Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 1

ตอนที่ 1 กลับสู่มาตุภูมิ

ในฐานะเด็กกำพร้าคนหนึ่ง การที่สามารถใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างมีความสุข ได้สอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยก็ได้ทำงานที่นับว่าไม่เลวนัก ได้รับเสียงชื่นชมจากหัวหน้า และมีรายได้มากพอ จากนั้นลาออกมาสร้างกิจการของตนเอง ก็ยังคว้าเอาเงินถุงเงินถังได้อีกก้อนใหญ่

พระเจ้าทรงเมตตาตนเองไม่น้อย หวังทงคิดเช่นนี้เสมอ แม้ว่าความสำเร็จจะอยู่เบื้องหน้า แต่เขากลับต้องป่วยด้วยโรคที่ไม่อาจรักษา

เงินทองที่หามาได้ก็มากพอให้เขาสามารถนอนโรงพยาบาลจนกว่าจะจากโลกนี้ไปได้พอดี นี่ช่างเป็นความโชคดี ขณะนอนป่วยอยู่บนเตียง หวังทงมักจะล้อเล่นกับตัวเองเช่นนี้เสมอ

สายตาค่อยๆ มืดดับลง ความรู้สึกค่อยๆ เลือนหายไป หวังทงรู้ดีว่าเขากำลังจะตายในไม่ช้านี้ ความคิดในเวลานี้ราวกับกระแสน้ำวน ตั้งแต่เล็กจนโต เขาพยายามต่อสู้อยู่เสมอเพื่อที่จะได้เป็นเหมือนคนอื่นๆ เพื่อให้มีอนาคตที่ดีขึ้น คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเป็นเช่นนี้

“ฉันไม่ยอม…”

หวังทงอายุสามสิบปี เสียชีวิตเพียงลำพังบนเตียงผู้ป่วย ไม่มีใครได้ยินเสียงกระซิบสุดท้ายของเขา

ปีที่สามในรัชสมัยว่านลี่[1]แห่งราชวงศ์หมิง ณ เมืองท่ามาเก๊า มณฑลกวางตุ้ง

บนเนินเขาริมทะเล สิ่งก่อสร้างทรงตะวันตกตั้งเรียงรายอยู่ทั่วไป ป้อมปืนสิบกว่าแห่งสร้างขึ้นในตำแหน่งยุทธศาสตร์สำคัญ มองคนบนถนนที่ไปมาขวักไขว่ ตลาดการค้ารุ่งเรืองคึกคัก ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเมื่อ 20 กว่าปีก่อนนี้ ที่นี่เป็นเพียงที่รกร้างริมทะเล

การอยู่ร่วมกันของชาวฮั่นผิวเหลืองกับชาวยุโรปผิวขาวทำให้ที่นี่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร หากเป็นดินแดนอื่นในราชวงศ์หมิง คงไม่สามารถเห็นภาพดังกล่าวนี้ได้อย่างเด็ดขาด ภรรยาของพวกฟะรังคี[2] เจรจาต่อรองกับพ่อค้าผักชาวจีนฮั่นบนถนนการค้า ชาวผิวขาวที่สวมเสื้อผ้ารุ่งริ่งกำลังเร่ขาย ‘สินค้าพื้นเมืองชาวฟะรังคี’ ทั่วไปให้กับชาวหมิงที่เดินไปมาอยู่สองข้างทาง

ในร้านช่างตีเหล็กของชาวฟะรังคี ยังสามารถได้เห็นกระทั่งเด็กน้อยชาวฮั่นมาเรียนรู้งาน

“หวังทง!! บิดาเจ้าเรียกให้เจ้ารีบกลับบ้าน!!”

