Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 269

ตอนที่ 269 ที่ประชุมกล่าวถึงเทียนจิน ไยถามถึงหวังทง

“ตอนเสนาบดีถานยังอยู่ ก็เคยเอ่ยถึงเฉินหลินกับเรา บอกว่าหากเป็นกองทัพเรือ คนผู้นี้อันดับหนึ่ง”

หลี่ว์กวงหมิงทูลถามขึ้นนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เอียงพระพักตร์ไปทางจางจวีเจิ้งตรัสขึ้น ทิ้งให้คนผู้นั้นรออยู่ตรงนั้น โอรสสวรรค์ตรัสถาม ขุนนางรอคอยก็ควรอยู่

จางจวีเจิ้งหันมาพยักหน้าทูลว่า

“ทูลฝ่าบาท ถานจื่อหลีก็เคยเอ่ยถึงคนผู้นี้กับกระหม่อม แต่พวกโจรสลัดประเทศวอนั้นปราบไปแล้ว โจรทะเลแถบกวางตุ้งก็ไม่กล้ารุกรานขึ้นมาบนแผ่นดิน ทัพเรือแค่เตรียมป้องกัน ประโยชน์ไม่มาก เฉินหลินก็เป็นแม่ทัพบกที่ดี ปราบพวกกบฏเผ่าแม้วก็มีความดีความชอบ นับว่าเป็นขุนพลที่มีความสามารถ”

ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตรัสขึ้นด้วยสีพระพักตร์จริงจังว่า

“บนบกเป็นดินแดนของเรา หรือว่าบนทะเลจะไม่ใช่? พวกฝรั่งหัวแดงใช้อุบายเช่ามาเก๊าจากกวางตุ้งไป เราคิดขึ้นมาเมื่อใดก็รู้สึกไม่สบายใจ แม้ว่ามีสัญญาชัดเจน แต่ไม่อาจให้พวกเขาอยู่เหนือกฎหมายราชวงศ์หมิงเรา ท่านจาง ขอให้คณะเสนาบดีลองปรึกษากับกรมทหารดูหน่อย ให้เฉินหลินนำทัพเรือออกตรวจตราสักหน่อย”

จางจวีเจิ้งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็หันไปสบตากับจางซื่อเหวย น้อมกายลงทูลว่า

“กระหม่อมรับพระบัญชา หากมีเรื่องหนึ่งฝ่าบาทควรต้องระวัง บนแผ่นดินเป็นรากฐานราชวงศ์ บนทะเลเป็นเรื่องเล็กน้อย มหาขันทีซานเป่า[1]ออกทะเลใช้เงินไปมากมายมหาศาล ไม่อาจให้กระทำต่อไปอีกแล้ว”

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่บรรดาขุนนางในที่ประชุมเหวินเหยียนเก๋อล้วนเห็นด้วย ทุกคนต่างคุกเข่าลงรับพร้อมเพรียง กล่าวว่า

“ขอฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้รอบคอบ!”

ฮ่องเต้ว่านลี่คิดไม่ถึงว่าวาจาของพระองค์จะก่อเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ได้ ทรงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตรัสถามขึ้นว่า

“ตอนเราอยู่ลานฝึกหู่…เราเคยได้ยินว่า ทะเลมีทรัพย์มากมายเหลือคณา เขตปกครองใต้และเมืองชายทะเลการค้าก็รุ่งเรืองอันดับหนึ่ง….”

พระดำรัสตรัสออกมา ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ บรรดาขุนนางต่างสบตากันไปมา เฝิงเป่ากับจางเฉิงสองคนก็สบตากันไปมา จางเฉิงกำมือแน่นเดินออกมาจากทางด้านข้าง คุกเข่าลงโขกศีรษะทูลว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมสมควรตาย เมื่อวานเพื่อให้ฝ่าบาททรงดีพระทัย จึงได้เล่าเรื่องจากนิทานในหนังสือให้พระองค์ฟัง เรื่องในนั้นล้วนแต่งขึ้น ทำไม่ได้จริง ทำให้ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยผิด กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อมสมควรตาย!”

ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ใบหน้ากลมขาวผ่องเริ่มแดงลามอย่างรวดเร็ว จางเฉิงโขกศีรษะดังไม่หยุด ฮ่องเต้ว่านลี่หรี่ตามองไปยังจางจวีเจิ้งที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น เห็นว่าจางจวีเจิ้งกำลังส่ายหน้ามองมาที่พระองค์

สีพระพักตร์แดงก่ำค่อยๆ ผ่อนลง เงียบไปครู่หนึ่งก็ตรัสว่า

“ไม่เกี่ยวกับจางปั้นปั้น เป็นเราที่หูเบาเอง ลุกขึ้นเถิด ขุนนางทุกท่านลุกขึ้นเถิด!”

ขันทีให้ฮ่องเต้อ่านนิทานเรื่องเล่า และยังให้ทรงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ยังให้ทรงนำเรื่องที่คิดว่าจริงมาตรัสในที่ประชุม นี่ไม่รู้ว่าโทษสถานใดกัน บรรดาขุนนางในที่ประชุมต่างก็ควรจะขอให้ฮ่องเต้ลงโทษให้หนัก ไม่อาจละเว้น แต่ครั้งนี้ทุกคนกลับนิ่งเงียบอย่างมาก

จางเฉิงที่เป็นมหาขันทีมาหลายสมัย ปากบอกว่าตนเองความผิดเทียมฟ้า แต่พอลุกขึ้นกลับทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินกลับไปยืนข้างเฝิงเป่า

เจ้ากรมฝ่ายซ้ายหลี่ว์เหวินกวงแห่งสำนักตรวจสอบที่เมื่อครู่เหมือนถูกทิ้งค้างอยู่ตรงนั้น แต่ก็รู้งานยิ่ง ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร รอให้ที่ประชุมเงียบลง ก็เสนอขึ้นอีกว่า

“ฝ่าบาท ขุนนางจากสำนักตรวจสอบ สำนักราชบัณฑิตและสำนักการศึกษาหลายวันนี้มีส่งฎีกาไปที่กรมฎีกาแล้ว ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงมีพระประสงค์เช่นไร?

รอยแย้มสรวลบนพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่มลายหายไปสิ้น ตรัสด้วยสุรเสียงเยียบเย็นว่า

“เหตุใดขุนนางหลี่ว์จึงมั่นใจเช่นนี้ ท่านทราบได้อย่างไรว่าฎีกาไม่ได้ถูกสำนักส่วนพระองค์ตีกลับไป เราจะต้องได้อ่านฎีกานั้นกัน?”

หลี่ว์กวงหมิงหน้าถอดสี ตามธรรมเนียมฎีกาต้องส่งไปที่สำนักฎีกา จากนั้นสำนักฎีกาก็จะส่งไปที่สำนักส่วนพระองค์ ผ่านการตรวจสอบแล้วจึงได้ทูลเกล้าฮ่องเต้ หลายครั้งที่ฎีกาไม่สำคัญสำนักส่วนพระองค์ก็จะตัดสินใจไป ฎีกาที่ไม่เป็นผลดีต่อขันทีก็จะตีกลับคืนไปทันที ฮ่องเต้ไม่มีทางได้ทอดพระเนตร

หลี่ว์กวงหมิงราวกับรู้ว่าฎีกานั้นได้ถึงพระหัตถ์ฮ่องเต้แล้ว จึงได้เอ่ยปากทูลถามเช่นนี้ กลับถึงฮ่องเต้ว่านลี่จับจุดตายไว้ได้

“ฝ่าบาทพะยะค่ะ ใต้เท้าหลี่ว์เดิมก็มีหน้าที่ตรวจสอบขุนนาง การทูลถามเช่นนี้ก็อยู่ในหน้าที่ กล่าวพลาดไปบ้าง ของทรงโปรดอภัย อย่าได้ถือสาเอาความพะยะค่ะ!”

