Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 5

ตอนที่ 5 มีภารกิจก็เหมือนไม่มี

คนนี้หวังทงจำได้ วันนั้นเป็นผู้ติดตามบิดาตนไปมาเก๊าด้วยกัน เป็นเพียงแค่หัวหน้าหน่วยที่ตำแหน่งต่ำที่สุด ชื่อว่า จางซื่อเฉียง

ตระกูลเดิมของจางซื่อเฉียงเป็นคหบดีที่เมืองทงโจว ใช้เงินซื้อตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรให้เขา เดิมคิดว่าจางซื่อเฉียงจะสามารถช่วยเหลือคุ้มครองครอบครัวได้ คิดไม่ถึงว่าตอนเข้ารับตำแหน่งนั้น บ้านตระกูลจางก็ถูกโจรบุกในยามวิกาล ผู้คนในบ้านถูกสังหารสิ้น ล่มสลายไปในพริบตา

เมื่อไร้เงินทองไร้อำนาจ จางซื่อเฉียงก็ได้แต่ต้องเลี้ยงชีพด้วยการเป็นองครักษ์เสื้อแพร และมักจะทำอะไรอย่างระแวดระวังเสมอ ไม่กล้าล่วงเกินผู้ใด ถึงกับยอมแบกรับฉายาว่า ‘ไอ้ขี้ขลาด’

จางซื่อเฉียงจริงๆ ร่างกายก็แข็งแรงสูงใหญ่ แต่เมื่อตอนอายุราวสามสิบ บั้นเอวก็ดูเหมือนจะงองุ้มลง น่าจะเป็นเพราะมักจะก้มหน้าโค้งคำนับรับคำมากไป จึงได้เป็นเช่นนี้

เมื่อเห็นหวังทงเดินมา จางซื่อเฉียงก็มีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัดชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปกระซิบว่า

“น้องหวัง เมื่อเช้าใต้เท้าเถียนได้จัดสรรตำแหน่งให้เจ้า ให้เจ้าสังกัดกองธงใต้เท้าหลิว…”

“ใต้เท้าหลิว หรือจะเป็นนายกองธงใหญ่หลิวซินหย่ง!?”

นอกประตูจวนมีแค่เขาสองคน เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวังทงพลันรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที นายกองธงใหญ่หลิวซินหย่ง แย่งเอาทรัพย์สมบัติตนไปไม่สำเร็จ ก็ย่อมโกรธแค้น มีผู้บังคับบัญชาเช่นนี้ ภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไรก็คงไม่ต้องเอ่ยแล้ว

เมื่อได้ยินหวังทงเรียกชื่อออกมาตรงๆ ด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก จางซื่อเฉียงก็ตกใจยกมือขึ้นโบกไปมา ลากหวังทงชิดข้างทางพลางเอ่ยต่อว่าขึ้น

“น้องหวัง ชื่อใต้เท้าหลิวจะมาเรียกอย่างนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ว่ากันตามธรรมเนียม หลานชายเข้าแทนตำแหน่งบิดา ในปีนั้นใต้เท้าหวังก็ยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาใต้เท้าหลิว ก็ควร…”

เมื่อเห็นจางซื่อเฉียงท่าทางกังวลใจอย่างที่สุดเช่นนี้ หวังทงพลันรู้สึกไร้สิ้นเรี่ยวแรง ยังพอจำตอนไปมาเก๊าได้ ตนยังเรียกเขาว่า ท่านอา ตอนนี้คนผู้นี้กลับเรียกเขาว่าน้องชาย ท่าทีระมัดระวังถึงเพียงนี้ โทษผู้อื่นไปจะมีประโยชน์อันใด

ในเรื่องการงานไม่อาจเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว หวังทงผู้เข้าใจในแวดวงการทำงานมาก่อนย่อมเข้าใจได้เองในทันที เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามที ประสานมือคารวะจางซื่อเฉียงกล่าวว่า

“ขอบคุณพี่จางที่ตักเตือน ไม่ทราบว่าน้องชายเช่นข้าควรออกประจำการที่ใดหรือ”

เมื่อหวังทงถามขึ้น จางซื่อเฉียงก็ยกสองมือถูกันไปมา อึกๆ อักๆ อยู่นานก่อนจะตอบกระท่อนกระแท่นว่า

“ใต้เท้าหลิวสั่งให้น้องหวังกับข้าอยู่เฝ้าฐาน เตรียมพร้อมสำหรับเรียกกำลัง ไม่ต้องออกประจำการ”

พอฟังจบ สีหน้าหวังทงพลันนิ่งไป ในใจย่อมโกรธเคือง เจ้าหลิวซินหย่งผู้นี้กับตนไม่มีความแค้นเคืองต่อกัน ทำเช่นนี้ก็เหมือนกับปิดทางกันหมดสิ้น

