขอออกจากลัทธิ

ยังได้เห็นภาพในเมืองลากกระถางธูปออกมาเป็นคันรถ กระถางกระเบื้องเหล่านั้นล้วนแตกละเอียดเป็นผุยผง พวกที่ทำจากทองเหลืองก็ทุบจนบี้แบน พวกหัวหน้าอะไรของนาวาสุคนธ์ที่ระแวดระวังหวาดกลัวกันอยู่แล้ว ยามนี้ก็อกสั่นขวัญแขวนและโกรธแค้น แต่กลับไม่กล้าทำอะไร และอะไรก็ไม่กล้าเอ่ย

แต่ละฉากละตอนล้วนอยู่ในสายตาประชา ยากปกติรู้สึกว่านาวาสุคนธ์นั้นลึกลับและน่ากลัว สถานะอันดับหนึ่งในใจผู้คนกลับตกลงเหวลึกกลายเป็นเรื่องตลกขบขันอย่างรวดเร็ว

*********

อากาศเมืองเทียนจินในเดือนหกกำลังดี ระยะนี้ไม่มีเรื่องใหญ่ ที่ทำการแต่ละแห่งก็ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ดังนั้นทุกคนก็ล้วนมีนิสัยมาถึงที่ทำการช้า

เจ้านายของแต่ละก็ล้วนใช้เวลาในยามค่ำกันดึกดื่น วันรุ่งขึ้นนอนจนพอจึงจะไปที่ทำการ ตอนพวกเขาถึงที่ทำการ ประตูเมืองก็เปิดได้สองชั่วยามกว่าแล้ว

วันนี้ทุกคนล้วนตื่นเช้ากันอยู่สักหน่อย เพราะองครักษ์เสื้อแพรจะกวาดล้างนาวาสุคนธ์ทั่วเมือง ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกหน่วยงานรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แม้จะรบกวนความฝันแสนหวานของนายตนก็ต้องปลุกให้ตื่นนอน

นายกองตรวจการฟานต๋ายังสวมชุดขุนนางไม่เสร็จ ขันทีว่านเต้านั่งอยู่บนเกี้ยวก็รีบรุดมาถึง มองเห็นว่าที่เอวชุดขันทีไม่รู้ไปเอาเข็มขัดอะไรมาคาดไว้ บนศีรษะก็ยังพันผ้าสี่เหลี่ยมแบบไม่เป็นทางการ

สีหน้าขันทีมีแววตระหนกไม่มาก หากเต็มไปด้วยสีหน้าคาดไม่ถึงราวกับวิญญาณออกจากร่าง พอก้าวผ่านประตูก็สะดุดธรณีประตู ล้มคว่ำเข้าไปข้างในทันที

ยังดีที่ชายรับใช้สองคนข้างๆ รีบเข้ามาประคองไว้ ว่านเต้าสะบัดศีรษะ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกกล่าวว่า

“ไสหัวไปให้หมด ไสหัวออกไป ไม่มีคำสั่งข้าห้ามเข้ามา รีบส่งคนไปตามขุนพลหลี่มาที่นี่ รีบไปเร็ว!!”

คำว่า รีบไปเร็ว เกือบจะกรีดร้องตะโกนออกมา บรรดาชายรับใช้ในห้องสบตากับฟานต๋าก่อนจะลนลานรีบวิ่งออกไปทันที

นายกองตรวจการฟานต๋าเดินไปเดินมาอยู่ในห้องด้วยอาการร้อนใจ ขันทีว่านเต้าจ้องมองเขาแวบหนึ่ง อยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า

“ใต้เท้าฟาน เรื่องนี้ท่านต้องจัดการนะ ท่านและข้าล้วนรู้ว่าเจ้าบัดซบหวังทงนั่นทำอะไรอยู่ ยังไม่จัดการอีกล่ะก็ ภัยก็จะมาถึงตัวแล้ว!”

“จัดการยังไง ข้าจะจัดการยังไง นาวาสุคนธ์จะว่าไปก็เป็นชาวบ้าน หวังทงนั่นเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร เดิมก็มีอำนาจตรวจตรา ขุนนางควบคุมดูแลประชา ข้าจะไปทำอะไรได้ หรือว่ามีอะไรที่ผิด….ว่านกงกง ข้าบอกกับท่านก่อนหน้านี้แล้วว่า ให้พวกนาวาสุคนธ์สงบเสงี่ยมกันหน่อย เงินทองจากทางน้ำทางทะเลก็ไม่น้อยแล้ว กลับจะยังมาปักธูปอะไรในเมืองกันอีก ช้าเร็วก็ต้องเกิดเรื่อง ท่านยังยอมอ่อนให้ เป็นไง ตอนนี้หวังทงเอาเรื่องขึ้นมา ท่านจะทำอะไรได้ ผลประโยชน์เล็กน้อยพวกนั้นท่านก็จะเอา ดูซิว่าครานี้ท่านจะรายงานเบื้องบนยังไง!!”