หลี่ว์กวงหมิงไม่รู้ว่าตนควรจะคุกเข่ารับผิดหรือไม่อยู่นั้น จางจวีเจิ้งก็ออกหน้าหาทางออกให้เขา กล่าวจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ทรงถามต่ออีก หากตรัสต่อด้วยสุรเสียงอัดอั้นว่า

“เราวันไหนไม่ได้รับฎีกาบ้าง ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าใต้เท้าหลี่ว์กล่าวเรื่องใด!?”

“ใต้เท้าหลี่ว์ ฎีกาย่อมมากเกินกว่าจะนำขึ้นหารือ ใต้เท้าหลี่ว์เป็นถึงผู้บังคับบัญชาการตรวจสอบขุนนาง ย่อมทราบเรื่องมากที่สุด กล่าวมาอย่าได้อ้อมค้อม!”

จางจวีเจิ้งอ้างเหตุผลปกป้อง หลี่ว์กวงหมิงจึงได้ค่อยๆ สงบใจ ทูลต่อด้วยเสียงดังกังวานว่า

“สามกองกำลังพิทักษ์ประจำเมืองเทียนจินเป็นพื้นที่ขนส่งทางน้ำ เป็นที่รวมของเสบียงที่สำคัญ เป็นเมืองสำคัญอันดับหนึ่ง ราชสำนักจัดตั้งที่ทำการก็ขึ้นลงโทษพวกทำผิดกฎหมาย เร่งรัดการขนส่งเสบียง ที่เทียนจินยังจัดให้มีที่ทำการกองพันองครักษ์เสื้อแพร หากบัดนี้นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทงกระทำการกำเริบเสิบสาน ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง”

ได้ยินชื่อ ‘หวังทง’ บรรดาขุนนางในที่ประชุมเหวินเหยียนเก๋อสองสามคนก็ก้มหน้าลงทันที และยังทำท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดหนัก พากันถอยหลังไปสองสามก้าว

“หวังทงนำกำลังองครักษ์เสื้อแพร วางอำนาจในเมือง บังคับร้านค้าแต่ละร้านให้ซื้อป้ายสงบสุข ขูดรีดเงินทอง ยังสังหารชาวบ้านบริสุทธิ์กลางท้องถนน บรรดาราษฎรเทียนจินต่างพากันหนีตาย หลายวันก่อนยังนำทหารเข้าเมืองมาขับไล่ราษฎรบริสุทธิ์ให้ออกจากเมือง ทุกคนต่างเกรงบารมี แค้นใจหากมิกล้าเอ่ย”

หลี่ว์กวงหมิงกล่าวจบ เจ้ากรมตรวจสอบฝ่ายขวาเสิ่นปิ่งเฟิงก็ร่ายยาวออกมาว่า

“เทียนจินเป็นที่ตั้งกองกำลังสำคัญ ไม่อาจมีข้อผิดพลาดแม้เพียงนิด หวังทงทำเช่นนี้ เป็นการโกงกินไร้กฎหมายในสายตาไม่ว่า ยังเป็นการทำลายชื่อเสียงราชสำนัก ส่งผลต่อการขนส่งเสบียงจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดิน กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงจับหวังทงดำเนินการตามกฎหมาย และลงโทษผู้บังคับบัญชาสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วที่ไม่ดูแลให้ดี!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับอยู่ที่นั้นทอดพระเนตรมายังขุนนางทั้งสองแถว พระองค์ทรงมองสีหน้าขุนนางเก่าแก่ไม่ออก แต่ละคนท่าทางเหมือนกันหมด

ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเอนกายลงพิงที่ประทับ สีพระพักตร์ที่เดิมเย็นเยียบค่อยๆ เริ่มฉายรอยแย้มสรวล บรรดาขุนนางแม้ว่ายืนตัวตรงนอบน้อม แต่ทุกคนต่างก็แอบลอบมองสีพระพักตร์ฮ่องเต้

รอยแย้มสรวลที่ปรากฏอย่างไม่คาดคิดเช่นนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกลึกล้ำยากคาดเดา ทุกคนต่างรู้สึกว่ามีอะไรแปลกอยู่บ้าง ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสขึ้นว่า

“ขุนนางหลี่ว์กับขุนนางเสิ่นมีฎีกาอื่นหรือไม่?”

