Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 2

ตอนที่ 2 ความเมตตาและความโหดร้าย

เดือนเก้า ปีที่สี่ในรัชสมัยว่านลี่ ณ ศูนย์กลางของโลก เมืองหลวงราชวงศ์หมิงหิมะตกลงมาครั้งแรกของฤดู

หิมะตกไม่หนักนัก แต่บรรดาขุนนางบัณฑิตเมืองหลวงต่างพากันร่ายกาพย์กลอนสรรเสริญว่าเป็นปีรุ่งเรืองหิมะมงคล จึงได้มีลางมงคลเช่นนี้ เป็นเพราะฮ่องเต้มีบุญญาธิการ และความหลักแหลมของใต้เท้าจาง มหาอำมาตย์

เรื่องราวเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับหวังทงที่เดินอยู่ท่ามกลางหิมะแม้แต่น้อย หนึ่งปีผ่านไป เขาสูงขึ้นอีกหน่อยหนึ่งแล้ว ยิ่งดูเหมือนผู้ใหญ่ขึ้นไปอีก

บ้านเขาอยู่ทางด้านใต้ของเขตเมืองหลวง ที่เรียกว่าเขตทักษิณ ที่นี่เป็นเขตพักอาศัยของราษฎรและขุนนางระดับล่างของเมืองหลวง ยามที่เดินอยู่นั้นก็มิได้รู้สึกถึงความรุ่งเรืองและความขลังในความเป็นเมืองหลวงแม้แต่น้อย

เกล็ดหิมะปลิวว่อนในอากาศ ทว่ากลับไม่หนาวเท่าใด หวังทงวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่ง ลูกจ้างในร้านเห็นลูกค้ามาก็รีบเข้าไปทักทาย พวกเขาเอาไม้ขนไก่ปัดเกล็ดหิมะบนตัวของหวังทงออก

เถ้าแก่เจ้าของร้านกับลูกจ้างในร้านค้าแม้ว่าท่าทางสุภาพ แต่ใบหน้าไร้รอยยิ้ม พวกเขาใช่ว่าทำการค้าไม่เป็น หากเพราะว่าร้านพวกเขาเป็นร้านขายเครื่องเซ่นไหว้ธูปเทียน

“เถ้าแก่ ข้าต้องการเทียนงานศพสำหรับสามวัน ธูปหอมให้ข้ามัดหนึ่ง กระดาษเงินกระดาษทอง 20 พับ…ให้คนไปส่งที่บ้านข้าได้ไหม?”

หวังทงกดน้ำเสียงกล่าวขึ้น เมื่อเห็นเด็กที่ยังไม่โตนักดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เถ้าแก่ที่ผ่านโลกมามากและลูกจ้างในร้านย่อมรู้ว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น จึงพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว

การเดินทางจากมาเก๊ามายังเมืองหลวง หวังลี่และหวังทงทั้งสองเดินทางรอนแรมมาเกือบครึ่งปี หนทางยาวไกลทำให้ร่างกายของหวังลี่ที่เดิมที่อ่อนแออยู่นั้นยิ่งทรุดหนักลง

หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวง หวังลี่ได้เดินทางไปยังสำนักองครักษ์เสื้อแพรเพื่อรายงานตัวส่งมอบงาน ไม่กี่วันจากนั้นเขาก็ล้มป่วยลง หลังจากหมอที่หวังทงเชิญมารักษาตรวจอาการแล้ว ก็วินิจฉัยว่าเป็นโรคที่มิอาจรักษาได้ หมอสามคนล้วนกล่าวเหมือนกัน หวังทงดูแลอย่างสุดกำลังอยู่หลายเดือน ในวันก่อนหิมะตกวันแรกนั้น หวังลี่ก็ฝืนทนต่อไปไม่ไหว สิ้นลมจากไปบนเตียงนั่นเอง

หวังทงเศร้าเสียใจและสิ้นหวัง ในโลกใบนั้นเขาเป็นเด็กกำพร้า ในโลกใบนี้มารดาจากไปก่อน บิดาก็ยังมาด่วนจากไปอีกคน เขาจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งเช่นนี้ต่อไปหรือ

ถึงแม้ว่าความคิดเขาจะใกล้เคียงกับวัยใกล้สี่สิบ แต่เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกมืดมนเช่นกัน จึงได้แต่ร่ำไห้เสียงดังอยู่เบื้องหน้าร่างไร้วิญญาณของบิดา

นางหม่า หญิงหม้ายข้างบ้านได้ยินเสียงก็อดไม่ได้ที่จะแวะมาดู แม้ว่าหวังลี่จะเป็นองครักษ์เสื้อแพร แต่ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้าน ตอนป่วยหนัก นางหม่าก็ให้ความช่วยเหลืออยู่ไม่น้อย

เมื่อเห็นหวังทงร่ำไห้เสียงดังอยู่ นางก็ปลอบโยนไปว่า ศพจะวางไว้เช่นนี้ก็คงไม่ได้ รีบจัดการงานศพเสีย ทำพิธีฝังเสียให้เรียบร้อย

ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป หวังทงฝืนทนต่อความเศร้าโศก พร้อมทำตามคำแนะนำของเพื่อนบ้าน โลงศพและเสื้อผ้า พร้อมทั้งสิ่งของเครื่องใช้งานศพก็จัดเตรียมพร้อมสรรพตามคำแนะนำของนางหม่า ตระกูลหวังไม่มีญาติในเมืองหลวง หวังทงไปแจ้งเรื่องงานศพที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร แจ้งบรรดามิตรสหายเก่าแก่สองสามคนของหวังลี่ให้ทราบ

หลังจากซื้อธูปเทียนที่ร้านนี้เสร็จ ก็ใกล้ถึงเวลาที่ต้องรับแขกเหรื่อที่จะมาเคารพศพบิดา ที่บ้านมีบางสิ่งที่ยังมิได้จัดเตรียม

พอหวังทงจ่ายเงินเสร็จก็รีบวิ่งกลับบ้าน

ในวันที่หิมะตกหนัก ยังเป็นช่วงเวลาอาหารกลางวัน บนถนนแคบๆ เงียบสลัดเป็นอย่างยิ่ง หวังทงวิ่งเหยาะๆ ไปสักครู่ก็ต้องผ่อนฝีเท้าลง

เพราะเบื้องหน้ามีองครักษ์เสื้อแพรในชุดมัจฉาเวหาสองคนเดินวางก้ามอยู่ แม้ว่าหวังทงจะเป็นลูกหลานองครักษ์เสื้อแพร แต่เขาก็ไม่เคยกล้าอาศัยสถานะดังกล่าววางอำนาจบาตรใหญ่ หวังลี่ยังเป็นเพียงนายกองธงเล็กที่มีลูกน้องไม่ถึงสิบคน เหนือขึ้นไปยังมีขุนนางระดับต่างๆ ทั้งนายกองธงใหญ่ นายกองร้อย นายกองพัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้เก่งกล้าสามารถมากบารมีที่ไม่เผยตัวในเมืองหลวงอีกมากมาย อำนาจหน้าที่เล็กๆ เท่านี้ไม่ถือว่าใหญ่โตอะไร

เมื่อเห็นองครักษ์เสื้อแพรสองคนเบื้องหน้า หวังทงก็ไม่กล้าวิ่งต่อไป เกรงว่าหากผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว ก็จะถูกเรียกตัวสอบสวน จะทำให้ยุ่งยากไม่น้อย

หวังทงซึ่งเป็นลูกหลานองครักษ์เสื้อแพร ย่อมรู้ดีว่าคนเหล่านี้วางอำนาจเพียงใด นับประสาอันใดที่บิดาของตนล้มป่วยจากไป ตนเองก็ขาดที่พึ่งเสียแล้ว

เมื่อมาประจันหน้ากัน หนึ่งในสองคนนั้นก็หันมามองแวบหนึ่ง หวังทงสวมหมวกสานปีกกว้าง เมื่อก้มหน้าก็เห็นใบหน้าไม่ชัดนัก และยังผ่อนฝีเท้าลงอีก จึงไม่สนใจอีกต่อไป

ขณะที่เขากำลังเดินอ้อมไป กลับได้ยินข้างหน้ากล่าวถึง ‘หวังลี่’ ประโยคหนึ่ง เมื่อได้ยินชื่อบิดาที่จากไปของตน หวังทงก็ตกใจพลางชะลอฝีเท้าลง นิ่งชะลออยู่ด้านหลังอีกฝ่ายทันที

“ตายก็ตายไปแล้ว ยังต้องลำบากไปเคารพศพ วันหิมะตกหนักเยี่ยงนี้ น่าขัดใจจริง!”

“หัวหน้าหลิว อย่าได้โมโหไอ้แก่ที่ตายไปแล้วนี่เลย วันนี้ข้าน้อยเป็นเจ้ามือเลี้ยงสุราอุ่นกายให้ท่านสักหน่อย!”

“…เจ้าหวังลี่กลับมาจากใต้ ที่บ้านมันจะต้องมีมากขึ้นไม่น้อยกระมัง”

“หัวหน้าหลิว คนที่กลับมากับมันบอกว่า ไม่น้อยกว่าสองพันสองร้อยขอรับ”

“อุบ๊ะ! พ่อค้าทางใต้พวกนั้นมือเติบเช่นนี้เลยรึนี่!”

