Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 4

ตอนที่ 4 เดิมพันครั้งใหญ่

เถียนหรงหาวรับกล่องไม้มาด้วยสีหน้าประหลาดใจ เพราะคิดไม่ถึงว่ากล่องไม้จะหนัก ทำให้เกือบจะร่วงตก เมื่ออุ้มไว้ในอ้อมแขนแล้วก็แง้มออก

โอ เสียงแหบพร่าดังขึ้น นายกองร้อยเถียนและผู้คนเบื้องหลังต่างพากันตื่นตะลึง พวกเขาทำการกวาดล้างจับกุมมาไม่น้อย เห็นโลกมาก็มาก ย่อมรู้ว่าเบื้องหน้านี้คือสิ่งใด นี่คือทองบริสุทธิ์เลยทีเดียว เถียนหรงหาวคำนวณปริมาณแล้วน่าจะเกือบสิบกว่าชั่งได้ อย่างน้อยก็ต้องพันกว่าตำลึง

องครักษ์เสื้อแพรแม้ว่าจะบารมีน่าเกรงขาม แต่ในเมืองหลวง ผู้เก่งกล้าสามารถมากบารมีก็มีมากมาย จึงไม่กล้ากำเริบเสิบสานมากนัก ผลประโยชน์ที่มีก็ไม่ให้คนนอกได้มากอย่างนี้ ตั้งแต่รัชสมัยเจียจิ้ง[1]มา งานใหญ่เงินก้อนโตก็มีให้ทำน้อยลงเรื่อยๆ ทุกคนต่างค่อนข้างแห้งกรอบกันถ้วนหน้า เรื่องไปมาเก๊าแดนใต้นั้น หนทางก็ยาวไกล คิดกันว่าเป็นที่ๆ มีกลิ่นอายพิษมากมาย ถึงได้ส่งหวังลี่ไป

คิดไม่ถึงว่าที่มาเก๊านั้น พ่อค้าวานิชแต่ละคนจะร่ำรวยเงินทอง และก็ยังมีกิจการลับมากมาย หวังลี่เก็บเกี่ยวประโยชน์ไว้ได้ไม่น้อยเลย ลูกน้องที่ติดตามหวังลี่ไป หลังจากกลับมาก็ป่าวประกาศกันใหญ่ ถึงได้นำพาพวกหลิวซินหย่งมาที่นี่

เงินตำลึงจำนวนมากมายเช่นนี้ สำหรับเถียนหรงหาวแล้วก็เป็นเงินก้อนใหญ่ที่จับต้องได้ก้อนหนึ่ง นับประสาอะไร เจ้าเด็กน้อยหวังทงยังกล่าวที่มาที่ไปอย่างละเอียดต่อหน้าผู้คนว่า หวังลี่ยืมไปจากตน ตอนนี้คนตายไปก็จะคืนหนี้ให้หมด สมเหตุสมผล ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถครหาได้

อำนาจองครักษ์เสื้อแพรมีมาก นายกองร้อยแม้ว่าตำแหน่งไม่สูงนัก แต่ก็มีอำนาจมากอยู่ สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้ต้องเป็นผู้มีความคิดเฉียบแหลมพอตัว เถียงหรงหาวตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ ก็มองไปยังหวังทงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพลันถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า

“บิดาเจ้ายังกล่าวอันใดอีกหรือไม่”

หวังทงคุกเข่าลง ‘พรึ่บ’ โขกคำนับสามที สะอื้นตอบว่า

“เรียนใต้เท้า บิดาที่จากไป…บิดาที่จากไปบอกว่าข้าน้อยกำพร้าไร้ที่พึ่ง ขอให้ใต้เท้าช่วยดูแล ให้ข้าน้อยได้เข้าทดแทนตำแหน่งที่ขาดเหลืออยู่ในสำนักองครักษ์เสื้อแพรด้วยขอรับ ท่านลุงท่านอาที่รู้จักกันมาจะได้ช่วยดูแลข้าน้อย…”

พูดจาน่าเศร้า แต่ในใจหวังทงกลับรู้สึกโชคดีที่เดิมพันไม่พลาดเป้า คนของราชสำนักรู้ความนัยดังคาด เงินทองมากมายที่ได้รับอย่างไร้ที่มา อีกฝ่ายย่อมมีเรื่องที่ต้องขอ เถียงหรงหาวถามกลับจริงตามคาด

เงินพันหกร้อยตำลึงแลกตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพร ค่าเงินนี่ไม่รู้ว่าถูกหรือแพง นี่คงต้องขึ้นกับตนเองผู้เกี่ยวข้องจะรู้สึกเองว่าคุ้มหรือไม่แล้ว

“ใต้เท้าเถียน อายุหวังทงน้อยไปหรือไ

ม่ขอรับ”

