ตอนที่ 289 เรื่องนี้เพื่อประโยชน์ต่อราชสำนักและชาวประชา
คนออกทะเลมักเห็นโลกกว้าง เมื่อเห็นผู้คนหลายพันคนกำลังลงมือก่อสร้างขนานใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำทะเลด้วยไม้และหินหมาสือที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เครื่องมือพร้อมสรรพ ยุ่งกันตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ แต่ละแท่นล้วนมีรูปแบบเหมือนกัน มีปืนใหญ่สีดำมันปลาบวางอยู่บนแท่น ผู้ใดไม่เคยเห็นป้อมปืนริมแม่น้ำกัน? การจากไปนั้นพูดง่าย หากมองไปกลางแม่น้ำเห็นซากเรือที่จมลงเหลือเพียงเสากระโดง มองไปยังรูโหว่ที่ลำเรืออีกสองลำ ทุกคนก็รู้สึกเย็นวาบไปตามๆ กัน
ใต้เท้าผู้นั้นดูแล้วอายุยังน้อย ท่าทางและวาจาประณีประนอมยิ่ง แต่เด็กภาคเหนือ-ใต้หรือชาวริมทะเลที่ไหนอายุสิบกว่าขวบถือดาบออกสังหารผู้คนกัน ไม่มีผู้ใดคิดว่าจะรอดตัวไปได้
ตรวจสอบสินค้าและจ่ายภาษีเสร็จก็จากไปได้ ทุกคนยิ่งไม่อยากจะเชื่อ แต่ทุกคนก็คิดพร้อมกันว่า หรือว่าจะให้เรือทุกลำมอบสินค้าและเงินทองบนเรือไว้ที่นี่ จากนั้นก็สังหารทุกคน ปล่อยวิญญาณทุกคนกลับบ้าน!
พอเห็นใบหน้าหวังทงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พวกพ่อค้านักเดินเรือเหล่านี้ก็เริ่มสั่นเทา
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าจะเก็บภาษีเท่าไร?”
มีคนถามด้วยความหวาดกลัว ทุกคนล้วนคิดด่ากันอยู่ในใจ คิดว่าชีวิตนี้คงยากที่จะรักษาไว้ได้ เจ้ายังคิดจะจ่ายภาษีอะไรของเจ้าอีก
“สองส่วน!!”
บรรดาคนนับพันนี้ มีเพียงร้อยคนเท่านั้นที่มีสถานะพอจะตัดสินใจได้ หวังทงกล่าวเสียงดัง ผู้คนเหล่านี้สามารถได้ยินอย่างชัดเจน
เบื้องหน้าเงียบกริบ หวังทงคิดว่าได้ยินคำพูดของเขาไม่ชัด จึงตะโกนดังกว่าเดิมอีกรอบ ยังคงเงียบกริบ
“ใต้เท้า แค่สองส่วน?”
นานกว่าจะได้สติ มีคนลองเอ่ยถามขึ้น ครั้งนี้ไม่มีผู้ใดสบถด่าในใจแล้ว ทุกคนล้วนตั้งใจฟังให้ชัดเจน
“ย่อมมิใช่…”
หวังทงแกล้งไม่ยอมกล่าว เห็นสีหน้าของทุกคนเริ่มหมดหวัง ก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มกล่าวต่อว่า
“ทุกคนไม่ได้รายงานสินค้าในครั้งนี้ด้วยตนเอง จ่ายภาษีปรับหนึ่งเท่า ก็คือสี่ส่วน”
“ใต้เท้า สองส่วนสี่ส่วนนี่คิดมูลค่าของสินค้าเท่านั้นหรือ?”
เสียงของคนที่ถามคำถามสั่นเล็กน้อย ลูกเรือและพ่อค้าวาณิชต่างส่งสายตาจับจ้องมาที่หวังทง ทำเอาองครักษ์ข้างกายหวังทงเริ่มเครียดเล็กน้อย เตรียมป้องกันการลงมือที่อาจเกิดไม่ทันตั้งตัว
“คิดตามมูลค่าของสินค้า!”