พอกล่าวจบ ว่านเต้าก็ยกมือชี้ไปที่ฟานต๋าทันที มือสั่นระริกเสียงแหลมดังขึ้นว่า

“ใต้เท้าฟาน ท่านกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร กำไรก็ส่งถึงมือท่าน ก็ไม่เห็นว่าท่านจะรับน้อยลงสักแดง สถานการณ์ในเมืองเทียนจินนี่มีท่านกับข้ารับผิดชอบ หวังทงนั่นทำจนวุ่นวายเช่นนี้ พวกเราซวยแน่แล้ว หรือใต้เท้าฟานจะนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ได้มั่นคงไม่สั่นคลอนกัน ในกรมทั้งหกและสำนักเสนาบดีใหญ่ทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่ของท่านก็พึ่งพาไม่ได้ หากไม่มีแรงหนุนเบื้องหลัง มิใช่ว่าเพียงแค่ลมพัดก็ล้ม….”

ถูกว่านเต้ากล่าววาจาฉีกหน้าเช่นนี้ สีหน้าฟานต๋าดำคล้ำลง ตามมาด้วยการหันหน้าหนีเดินวนไปวนมา ก่อนจะหันกลับมากล่าวว่า

“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าไม่จัดการ แต่ข้าจะจัดการด้วยอำนาจอะไร จะไปจัดการอย่างไร เรื่องชาวเมืองเทียนจินเป็นเรื่องของขุนพลคุมกำลังพลที่ถูกส่งมาจากเมืองเหอเจียน”

กล่าวถึงตรงนี้ ก็เหมือนคิดอะไรได้ ฟานต๋าส่งเสียงดังขึ้นทันทีว่า

“ส่งคนไปถามขุนพลถานคุมกำลังพลว่า ปล่อยให้พวกองครักษ์เสื้อแพรก่อเรื่องในเมืองเช่นนี้ เขาไม่กลัวว่าตำแหน่งขุนนางระดับห้าของตนจะสั่นคลอนหรือ รีบไปถามเร็ว ถามเสร็จก็กลับมารายงานข้าด้วย!”

มีคนอยู่ข้างนอกรับคำออกไปทันที ว่านเต้าสูญเสียการควบคุมไปหมดสิ้น ส่งเสียงแหลมขึ้นว่า

“ใต้เท้าฟาน ส่งสารฟ้องหวังทงว่าเคลื่อนย้ายกำลังในเมืองพลการ ก่อกวนประชา ทำให้ประชาอกสั่นขวัญแขวน บอกว่าเจ้าหวังทงแอบลักลอบสั่งสมกำลัง คิดการไม่ซื่อ…”

ขณะที่กล่าวอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงรายงานดังมาจากด้านนอกว่า

“ใต้เท้าหลี่มา!”

ฟานต๋าและว่านเต้าสบตากัน พากันเงียบ ขุนพลหลี่ที่ปรึกษาทหารประจำเทียนจินรีบรุดเข้ามาในห้อง แม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย แต่สีหน้าไม่ดีนัก พอเข้ามาถึง ขุนพลหลี่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ว่านเต้ากลับลุกขึ้นยืนก่อน พร้อมกล่าวอย่างร้อนใจว่า

“ใต้เท้าหลี่ รีบนำกำลังเข้าเมือง!! ส่งทหารไปไล่พวกบ้านั่นออกไปให้หมด! กลางวันแสกๆ นำกำลังทหารเข้าเมืองมา นี่เป็นการก่อความไม่สงบ นี่เป็นการก่อกบฏ”

นับดูแล้ว ในห้องอายุมากที่สุดก็ยังคงเป็นขุนพลหลี่ต้าเหมิ่ง การแสดงออกของเขายังคงสงบนิ่ง หลังจากเข้ามาในห้องก็หันไปกล่าวกับนายทหารติดตามก่อนว่า

“ห่างจากประตูไปหนึ่งจ้าง[1] อารักขาระยะไกล”

นายทหารติดตามปิดประตูลงแล้ว เขาจึงหันมาเหลือบมองว่านเต้าอย่างเย็นชา เดินไปนั่งอย่างไม่สนใจแม้แต่น้อย ถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“นำทหารเข้าเมือง? เข้ามาทำอะไร? ตอนข้าขี่ม้ามานี่ นอกจากประตูยังมีพลทหารองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าอยู่ ที่อื่นๆ ก็ปกติดี ไม่มีเหตุไม่สงบอะไรสักอย่าง ข้านำทหารเข้าเมืองมาสิ จะเป็นการปราบจลาจลหรือก่อจลาจลกัน!”