การอยู่เฝ้าฐานฟังดูเหมือนว่าเป็นงานสบาย หากแท้จริงแล้วเป็นการตัดเส้นทางหากิน หวังทงมีความรู้มากมายและยังมีประสบการณ์ยุคปัจจุบัน แน่นอนย่อมรู้กลนัยที่ซ่อนอยู่นี้

เบี้ยเหรียญเงิน[1]ขององครักษ์เสื้อแพรก็มาตรฐานเดียวกับองครักษ์หน่วยอื่น เสบียงอาหารและเงินที่ได้รับก็มาตรฐานเดียวกัน ก็คือปีหนึ่งได้เบี้ยเหรียญเงินเก้าถึงสิบเดือน ยังต้องถูกหักตามลำดับจากเบื้องบนลงมา เงินและเสบียงอาหารนั้นจึงไม่พอจะประทังชีวิต แต่องครักษ์เสื้อแพรนั้นมีอำนาจร้ายกาจหลายอย่าง เช่น สามารถจับกุมคนกระทำผิดเข้าคุกได้โดยไม่จำเป็นต้องไปผ่านศาลปกครองตามขั้นตอน ขุนนางและราษฎรต่างหวาดกลัวอยู่มากพอสมควร

ตั้งแต่รัชสมัยจิ่งไท่[2]เป็นต้นมา องครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวงก็เริ่มส่งนายกองธงเล็ก หัวหน้าหน่วย พลทหารผลัดกันไปประจำการบนถนนสายต่างๆ ทั่วเมืองหลวง อ้างว่าเพื่อสืบข่าวตามจับคนร้าย ช่วยศาลซุ่นเทียน[3]และศาลอาญาใหญ่รักษาความสงบ

แท้จริงแล้วก็เพื่อเก็บเงินทองค่าธรรมเนียมจากร้านค้า ร้านแผงลอยและกิจการค้าต่างๆ ที่เรียกว่าค่าคุ้มครองในโลกสมัยต่อมานั่นเอง ค่าธรรมเนียมที่มูลค่ามากพอตัวนี้จึงสามารถจัดได้ว่าเป็นแหล่งที่มาของทรัพย์สินเงินทองพื้นฐานที่สุดขององครักษ์เสื้อแพร

การได้รับคำสั่งไปปฏิบัติภารกิจนอกพื้นที่ ไม่ว่านายกองธงใหญ่หรือนายกองร้อย นายกองพันที่ตำแหน่งสูงกว่าย่อมแย่งกันเสนอตัวรับใช้ หรือไม่ก็ส่งมอบสัดส่วนที่สมควร แน่นอนว่าเป็นค่าแรงที่ไม่ต้องออกหน้าเอง

จางซื่อเฉียงนับว่าอายุมากกว่าหวังทงเกือบเท่าตัว เมื่อก่อนไม่เคยไปมาหาสู่กัน มักคิดว่าหวังทงเป็นแค่เด็กน้อย แต่วันนี้พบว่าไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว

การกระทำและคำพูดเหมือนผู้ใหญ่เต็มตัว ยามเจรจาพุดคุยกันนี้ ตนเองมักรู้สึกเหมือนถูกข่ม

เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หวังทงคลายมือที่ประสานกันออก ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้ม นายกองร้อยเถียนหรงหาวรับเงินทองจากเขาไปเป็นเรื่องจริง แต่ก็จัดเขาให้เข้าสู่สำนักองครักษ์เสื้อแพร ส่งจางซื่อเฉียงมารออยู่ด้านนอก ไม่จัดคนของตนเองมา ก็แสดงให้เห็นชัดว่าสองฝ่ายไม่เกี่ยวข้องกันอีก

ลูกหลานเข้าแทนตำแหน่งบิดาก็เป็นธรรมเนียม นายกองธงใหญ่หลิวซินหย่งผู้นั้นคิดอย่างไรคงไม่ต้องเอ่ย แต่สิ่งที่ทำนั้นไร้จุดบกพร่อง หากตนเองไม่ยอมปฏิบัติตาม ต้องการให้จัดการเป็นอื่น ดีไม่ดีอาจตกหลุมพรางคนที่ตั้งใจขุดล่อก็เป็นได้

ในเมื่อเข้าสู่ระบบนี้แล้ว ก็ต้องอยู่ไปก่อน และรอคอยโอกาส

คนที่เคยเข้าสู่สนามการทำงาน แน่นอนย่อมรู้หลักการเหตุผลข้อนี้ดี หวังทงตอนนี้จิตใจสงบลงได้แล้ว อย่างน้อยก็ภายนอกที่แสดงออก ประสานมือขึ้นคารวะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“พี่จาง ข้าน้อยเพิ่งเข้ารับหน้าที่องครักษ์เสื้อแพร ไม่ทราบว่าการอยู่เฝ้าฐานนี้ต้องปฏิบัติงานอย่างไร แนะนำข้าน้อยหน่อยได้ไหมขอรับ”

“จะมีขั้นตอนปฏิบัติอะไรได้ ก็แค่มารายงานตัวที่นี่ทุกวัน มีงานก็ทำ ไม่มีงานก็กลับไป”

ในใจหวังทงพลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงกำลัง นี่มันคือการถูกแช่แข็งไว้ไม่ใช่หรือ หากสีหน้าท่าทางเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ปรากฏเพียงพยักหน้ายิ้มรับ

บริเวณลานด้านหน้าของกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรเงียบสงบและเย็นยะเยือกมาก องครักษ์เสื้อแพรคนอื่นออกไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว คนทั่วไปจะยอมเดินอ้อมไกลขึ้น แต่ก็มิยอมเข้าใกล้ที่แห่งนี้

บ้านพักส่วนตัวของนายกองร้อยเถียนนั้นก็เข้าไปไม่ได้ สองคนจึงได้แต่ประจำอยู่ลานนอกบ้านอย่างนั้นจนฟ้ามืด ตอนเช้าเข้างานต้องรายงานตัว แต่กลางคืนไม่เห็นใครกลับมา จนจางซื่อเฉียงเรียกเขากลับด้วยกัน

ตอนเพิ่งเข้าทำงานปีนั้น หัวหน้าที่ไม่ค่อยถูกชะตากับเขาก็ไม่ได้ให้เขาทำงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ใช้ความสามารถแบบนี้นั่งหลบมุมอยู่ทั้งวัน ตอนนี้กับตอนนั้นช่างเหมือนกันเสียจริง หวังทงคิดพลางแค่นยิ้ม

แม้ว่าถูกทิ้งอยู่ที่กององครักษ์เสื้อแพร แต่วันต่อมาก็รีบไปรายงานตัวแต่เช้าตรู่ หากยามเดินไปบนถนนนั้นกลับรู้สึกว่าต่างจากทุกวัน

เขาสวมชุดคลุมยาวแบบองครักษ์เสื้อแพร เหน็บดาบปักวสันต์ไว้ที่เอว แต่งกายไม่ให้สะดุดตาและก็ไม่มากเกินไป แต่คนที่เคยเดินผ่านไปมาทุกเช้าต่างพากันหวาดกลัวและพยายามหลบหลีก

นี่ก็คือบารมีน่าเกรงขามขององครักษ์เสื้อแพร ตั้งแต่รัชสมัยหงอู่[4]ก็เริ่มสั่งสมบารมีแผ่รังสีความน่าเกรงขามไปยังบรรดาขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊[5]และราษฏร ผู้คนถึงขั้นไม่กล้าจ้องมองตรงๆ

ไม่ว่าหวังทงจะอยู่ในยุคปัจจุบันหรือยุคสมัยนี้ แต่ไรมาก็ไม่เคยสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้ ยามเดินไปบนถนนจึงเงยหน้ายืดอกขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว รู้สึกตัวลอยๆ

ครั้งนี้เขาก็ยังไปแต่เช้า จวนนายกองร้อยเถียนไร้วี่แววผู้คน จึงยืนรอที่นั่นครู่หนึ่ง เห็นชายรับใช้คนเมื่อวานผู้นั้นเดินออกมา

แม้ว่าเคยพบกัน แต่ชายรับใช้ผู้นั้นก็ไม่เอ่ยทักทาย ก้มหน้าก้มตาหยิบอุปกรณ์ ยกถังน้ำออกมากวาดราดหน้าประตู

สวมชุดสีครามและสวมหมวกใบเล็ก มองดูก็รู้ว่าเป็นการแต่งกายของชนชั้นระดับล่าง ผมเผ้าหงอกขาว เอวงองุ้ม อายุค่อนข้างมาก ในมือมีอุปกรณ์อันหนึ่ง อีกมือถือถังน้ำใบหนึ่ง เดินซัดส่ายไปมา

หวังทงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านลุง ข้าช่วยท่าน”

ชายชรารับใช้ผู้นั้นเอียงหน้าเหลือบมองหวังทง เห็นใบหน้าเด็กน้อยของหวังทงก็กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า

“ต้องการให้ข้าผู้น้อยไปเรียนใต้เท้ากระไรหรือ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นายท่านเป็นใคร ข้าผู้น้อยจะพูดกระไรได้…”

……………..

[1] เบี้ยเหรียญเงินคือเงินเหรียญที่ได้รับเป็นเบี้ยหวัดจากกองทัพ

[2] รัชสมัยจิ่งไท่แห่งราชวงศ์หมิงอยู่ในช่วงปีค.ศ. 1450-1456

[3] ศาลซุ่นเทียน เป็นศาลประจำเมืองหลวงทำหน้าที่กวาดล้างจับกุมและตัดสินคดีความ

[4] รัชสมัยหงอู่แห่งราชวงศ์หมิงอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1368-1398

[5] ขุนนางฝ่ายบุ๋นหมายถึงขุนนางที่ใช้สติปัญญาในการรับราชการ ขุนนางฝ่ายบู๊หมายถึงขุนนางที่ใช้กำลังยุทธ์เป็นหลักในการรับราชการ เช่น พวกแม่ทัพ องครักษ์ เป็นต้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version