เสียงของหวังทงไม่ดังมากนัก แต่ก็หนักแน่น เสียงฮือฮาดังขึ้น ความหวาดกลัวและสิ้นหวังมลายไปสิ้น ทุกคนสุมหัวกระซิบกระซาบกัน เสียงหึ่งดังไปทั่วบริเวณ
“แต่เงินทองที่เรือแต่ละลำขนออกทะเลก็ต้องจ่ายภาษี ไม่ว่าจะเป็นเงินอีแปะหรือเงินก้อนทองก้อน หนึ่งส่วนจากสิบส่วน”
“ใต้เท้า เงินเหล่านี้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว ไม่ได้ไว้ทำการค้า…”
อารมณ์ของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เห็นว่าหวังทงคุยกันได้ ดูแล้วก็มิใช่ว่าจะแย่งชิงอย่างไม่ฟังความอันใด พ่อค้าพวกนี้ก็ใจกล้ามากขึ้น
“ไม่ว่าพวกเจ้าขนอะไรเข้ามา พอขายหมดก็ล้วนได้กำไรใหญ่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเงินก้อนทองก้อน ซื้อของทางเหนือถูกย่อมต้องเหลือเงินกำไรก้อนใหญ่ หากไม่ขนสินค้ามา ไม่ได้ขายสินค้า ก็ย่อมไม่มีเงินก้อนใหญ่ ทว่าแต่นี้ไป ทุกคนขนสินค้ามา หากจ่ายภาษีแล้ว ก็ให้แสดงหลักฐานก่อนออกไป เก็บแค่ภาษีจากมูลค่าสินค้าเท่านั้นพอ”
“ใต้เท้า พวกข้าน้อยก็มักต้องพกเงินไว้ยามฉุกเฉิน พวกนี้ก็หากต้องรายงานด้วย ก็ขาดทุนก้อนใหญ่แล้วท่าน!”
“เรือแต่ละลำสามารถลดหย่อนภาษีได้สามร้อยตำลัง”
ได้ยินหวังทงตอบคำถามตนอย่างประณีประนอม ทุกคนก็เริ่มกล้ามากขึ้น มีคนรีบแย่งพูดขึ้นว่า
“ใต้เท้า หากพวกข้าน้อยพกเงินมากหน่อย มิใช่ว่าถูกเหมาไปด้วยหรือ”
“ไม่มีเหตุอันควร พกเงินทองมากมาย ประสงค์สิ่งใดกัน หากพบเห็นเรื่องเช่นนี้ ข้าไม่เก็บภาษีเด็ดขาด แต่จะจับเข้าคุกไต่สวนแทน!”
น้ำเสียงหวังทงอยู่ ๆ ก็ดังขึ้น สีหน้าเริ่มดำคล้ำลง พอผ่อนสีหน้าให้หน่อยก็เริ่มเอาใหญ่ ไม่รู้จักหนักเบากันเลย
เมื่อเห็นหวังทงเช่นนี้ ทุกคนก็เริ่มสำนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองได้อีกครั้ง พากันหุบปากกันทันที กวาดตามองไปรอบ ๆ ทุกคนพากันเงียบลงทันที
วาจาเมื่อครู่ของหวังทงแฝงนัยยะไว้ไม่น้อย พอทุกคนเริ่มนิ่งลงได้อีกครั้ง ก็เริ่มคิดถึงคำพูดที่หวังทงกล่าวออกมาเมื่อครู่ว่าหมายความว่าอย่างไรกันแน่
ความวุ่นวายรอบด้าน เสียงดังที่ผิดไปจากปกติ มีแต่บริเวณนี้ที่เงียบกริบ ครั้งนี้เงียบไปนาน หวังทงไม่รีบร้อน ปฏิกิริยาของทุกคนแสดงให้เห็นว่ากำลังไตร่ตรองคำพูดเมื่อครู่ของเขา
หม่าซานเปียวไปได้นานครึ่งชั่วยามกว่าแล้ว มีพลทหารม้าผู้หนึ่งรีบเร่งควบตะบึงมาถึง กระโดดลงจากหลังม้ารายงานว่า
“ใต้เท้า นายกองหม่าถึงสำนักอาวุธปืนไฟแล้ว ให้ข้าน้อยกลับมารายงานใต้เท้า ล้อมที่นั้นไว้หมดแล้ว ไม่ปล่อยให้เล็ดรอดออกไปได้แม้แต่คนเดียว”
หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“รีบกลับไปและบอกหม่าซานเปียวว่า เฝ้าไว้ให้แน่นหนา ไม่ว่าผู้ใดหรือขุนนางใดจะเข้าไปก็ต้องรั้งไว้ เจ้าเปลี่ยนม้าก่อน รีบกลับไปรายงาน!”
พลทหารม้าคำนับแบบทหารเสร็จก็รีบโดดขึ้นม้าจากไป ในใจของหวังทงอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าการสร้างป้อมปืนที่ริมทะเลเมืองเทียนจินเพื่อเก็บภาษี กลับพบเจอเรื่องเช่นนี้ได้ เมืองเทียนจินห่างจากเมืองหลวงไม่เกินสามวัน คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องสมคบคิดที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายเช่นนี้ได้
“ใต้เท้า ความหมายของท่านเมื่อครู่ก็คือ เข้าออกเมืองเทียนจิน วันหน้าล้วนสองส่วน?”