ไม่มีใครคาดคิดว่า ผู้ที่เอ่ยขึ้นก่อนจะเป็นนายกองธงใหญ่หลิวซินหย่ง ใบหน้าหลิวซินหย่งเต็มไปด้วยความสงสัย แม้มองไม่เห็นข้อน่าสงสัยอันใด แต่กลับติดกับดักหวังทงพอดี

นายกองร้อยเถียนเหลือบตามองอย่างเยียบเย็น ใจหลิวซินหย่งพลันตกวูบ รู้ว่าคำพูดของตนได้ล่วงเกินเข้าแล้ว

นายกองร้อยเถียนเอ่ยกล่าวเรียบนิ่งว่า

“อายุสิบสามจะไปเด็กอะไร หลานเจ้าอายุสิบเอ็ดก็เข้าเป็นทหารม้ากินเบี้ยหวัดแล้วไม่ใช่หรือ”

หลิวซินหย่งก้มหน้าอย่างรู้สึกเสียใจภายหลังกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก เถียงหรงหาวหันไปทางหวังทง กล่าวเป็นการเป็นงานว่า

“ล้วนเป็นลูกหลานคนกันเอง ในเมื่อบิดาเจ้าประสงค์ให้เจ้าได้กินเบี้ยหวัดต่อ รอให้ธุระนี้เสร็จสิ้น เจ้าก็ไปพบข้า ข้าจะให้ตำแหน่งพลทหารแก่เจ้าละกัน”

ตำแหน่งระดับล่างสุดขององครักษ์เสื้อแพรก็คือพลหทาร หากมีคุณวุฒิหน่อยก็จะได้เป็นหัวหน้าหน่วย พอได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ของเถียนหรงหาว ใจหวังทงพลันสงบลง โขกศีรษะคำนับอย่างแรง

ไม่มีใครอยากอยู่ที่โถงไว้ทุกข์นานนัก เมื่อเสร็จธุระแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป ก่อนออกจากประตูนั้น นาย กองร้อยเถียงหรงหาวยังหันกลับมาถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า

“เงินทองคืนให้ข้าหมด เจ้าเด็กน้อยจะกินใช้อย่างไร ยังมีเงินอีกเท่าไร”

หวังทงตกตะลึงคุกเข่าลงตอบว่า

“ยังมีอีกหนึ่งร้อยกว่าตำลึงขอรับ รอให้เข้าประจำการก็จะได้เบี้ดหวัดพอเลี้ยงชีพขอรับ”

เถียนหรงหาวพยักหน้ายิ้มรับ หันกายจากไป หวังทงตะลึงอยู่ที่นั่นพักหนึ่ง ลมหนาวนอกโถงไว้ทุกข์พัดเข้ามาราวกับเขากำลังทำสงครามอันหนาวเหน็บ

คำถามสุดท้าย ทำให้เหงื่อเย็นไหลโทรมกาย ควักเงินทองออกมามากมายเช่นนี้ในครั้งเดียว ทำให้นายกองร้อยเถียนจิตใจหวั่นไหว คิดจะสืบความต่อว่าในมือหวังทงยังมีอีกกี่ตำลึง หากยังมีอีกมากเกรงว่าเขาก็คงคิดจะฮุบเอาไปเช่นกัน แต่หวังทงตอบสนองว่องไว รายงานจำนวนที่ไม่ควรค่าแก่การลงมือ

ทุกคนคิดว่าเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์คงไม่โกหก ทำให้หลบมหันตภัยใหญ่พ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ

องครักษ์เสื้อแพรไม่เคยมีตำแหน่งว่าง ตำแหน่งเหลือก็จะนำลูกหลานมาบรรจุต่อให้เต็มจำนวน แต่หลังรัชสมัยอิงจง[2]เริ่มมีราษฎรทั่วไปได้รับการคัดเลือกเข้ามา ต่อมาระบบเสื่อมโทรมลง มักมีลูกหลานขององครักษ์เสื้อแพรที่เข้าบรรจุไม่ได้ ทำให้คนอื่นเข้ามาสวมแทนตำแหน่งที่ขาดไป

เมื่อจัดการงานศพเสร็จ หลังจากฝังศพเรียบร้อย ในมือหวังทงยังมีอีกสี่ร้อยยี่สิบตำลึงเงิน เขาซ่อนไว้ใต้ช่องลับในห้องนอน

ยามเขาและบิดาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนั้นก็รู้จักใช้เงิน การกินและเสื้อผ้าอาภรณ์ของตระกูลหวังก็นับว่าอยู่ในครอบครัวระดับสูง ปีหนึ่งใช้เงินไม่ถึงสิบตำลึงเงิน สี่ร้อยยี่สิบตำลึงเงินนี้อาจจะทำอะไรได้มากมาย แต่การนั่งกินนอนกินคงไม่ใช่แผนระยะยาว และอาจทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้