“หวังลี่ตายไป ลูกชายมันนั้นก็เป็นแค่เด็กอมมือ จะเอาเงินก้อนนี้ง่ายดายยิ่งนัก บ้านหลังนั้นที่ติดกับถนนนั่นก็…”

องครักษ์เสื้อแพรสองคนนั้นพูดอย่างไม่สนใจอะไร หวังทงที่หยุดอยู่ด้านหลังพลันรู้สึกถึงความหนาวเย็นภายนอกทะลุเข้าไปถึงเนื้อใน หนาวเหน็บทั่วสรรพางค์กาย

ในช่วงเวลาที่หวังลี่อยู่มาเก๊า ขุนนางท้องถิ่นและพ่อค้าชาวจีนของมาเก๊าทุกคนล้วนรู้คุณและนำสิ่งของมาแสดงความเคารพ สั่งสมเงินทองกลับมาได้ไม่น้อยจริงๆ หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวงใช้เงินรักษาตัวไปนิดหน่อย ยังเหลืออีกสองพันหนึ่งร้อยกว่าตำลึงเงิน ก่อนหวังลี่จากไปได้กล่าวกับหวังทงว่า ‘อย่าได้อยู่เมืองหลวงต่อ เอาเงินนี้กลับไปที่บ้านเกิดที่เมืองจี่หนานซื้อที่นาและใช้ชีวิตที่สงบสุข’ คิดไม่ถึงว่าเงินก้อนนี้จะเป็นที่จับจ้องของผู้อื่นเช่นนี้

เดินต่อไปไม่กี่ก้าว องครักษ์เสื้อแพรสองคนข้างหน้าก็เลี้ยวเข้าไปในร้านสุรา หวังทงเห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน เจ้า ‘หัวหน้าหลิว’ นั่นปากแหลมแก้มตอบ ไว้เคราแหลมเหมือนแพะ รูปร่างผอมบาง คนที่คอยรับคำสั่งข้างๆ นั่น ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรัง

หากสิ่งที่ทำให้หวังทงตกใจเป็นอย่างมากก็คือป้ายคำสั่งของหัวหน้าหลิวที่โผล่ออกมาจากเอว เป็นป้ายเหล็กนิล ป้ายนี้แสดงตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพร ‘กองธงใหญ่’ กองธงเล็กห้ากองนับเป็นหนึ่งกองธงใหญ่ ตำแหน่งสูงกว่าหวังลี่มากนัก

หลังจากที่ชายสองคนนั้นเข้าไปในร้านสุรา หวังทงก็ไม่กล้าตามเข้าไปจับตาดูต่อ ได้แต่วิ่งตรงกลับบ้านของตน

บ้านหวังทงเป็นบ้านแบบเรือนสี่ประสาน[1]ขนาดกลางที่ติดถนน บ้านคนส่วนใหญ่บนถนนสายนี้ล้วนเป็นร้านค้าต่างๆ นับว่าเจริญรุ่งเรืองมาก บ้านหลังนี้จึงมีมูลค่าไม่น้อย

เมื่อกลับถึงบ้าน จิตใจหวังทงก็พลันสับสนวุ่นวาย ครอบครัวเขาเพิ่งจะประสบกับเหตุการณ์แสนเลวร้าย กลับมีคนคิดจะฮุบทรัพย์สินของครอบครัวเขา แม้แต่บ้านหลังนี้ก็ไม่เหลือไว้ให้เขา คิดจะทำกันจนถึงที่สุด

หากตนเองก็ไร้ญาติขาดมิตร ปีนี้อายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น ไม่มีความสามารถที่จะรับมือได้อย่างแน่นอน จะทำเช่นไรดี

นางหม่าได้ให้คนไปตามคนจัดการงานศพมาแล้ว จัดห้องโถงของบ้านหวังให้เป็นโถงเคารพศพ รอแค่หวังทง กลับมา พอเห็นเขาท่าทางตกอยู่ในภวังค์เดินเข้ามา ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า

“เจ้าหนู น้ารู้ว่าเจ้าเสียใจ แต่จากนี้ไปยังอีกยาวไกล หากเจ้าเสียใจจนเสียสุขภาพไปจะทำอย่างไรเล่า”

หวังทงฝืนพยักหน้าตอบว่า

“ท่านน้า ข้าไม่เป็นไร หากครั้งนี้ไม่มีท่านน้าให้ความช่วยเหลือ ข้าก็ไม่รู้จะทำเช่นไรจริงๆ”

เขารู้สึกซึ้งในบุญคุณจากใจจริง ญาติห่างไกลมิสู้บ้านใกล้เรือนเคียง เรื่องในครานี้ หญิงวัยสี่สิบกว่าท่านนี้ได้ช่วยเหลือครอบครัวเขาไม่น้อยเลยจริงๆ ในปีนั้นหวังลี่เพียงช่วยเหลือหญิงที่น่าสงสารผู้นี้ ไปพูดให้ความเป็นธรรมที่ศาลเพียงสองสามประโยคเท่านั้น

———————-

[1] เรือนสี่ประสาน เป็นกลุ่มเรือนสร้างเรียงกันเป็นสี่เหลี่ยม มีลานบ้านตรงกลาง เรือนด้านหน้าจะมีห้องโถงกลาง และยังมีเรือนด้านข้างซ้ายขวาประสานกัน หากเป็นเรือนขนาดเล็กจะมีกลุ่มเรือนเรียงรอบชั้นเดียว ขนาดกลางเรียงรอบสองชั้นและขนาดใหญ่เรียงรอบสามถึงสี่ชั้นขึ้นไปก็ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version