ไม่รู้ว่าทำไม น้ำเสียงคนที่ถามคำถามนั้นสั่นเล็กน้อย หวังทงยิ้มและพยักหน้า หากก็กล่าวสำทับมาอีกประโยคหนึ่งว่า
“สินค้าทั่วไปย่อมเก็บเช่นนี้ หากเป็นสินค้าต้องห้ามหรือสินค้าที่ทำกำไรมหาศาลนั้นอยู่นอกกฎเกณฑ์นี้”
“ใต้เท้า ผ้าไหมนับไหม?”
หวังทงส่ายหน้า ตามมาด้วยเสียงดังจอกแจกกระหึ่มขึ้น “เครื่องกระเบื้องนับไหม” “ไม้ไผ่นับไหม” หวังทงปฏิเสธทีละอย่าง ทุกคำถามล้วนเป็นสินค้าทั่วไป ย่อมไม่เข้าข่ายที่เขากล่าวไว้
กว่าจะทำให้ทุกคำถามเงียบลงได้ก็นานอยู่ ตอนนี้เริ่มเงียบลง ตามมาด้วยการเคลื่อนไหวอีกครั้ง ลูกเรือด้านหลังเริ่มแอบกระซิบกัน แต่นายเรือด้านหน้ากับพ่อค้ากลับมีท่าทางลิงโลดสบตากัน ส่งเสียงคุยกันเริ่มดังขึ้น ในที่สุดทุกคนก็ตะโกนดังขึ้นพร้อมกันว่า
“หากจ่ายภาษีสองส่วนที่นี่ก็เข้าออกค้าขายได้ สินค้าพวกข้าน้อยก็ถือว่าจ่ายภาษีครบ ไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่าพวกข้าน้อยขายของตลาดมืดอีกแล้วกระมัง!”
หวังทงตอบว่า
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้ายกกำลังเจ้าหน้าที่ทางการมาสร้างป้อมปืนเช่นนี้เพื่อตั้งด่าน ย่อมเก็บภาษีแทนองค์ฮ่องเต้ หากข้าต้องการเอง ก็แค่กินรวบของพวกเจ้าไม่ดีกว่าหรือ!”
คำพูดหยาบระคายหู แต่คนฟังต่างพากันหัวเราะ ล้วนยินยอมเช่นนี้ สินค้าจากแดนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงส่งไปขายที่มณฑลซานตง พวกเขาต้องผ่านสี่ด่าน หากไปถึงเมืองหลวงมีตั้งเจ็ดด่าน สินค้าราคาอีแปะเดียว ไปถึงเมืองหลวงก็ต้องสี่อีแปะ ราคาถีบสูงขึ้นไม่ว่า ยังต้องขายแข่งกับสินค้าที่ไม่ต้องเสียภาษีที่คนทางการแอบฝากขนกันมาอีก
ขนส่งสินค้าทางทะเลราคาถูกกว่าเจ็ดส่วน และยังเร็วกว่ามาก
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงในการเดินทะเลนั้นมีมาก เรือสิบลำออกทะเล มีหกลำสามารถกลับไปได้นับว่าไม่เลวแล้ว โจรสลัดบนท้องทะเลนั้นเป็นภัยใหญ่หลวง
แม้ว่าบริเวณใต้แม่น้ำแยงซีเกียงจะมีที่นาแสนอุดมสมบูรณ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่จำนวนประชากรก็มาก ที่น้อยคนมาก หลายคนจึงเข้าเมืองมาทำงาน การค้าเป็นเรื่องที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในยุคนี้ ผลิตสินค้าออกมาจำนวนมาก แต่แค่บริเวณใต้แม่น้ำแยงซีเกียงนั้นไม่อาจใช้สินค้าทั้งหมดได้ จำต้องนำออกไปขายยังพื้นที่อื่น
สถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดมีเพียงไม่กี่แห่งในโลก ภาคใต้ย่อมต้องเป็นพื้นที่แถบใต้แม่น้ำแยงซีเกียงและแถบหูกว่าง ภาคเหนือย่อมเป็นเมืองหลวงและบริเวณโดยรอบ ทางตะวันตกที่เมืองจิ้นซางกับเมืองซีอานในมณฑลซานซีก็เป็นเมืองที่อู้ฟู่จริง แต่ก็ห่างจากเส้นทางขนส่งทางน้ำมาก และหากไม่ใช่ว่าพื้นที่จำกัดก็จะอยู่กันกระจัดกระจาย