งานศพงานมงคลต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ แต่หวังทงตัวคนเดียว ไว้ทุกข์ที่บ้านได้เจ็ดวันก็ต้องไปรายงานตัวรับตำแหน่งที่สำนักองครักษ์แล้ว

องครักษ์เสื้อแพรแม้ว่าเป็นทหารองครักษ์เช่นกัน แต่เพราะเป็นองค์กรที่มีภารกิจพิเศษ จึงไม่ต้องรวมตัวกันในฐานกำลัง สมาชิกองครักษ์เสื้อแพรนอกจากเป็นองค์กรพิเศษแล้ว ยังสามารถพักอาศัยกันที่บ้าน ทุกวันช่วงเช้ายามเหม่า[3]จึงจะมารายงานตัวและออกประจำการ หากหลายพันคนต้องมารายงานตัวที่สำนักองครักษ์เสื้อแพรเหนือใต้แล้วละก็คงเป็นไปไม่ได้

ดังนั้นวิธีที่ปฏิบัติที่ผ่านมา องครักษ์เสื้อแพรจะไปรายงานตัวยังกองร้อยที่ตนสังกัด เพื่อฟังคำสั่งจัดสรรแบ่งงาน

วันที่สองเดือนสิบ วันนั้นหวังทงตื่นแต่เช้าตรู่ ประสบการณ์ยุคปัจจุบันบอกเขาว่า วันแรกที่เข้างานต้องไปให้เช้าและต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้หัวหน้าประทับใจ

เสื้อผ้าที่สวมแม้จะไม่ใหม่ แต่ก็ซักจนสะอาดลงแป้งเรียบกริบไว้นานแล้ว หวังทงเก็บของสักพักก็ออกจากบ้านไป

เขตรับผิดชอบของนายกองร้อยเถียนหรงหาวอยู่ละแวกนี้ จากบ้านเดินไปจวนนายกองร้อยเถียนระยะทางแค่ธูปก้านหนึ่งเท่านั้น ก็ไม่ไกลเท่าไร ตอนออกจากบ้านฟ้าเพิ่งจะสว่างรำไร พอไปถึงประตูจวนกลับไม่พบเห็นผู้ใด หวังทงร้อนใจ หากได้แต่คอยอยู่ตรงนั้น

คนที่พบเขาคนแรกก็คือชายรับใช้ผมขาวผู้หนึ่งที่ออกมาจวนนายกองร้อยเถียน พอถามจุดประสงค์ที่มาเข้าใจแล้ว ก็เดินกลับเข้าไป ไม่นานนักมีอีกคนมานำหวังทงเข้าไป

เถียนหรงหาวผู้นั้นสวมชุดลำลองสบายๆ กำลังรำมวยอยู่ที่ลานบ้าน พอเห็นหวังทงมาถึงก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับ กล่าวชมเชยขึ้นในทันที

รอบกายนายกองร้อยเถียนมักจะเป็นพวกชายหนุ่มท่าทางหยาบกระด้าง มีความเป็นชาวบ้านร้านตลาดอยู่มากไม่มีความสุภาพเรียบร้อย หากหวังทงผู้นี้ท่าทางสะอาดสอ้าน หยิบจับทำอะไรก็อ่อนโยนนุ่มนวลทั้งรู้กาละเทศะ เห็นแล้วก็สบายตายิ่งนัก กอรปกับมีสองร้อยกว่าตำลึงเป็นสินน้ำใจ แน่นอนย่อมให้ภาพประทับใจ

กำชับไปสองสามประโยค เถียนหรงหาวก็ให้คนผู้หนึ่งพาหวังทงไปรับชุดและป้ายคำสั่งที่กองเอกสาร สำนักงานองครักษ์เสื้อแพรที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมือง และยังบอกว่าทันทีที่จัดการขั้นตอนเรียบร้อยแล้วก็ให้กลับมารับคำสั่งปฏิบัติงาน

กองเอกสาร สำนักงานองครักษ์เสื้อแพรตั้งอยู่เขตปัจจิมของเมืองหลวง ตอนรับป้ายคำสั่งกับชุดกลับมา พระอาทิตย์ก็คล้อยไปทางตะวันตกแล้ว

การจัดสรรงานก็ผ่านไปแล้ว ประตูใหญ่ของจวนนายกองร้อยเถียนก็ว่างเปล่าเหมือนกับตอนที่มายามเช้า มีชายกลางคนผู้หนึ่งคอยอยู่ที่ประตู

———————-

[1] รัชสมัยเจียจิ้งแห่งราชวงศ์หมิงอยู่ในช่วงปีค.ศ. 1522-1566

[2] รัชสมัยอิงจงแห่งราชวงศ์หมิงอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1436-1449

[3] ราวตี 5- 7 โมง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version