มีคนโก่งคอตะโกนเสียงดังขึ้น และเสียงก็ดังเข้ามาในร้านตีเหล็กที่ตั้งอยู่ริมถนน เด็กน้อยท่าทางแข็งแรงคนหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงนี้ก็วางท่อนเหล็กและที่เจาะเหล็กในมือลง ลุกขึ้นเดินไปหาชายผิวขาววัยกลางคนหนวดเคราดกเพื่อกล่าวอำลาว่า

“ท่านอาจารย์บามองด์ ข้าจะต้องกลับเมืองหลวงบ้านเกิดข้าในวันนี้แล้ว ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ตลอดครึ่งปีมานี้สอนข้ามากมายเช่นนี้”

“ขอบคุณข้า ข้าก็ไม่มีเงินรายเดือนให้เจ้า ห่อผ้าตรงประตูนั่นให้เจ้า ภายภาคหน้าพวกเราก็ไม่ติดค้างกันอีก”

หวังทงไม่ได้รับคำ ได้แต่ก้มลงโค้งคำนับ จากนั้นจึงหยิบห่อผ้าที่ประตูแล้วรีบสาวเท้าวิ่งออกไป เมืองหลวงกับเมือง มาเก๊าห่างกันหลายพันลี้ บามองด์ยังเป็นชาวผิวขาว โอกาสที่จะได้พบกันอีกก็คงยากยิ่งนัก หวังทงพลันรู้สึกเจ็บปวดในใจ ได้แต่เร่งฝีเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว

เขาไม่ทันได้ยินว่าเสียงค้อนทุบแท่งเหล็กเบื้องหลังหยุดลง แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถเห็นบามองด์หนวดเคราดกผู้นั้นยกมือขึ้นเช็ดหางตารื้นชื้นของตนเอง

เมืองมาเก๊าในเวลานี้ไม่ใหญ่นัก หวังทงจึงวิ่งมาถึงท่าเรืออย่างรวดเร็ว ที่ท่าเรือมีทั้งเรือใบและเรือเดินสมุทรใหญ่ ยังมีเรือสำเภาใหญ่ เสากระโดงมากมายราวกับป่าผืนใหญ่ จำนวนเรือที่เทียบท่านั้นก็กินพื้นที่เกินตัวเมืองมาเก๊าเล็กๆ นี้ทั้งเมือง

หวังทงวิ่งมาถึงที่แห่งนี้ก็พลันได้เห็นชายวัยกลางผู้หนึ่งยืนอยู่บนท่าเทียบเรือ ชายวัยกลางคนสวมชุดลายมัจฉาเวหาและเหน็บดาบปักวสันต์ไว้ที่เอว ไม่ว่าชาวต่างชาติหรือชาวฮั่นล้วนหวาดกลัว พากันหลบหลีกไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะพวกเขารู้ว่าการแต่งกายเช่นนี้หมายถึงกองกำลังสำนัก ‘องค์รักษ์เสื้อทอง’ กองกำลังที่เข้มแข็งที่สุดกองหนึ่งในราชวงศ์หมิง

หวังทงมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับชายวัยกลางคนผู้นี้มาก แต่เมื่อเทียบกับหวังทงที่ดูกำยำแข็งแรงแล้ว ชายวัยกลางผู้นี้ใบหน้าจะซีดขาวกว่าเล็กน้อย ร่างกายแม้ว่าจะสูงกว่า แต่กลับผอมกว่ามาก เมื่อเห็นหวังทงวิ่งมาถึง ก็รีบโบกมือส่งยิ้มทักทาย แต่เมื่อจะเอ่ยพูดก็พลันไอเสียงดังขึ้นมา

“ท่านพ่อ รอลูกนานเท่าไรแล้วขอรับ”

เมื่อวิ่งไปยืนอยู่เบื้องหน้า หวังทงจึงได้เงยหน้าถามขึ้น ชายวัยกลางผู้นั้นหยุดอาการไอเอาไว้ได้ก่อนจะเอามือที่ปิดปากไอนั้นเช็ดไปด้านหลังอย่างลวกๆ ก่อนจะลูบหัวหวังทงด้วยความรักและเอ็นดู พร้อมเอ่ยตำหนิอย่างอ่อนโยนว่า

“เจ้าลูกคนนี้ ใต้เท้าที่มาส่งหลายท่านกลับไปตั้งนานแล้ว รอเจ้าอยู่คนเดียวนี่แหละ!”