“ท้องถนนไม่มีทหารหรือ? เร็วอย่างนี้เลย?”

ได้ยินขุนพลหลี่ต้าเหมิ่งกล่าวเช่นนี้ ฟานต๋ากับว่านเต้าก็อึ้งสนิท ว่านเต้าถึงได้สติคืนมา ตนเองตอนรีบรุดมาถึงนี่ ตามท้องถนนก็มิได้มีอะไรผิดปกติ

“หากทหารสังกัดข้าเข้าเมืองมา เจ้าคิดว่าจะเอาเจ้าพวกนั้นอยู่หรือ ถึงตอนนั้นแม่ทัพชีคงนำกำลังมาปราบว่าข้าก่อการ ‘จลาจล’ น่ะสิ คิดไม่ถึงเลย วันนี้ประตูเมืองไม่ได้เปิดเร็ว หวังทงนำคนเข้าเมืองมาจับพวกนาวาสุคนธ์ไล่ส่งออกนอกเมืองไป ยังทำลายกระถางธูปร้านค้าต่างๆ ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วยาม ตอนนี้ในเมืองสงบเช่นนี้ ราวกับไม่เคยมีกองทหารผ่านมา ทั้งสองท่านรู้ไหมว่าหมายถึงอะไร!!?”

ฟานต๋ากับว่านเต้าสบตากัน รู้สึกงง ขุนพลหลี่ลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า

“เคลื่อนทัพฉับไว ถอยทัพรวดเร็ว กฎทหารเข้มงวด นี่คือกองกำลังที่เข้มแข็ง เป็นกำลังที่เข้มแข็งจริงๆ หากข้านำคนเข้าเมืองมาจริง หวังทงปิดประตูเมือง จะโจมตีอย่างไร ยืนหยัดได้สามวัน ทหารเมืองจี้โจวมาถึง เป็นผู้ใดที่ก่อการกบฏ ผู้ใดก่อความไม่สงบ ทุกท่านพอจะคิดออกไหม?”

ฟานต๋าผงะพิงพนักเก้าอี้ถอนหายใจยาวออกมาอย่างหมดแรง พึมพำว่า

“ไม่กี่เดือนเอง ทำไมจึงฝึกกองกำลังเช่นนี้ออกมาได้ ทำไมเขาจึง…”

“เถ้าแก่ร้านสินค้าทงไห่ขอเข้าพบ! ~~”

เสียงด้านนอกรายงานดังเข้ามา ว่านเต้าและฟานต๋ากระโดดตัวลอยขึ้นพร้อมกันราวกับมีเข็มทิ่มก้น ว่านเต้าถึงกับแย่งเจ้าของบ้านอย่างฟานต๋าตะโกนออกไปว่า

“รีบเชิญ รีบเชิญเข้ามา!”

********

“เรือนสามแห่งนี้วันหน้าก็ให้เป็นที่ตั้งแต่ละค่ายเรา ทุกค่ายส่งกำลังคน 20 นายไปดูก่อน!”

หวังทงนั่งอยู่ในสำนักองครักษ์เสื้อแพร สั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน สั่งจบก็หันไปทางไช่หนานกล่าวว่า

“ร้านค้าที่แขวนป้ายก็รีบเก็บเงินลงบัญชี เงินทุกก้อนที่ได้มาต้องจดให้ละเอียด”

ไช่หนานพยักหน้า เอ่ยเสียงเบาๆ ขึ้นว่า

“เมื่อครู่ใต้เท้าไม่อยู่ นายกองร้อยหังส่งรายชื่อหัวหน้าสำนักนาวาสุคนธ์ทั้งห้าคนมา มีหัวหน้านาวาจิน เฉิงกวง ผู่เฉวียน เมิ่งเจี้ยนเต๋อและเฉินไฉ”

สำนักนาวาสุคนธ์มีหัวหน้านาวาทั้งหมดห้าคน ควบคุมทุกอย่าง ชื่อทั้งห้านี้คิดว่าไม่ผิดแน่ แต่ไฉฝูหลินแห่งร้านสินค้าทงไห่นั้นก็ถูกเรียกว่าหัวหน้านาวาเช่นกัน แต่ไม่ได้อยู่ในห้าคนนี้….

……………………

[1] 1 จ้างจีนเท่ากับประมาณ 10 ฟุต

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version