หม่าจื้อเฉียงที่เอาแต่เงียบมานานก็ทูลขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ฝ่าบาท กองขนส่งกรมอากรหลายวันก่อนก็มีสารมาถึงกระหม่อม รายงานว่านายกองพันหวังทงเป็นปรปักษ์กับพวกแรงงานที่คลองส่งน้ำเทียนจินมาก ร้ายแรงยิ่ง ฝ่าบาท การขนส่งที่คลองส่งน้ำนั้นไม่อาจมีข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย มิเช่นนั้นจะจัดส่งเสบียงไม่ทัน เกรงว่าจะใกล้จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

รอยแย้มสรวลบนพระพักตร์จืดจางลง ตรัสสุรเสียงดังกังวานว่า

“ต้าปั้น เอารายงานสำนักบูรพากับสารพวกนั้นมา!”

เฝิงเป่ารีบนำกองเอกสารหลายกองย้ายไปเบื้องหน้าพระพักตร์ บรรดาคนที่รู้เรื่องความนัยต่างจ้องไปยังเฝิงเป่า ขันทีว่านเต้าที่เทียนจินย่อมต้องส่งสารมาด้วย เหตุใดเฝิงเป่าไม่เอ่ยถึง หากหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ออกมาพูดด้วย ย่อมมีพลังมากขึ้นเป็นแน่

“ขุนนางทุกท่าน เคยได้ยินชื่อสำนักนาวาสุคนธ์หรือไม่?”

ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงหยิบเอกสารขึ้นมาม้วนหนึ่งถามอย่างไม่จริงจังนัก บรรดาคนในห้องพากันอึ้งไป จางจวีเจิ้งกำลังคิดจะยกมือขึ้นลูบเครา แต่พอได้ยินก็หันไปมองบรรดาคนในห้อง สีหน้าขุนนางทุกคนต่างพากันถอดสี เป็นเฝิงเป่าที่กล่าวขึ้นเบาๆ ด้านหลังว่า

“สำนักนาวาสุคนธ์เป็นองค์กรของแรงงานท่าเรือและคนงานบนเรือรวมตัวกันก่อตั้งขึ้น”

เฝิงเป่าคุมสำนักบูรพา ย่อมกระจ่างแจ้งในข่าวพวกนี้ดี ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสต่อว่า

“พอคนมาก จิตใจก็เหิมเกริม สำนักนาวาสุคนธ์อาศัยว่าคนมาก บีบบังคับร้านค้าในเมืองให้ปักธูป ธูปพวกนี้ก็จะเก็บเงิน ประชาลำบาก ทนทุกข์นานปี เฝิงต้าปั้น มีเรื่องนี้หรือไม่?”

“ทูลฝ่าบาท มีเรื่องเช่นนี้จริงพะยะค่ะ”

“หวังทงไม่เกรงกลัวอันตราย กวาดล้างสิ้นซาก เขาจัดการสังหารกลางถนน ก็เพื่อช่วยเหลือเจ้าทุกข์ที่ถูกพวกสำนักนาวาสุคนธ์บีบคั้น ได้ยินมาว่าใช้กำลังฉุดคร่าหญิงสาว บีบให้ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว เฝิงต้าปั้น เรื่องนี้ รายงานสำนักบูรพาน่าจะมีกระมัง”