หวังทงก้มหน้ายิ้มเขินอาย ชายวัยกลางคนผู้นั้นหันกายเดินไปทางเรือสำเภาใหญ่ลำหนึ่ง เขารีบเดินตามขึ้นไป ชายวัยกลางคนกล่าวต่อไม่หยุด

“…อายุสิบสองแล้ว เรียนหนังสือฝึกวิชาได้ไม่เท่าไร อาทง เจ้าเอาแต่ขลุกอยู่ที่ร้านตีเหล็กทั้งวัน ไม่ก็เอาแต่วิ่งไปวิ่งมาไม่รู้เรื่องรู้ราว…”

หวังทงและบิดาของเขาเดินเคียงกันไป ผู้อื่นหากพบเห็นองค์รักษ์เสื้อทองก็พากันหวาดกลัวเดินหลีกทางไป ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นร่องรอยโลหิตบนเสื้อของชายวัยกลางคนซึ่งเป็นบริเวณที่เขาเพิ่งจะเช็ดมือไป

เรือสำเภาลำใหญ่กว้างขวาง ตอนนี้ยังเป็นช่วงฤดูคลื่นลมสงบ คนบนเรือแทบไม่อาจรู้สึกถึงการกระเพื่อมไหวของเรือ พวกเขายืนอยู่บนดาดฟ้ามองไปยังคลื่นสีเขียวมรกต นกนางนวลบินอยู่ข้างลำเรือ พลันทำให้ผู้คนจิตใจปลอดโปร่งสบายใจ

ชายวัยกลางสุขภาพอ่อนแอ พอเรือชักใบแล่นจึงเข้าไปพักผ่อนในเรือ เขารู้ว่าบุตรชายของเขาจะไม่วิ่งเล่นไปทั่ว ดังนั้นจึงวางใจให้หวังทงอยู่บนดาดฟ้าต่อไป

ณ บริเวณที่ตัวเรือบังลมปะทะเอาไว้ หวังทงนั่งแกะห่อผ้าห่อเล็กนั้นออก เป็นไปดังคาด ในห่อผ้ามีปืนสั้นอยู่หนึ่งกระบอก

จากการได้ติดตามเรียนตีเหล็กกับบามองด์อยู่ครึ่งปี คาดว่าชายผิวขาวหนวดเคราดกผู้นี้คงจะมองออกว่าตนนั้นชอบอาวุธปืน ก่อนจากกันจึงได้มอบให้เขาเป็นของขวัญหนึ่งกระบอก

ด้ามไม้ปืนขัดจนเงาวับ ช่องบรรจุดินปืนก็ทำได้พอเหมาะพอเจาะ ไกปืนก็สับได้คล่อง นับได้ว่าเป็นผลงานที่ตั้งใจทำมาก เพียงแต่น้ำหนักมากไปหน่อย น่าจะหนักราวสักสี่ชั่งได้

อาวุธปืนสั้นแบบเชือกดึงของชาวฟะรังคีน่าจะเป็นอาวุธที่ทันสมัยที่สุดในยุคนี้ แต่หากเทียบได้กับอาวุธอัตโนมัติที่เกิดในยุคสมัยหลัง แน่นอนว่าไม่มีทางใดเทียบกันได้

เขามายังราชวงศ์หมิงได้ 12 ปีแล้วสินะ หวังทงถอนหายใจยาว ท่าทางและสีหน้าในตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ใช่ที่เขาควรเป็นในเด็กอายุเช่นนี้

เมื่อย้อนเวลามาในยุคสมัยนี้กลายเป็นทารกแรกเกิดคนหนึ่ง แม้ว่าผ่านมานานขนาดนี้แล้ว แต่หวังทงก็ยังคงจำความหวาดกลัวและความปิติยินดีในเวลานั้นได้

บางทีอาจจะเป็นลิขิตสวรรค์ที่ผู้ใดก็มิอาจคาดเดา หวังลี่พ่อของหวังทงเป็นนายกองธงเล็กแห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตั้งชื่อเขาว่าหวังทง ไม่นานหลังจากที่เขาเกิด มารดาก็ล้มป่วยและจากไป หวังลี่รักภรรยามากจึงมิได้แต่งงานใหม่ อดทนกัดฟันเลี้ยงดูหวังทงมาคนเดียวมาจนถึงบัดนี้