สินค้าใต้ส่งมาให้ทางเหนือใช้ ส่งขายมาถึงเมืองหลวงและเขตแดนเหนือหกเจ็ดส่วนเลยทีเดียว และหากต้องการเอาไปขายที่เมืองหลวงหรือบริเวณโดยรอบก็ต้องผ่านมาทางเทียนจินก่อน เมืองเทียนจินนี้เป็นเส้นทางไปยังเมืองหลวงและเขตภาคเหนือที่สะดวกที่สุด
โอรสสวรรค์ประทับรักษาเมืองหลวง เมืองหลวงเป็นชายแดนเหนือสุดของราชวงศ์หมิง การเดินทางยังไม่ค่อยสะดวก แต่เมืองเทียนจินนั้นเป็นรอยต่อสามเมืองใหญ่และมีเส้นทางน้ำเชื่อมกับเส้นทางถนน จึงเป็นเมืองการค้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดทางตอนเหนือของแม่น้ำหวงเหอ สินค้าส่งมาถึงเทียนจิน ก็ใช้เส้นทางน้ำขนส่งไปยังเมืองเป่าติ้ง เมืองหย่งผิงและเมืองจี้โจว กระจายสินค้ากันที่เมืองเหอเจียน ยังสามารถใช้เส้นทางเรือและทางบกไปยังเมืองเหลียวโจวและประเทศเกาหลีได้อีกด้วย และยังสามารถใช้เส้นทางบกเดินทางไปยังทุ่งหญ้าชายแดน ไปยังมณฑลซ่านซี ไปยังเมืองที่ใกล้ตอนเหนือที่สุดหลายเมืองในมณฑลเหอหนานหรือซานซีก็ย่อมเป็นไปได้
การส่งขายจากเทียนจินไปทางเหนือนั้นเป็นพื้นที่ต้องห้าม มีความยากลำบากมากมาย เทียนจินเดิมไม่ได้เป็นท่าเรือการค้า แต่เดิมเมืองเทียนจินเป็นเมืองท่าทางการทหาร แม้แต่เรือประมงก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออก ข้อหาลักลอบขนสินค้าคือการรบสินค้าทั้งหมดและโทษชีวิต
แม้ว่าแม่น้ำทะเลนี้จะมีการสร้างท่าเรือส่วนตัวกัน แต่ค่าใช้จ่ายในการขนถ่ายและค่าใช้จ่ายสร้างท่าเรือก็สูง บางครั้งยังมีเจ้าหน้าที่ทางการมาคอยรีดไถอีก
ค่าใช้จ่ายมากมายนับไม่ถ้วน กอปรกับความเสี่ยงต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบ ผ่านด่านยากลำบากและอุปสรรคมากมายมาจากท้องทะเล มาถึงเทียนจินผลกำไรที่จะได้รับนั้นสูงกว่าขนส่งทางคลองส่งน้ำเพียงหนึ่งหรือสองส่วน เท่านั้น หากเทียบกับความเสี่ยงแล้วก็แทบไม่เหลือกำไร
ใช่ว่าทุกคนจะมีความสัมพันธ์ที่สามารถขนสินค้าให้ทางการจนได้ยกเว้นภาษี ใช่ว่าทุกคนจะมีความสามารถส่งสินค้าออกทะเลใต้หรือทะเลตะวันออกกันได้
หากไม่ได้แวะเข้าเทียบท่าที่เทียนจิน เงินทุนหมุนเวียนย่อมขาดมือ ได้แต่ขาดทุนอยู่บ้านกันไป เทียบกับขาดทุนอยู่บ้าน ไม่สู้มาหากำไรเล็กๆ น้อยๆ ที่นี่ ไม่ขาดทุนไม่กำไรแต่ยังพอมีเงินทุนหมุนเวียนในมือไว้ซื้อสินค้าต่อไม่ได้
แต่หากทำตามหวังทงว่า จ่ายไปตามระเบียบสองส่วนของราคาสินค้า หนึ่ง หลีกเลี่ยงปัญหาละเมิดกฎหมาย สอง สองส่วนของมูลค่าสินค้า แม้จะเป็นภาษีหนัก หากก็สามารถส่งสินค้าทางใต้ไปทางเหนือได้ ค่าขนส่งก็ถูก ราคาสินค้านั้นยังถูกกว่าสินค้าที่ขนมากับเรือที่รับฝากของทางการแล้วไม่เสียภาษีอีกเล็กน้อย หากจ่ายแค่สองส่วน อย่างน้อยก็ได้กำไรอีกเจ็ดส่วน มากสุดอาจทำกำไรได้ถึงหนึ่งหรือสองเท่าขึ้นไป
สินค้าสิบตำลึงอย่างน้อยก็ได้กำไรเจ็ดตำลึง หรืออาจได้ถึงสิบตำลึง ยี่สิบตำลึง นี่มันกำไรมหาศาลชัดๆ !!