“ทูลฝ่าบาท มีทั้งหมด เจ้าทุกข์ได้ประทับลายนิ้วมือในเอกสารส่งมาแล้วพะยะค่ะ ยังมีรายงานบรรดาการกระทำชั่วร้ายของสำนักนาวาสุคนธ์อีกด้วย”

เฝิงเป่าทูลด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าฉายแววช่วยไม่ได้ ไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ตอบอย่างไม่อาจรอช้า ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลหยิบเอกสารใส่คืนกลับไป ตรัสถามอย่างนุ่มนวลว่า

“ขุนนางทุกท่าน สำนักนาวาสุคนธ์วางอำนาจก่อเรื่องเหนือกฎหมายมานานเช่นนี้ ขุนนางที่เทียนจินไม่มีรายงานมาสักคน เฝิงต้าปั้น จางต้าปั้น ฎีกาจากสำนักฎีกาที่มายังสำนักส่วนพระองค์ ได้ส่งคืนกลับไปหรือไม่ เราไม่เห็นเลย?”

สำนักส่วนพระองค์ปิดบังฮ่องเต้ ความผิดนี้แม้ว่าจะเป็นเฝิงเป่าที่กุมอำนาจในฝ่ายในก็รับไม่ไหว เฝิงเป่าหันไปมองจางเฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กับบรรดามหาขันทีในห้องทรงอักษร ทุกคนล้วนส่ายหน้าพร้อมเพรียง เฝิงเป่าทูลขึ้นเสียงดังกังวานว่า

“ทูลฝ่าบาท ตั้งแต่กระหม่อมดูแลสำนักส่วนพระองค์มาก็มิเคยได้รับรายงานเช่นนี้มาก่อน คนของสำนักบูรพาที่ส่งไปซุ่มที่เทียนจินก็เคยมีรายงานมา แต่ตามธรรมเนียมเรื่องพวกนี้ก็จะตั้งเรื่องไว้ก่อนก็พอ ไม่จำเป็นต้องนำขึ้นทูลเกล้า”

ว่านลี่ฟังไปพยักหน้าไป รอเฝิงเป่ารายงานจบ ว่านลี่ก็หันไปทางหลี่ว์กวงหมิงและเสิ่นปิ่งเฟิงที่ยื่นอยู่ทางนั้น ตรัสถามเย็นชาว่า

“สำนักนาวาสุคนธ์วางอำนาจก่อเรื่องเหนือกฎหมายมานานเช่นนี้ ขุนนางที่เทียนจินไม่มีรายงานมาสักคน เหตุใดนายกองพันหวังลงมือปราบปราม ขุนนางทุกท่านก็พากันเคลื่อนไหวโจมตีทันที ในนี้มีพวกสมรู้ร่วมคิดกันหรือ?

เจ้ากรมตรวจสอบซ้ายขวาสบตากันไปมา พากันคุกเข่าลง สีหน้าของทุกคนในห้องดูไม่เป็นธรรมชาตินั้น ฮ่องเต้ว่านลี่เอนลงพิงที่ประทับ สุรเสียงเริ่มจริงจัง ตรัสว่า

“กองตรวจการที่เทียนจิน ขุนพลที่ปรึกษาเทียนจิน ขุนพลคุมกำลังพลจากศาลเหอเจียน ไม่มีผู้ใดตรวจพบความผิดที่ละเลยหน้าที่ แต่เหตุใดผู้ที่ออกหน้าปราบปรามพฤติกรรมชั่วกลับถูกยื่นฎีกา สำนักตรวจสอบตรวจสอบกันเช่นนี้หรือ!!?”

วันในหน้าร้อนอากาศร้อนยิ่ง แต่หอประชุมเหวินเหยียนเก๋ออยู่ๆ ก็กลับหนาวเหน็บ

………………..

[1] หมายถึงเจิ้งเหอในราชวงศ์หมิง เป็นขันทีที่นำกองทัพเรือล่องลงสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อภาษาแต้จิ๋วว่า ซำปอกง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version