การมีความรู้และประสบการณ์ล่วงหน้าหลายร้อยปีไม่ได้ทำให้เขาเป็นยอดอัจฉริยะแต่อย่างใด ความรู้ด้านการตลาดและการวางแผนยุคปัจจุบันล้วนไร้ประโยชน์ในยุคสมัยนี้ จิตสำนึกความเป็นผู้ใหญ่กลับเป็นอุปสรรคในการยอมรับการใช้ชีวิตในยุคนี้ของเขา

เมื่อได้เกิดใหม่อีกครั้ง หวังทงก็ไม่อยากสูญเสียไปอีก เขาเติบโตขึ้นมาเหมือนเด็กทารกจริงๆ เรียนรู้เงียบๆ และไม่เคยย่อหย่อนในการออกกำลังกาย

ในยุคสมัยที่ขาดแคลนทั้งยารักษาและวิทยาการทางการแพทย์เช่นนี้ ร่างกายที่แข็งแกร่งคือการประกันสุขภาพ…

เมื่อสี่ปีที่แล้ว ในช่วงปีที่ห้าแห่งรัชสมัยหลงชิ่ง[3] หวังลี่ถูกส่งมาประจำการที่เขตมาเก๊า บ้านของพวกเขาที่เมืองหลวงไม่มีญาติอาศัยอยู่ จึงต้องพาหวังทงมาด้วย

แม้ว่าชาวฟะรังคีจะมามาเก๊าไม่ถึง 30 ปี แต่ที่นี่ได้กลายเป็นเมืองที่มีความเป็นตะวันตกไปเสียแล้ว ที่นี่หวังทงได้ค้นพบร้านตีเหล็กที่สามารถสร้างอาวุธปืนได้

ความรู้ในเรื่องอาวุธปืนจะต้องสามารถช่วยเขาได้มากอย่างแน่นอน หวังทงพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์เรียนรู้ที่ร้านนี้ หากแต่อายุยังน้อยเกินไป บิดาจึงมิยินยอม

จนถึงเมื่อครี่งปีก่อน หวังทงที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงจึงได้เกลี้ยกล่อมบิดาสำเร็จ ไว้วานคนให้แนะนำเข้าไปเรียนงานที่ร้านแห่งนั้น

หวังลี่และผู้คนรอบตัวต่างคิดว่าหวังทงเป็นเพียงเด็กน้อยที่ตื่นเต้นสนใจเพียงชั่วครู่ชั่วยาม คิดไม่ถึงว่าหวังทงอายุ เพียงสิบสองปีจะตั้งใจเรียนรู้อยู่ที่ร้านตีเหล็กมาจนบัดนี้ได้

การได้เรียนทักษะที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้นมาอีกแขนงหนึ่ง โอกาสที่ตนจะอยู่รอดในยุคสมัยนี้ก็จะมากขึ้นไปอีกส่วน หวังทงคิดเช่นนี้ไปพลางตั้งใจตรวจสอบส่วนต่างๆ ของลำปืนสั้นอย่างชำนาญไปด้วย

ทันใดนั้นเสียงไอรุนแรงก็ดังแว่วมา หวังทงรีบเก็บห่อผ้าในมือ และสาวเท้าวิ่งไปที่ห้องในเรือที่หวังลี่บิดาของเขาอยู่

จากภาคเหนือที่อากาศแห้งและหนาวเย็นมายังชายฝั่งทะเลทางใต้ที่ร้อนชื้น เดินทางรอนแรมมาหลายพันลี้ งานของทางการก็มากมาย และยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อีก ดังนั้นตอนที่หวังลี่มาถึงมาเก๊าไม่นาน สภาพร่างกายเริ่มทรุดโทรมลง

ที่มาเก๊ายังเป็นพื้นที่ห่างไกลและรกร้างของมณฑลกวางตุ้ง ขาดแคลนทั้งยาและหมอ ร่างกายหวังลี่ก็มีแต่อ่อนแอลงทุกวัน

ทะเลเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุดรอบเรือสำเภา หนทางกลับบ้านยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น

———————-

[1] รัชสมัยว่านลี่แห่งราชวงศ์หมิงอยู่ในช่วงปีค.ศ. 1573-1620

[2] ฟะรังคี เป็นคำเรียกชาวโปรตุเกสในสมัยราชวงศ์หมิง

[3] รัชสมัยหลงชิ่งแห่งราชวงศ์หมิงอยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1567-1572

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version