ตอนที่ 290 ถนนปูทองคำ สถานการณ์คับขัน
พ่อค้าวานิชเหล่านี้คิดว่าถูกองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินล้อมไว้ คงต้องรอล้มละลายหรือไม่ก็รักษาไม่ได้แม้แต่ชีวิต
คาดไม่ถึงว่านายกองพันอายุน้อยผู้นี้กลับมอบถนนปูทองคำให้กับพวกตน การขนส่งสินค้าแดนใต้มาภาคเหนือจะสร้างกำไรมหาศาล สินค้าแดนเหนือลงใต้ก็เช่นกัน การขนส่งสินค้าที่ช่วยทางการขนสินค้าแล้วไม่เสียภาษีจนได้กำไรมหาศาลเท่าไร เราก็จะได้เท่านั้น และค่าขนส่งทางทะเลยังถูกกว่า ขนสินค้าได้มากกว่า
ทุกคนกำลังตกอยู่ในความตกตะลึงและหวาดกลัว หลังจากได้ยินเรื่องเหนือความคาดหมายนี้ ก็รู้สึกกังวล หวังทงไม่สนใจอารมณ์ทุกคนที่แปรเปลี่ยน หากยืนเงียบๆ รออยู่ตรงนั้น
แต่ความรู้สึกกังวลนี้ก็ไม่สงบลงเสียที จึงอดไม่ได้ถามขึ้นว่า
“พวกเจ้าไยต้องกังวลกันเช่นนี้?”
พอโดนหวังทงถาม พี่ใหญ่สุดในกลุ่มสองสามคนที่อยู่ด้านหน้าก็ยิ้มเฝื่อนๆ มีคนหนึ่งก้าวออกมากล่าวว่า
“ใต้เท้าเมตตาเช่นนี้ พวกข้าน้อยคิดเพียงว่าต้องรีบล่องเรือกลับไปนำเรือมาค้าขายที่นี่มากอีกหน่อย”
คนด้านหน้าผู้หนึ่งใจกล้าตะโกนดังขึ้น
“ใต้เท้า โปรดรีบไปตรวจสอบเรือพวกข้าน้อย พวกข้าน้อยยอมจ่ายภาษี ยอมจ่ายค่าปรับ!”
แม้จ่ายตามอัตราส่วนภาษีที่หวังทงคิด รวมเงินค่าปรับที่ต้องเสีย ตอนนี้เรือทุกลำยังมีกำไรเหลืออยู่มาก พวกสมองไม่เลอะเลือนก็เริ่มกระจ่าง มีกฎนี้ขึ้นมา ก็เท่ากับเมืองเทียนจินเป็นเมืองท่าธุรกิจ ย่อมมีสินค้ามากมายทะลักมาที่นี่ รอให้ถึงตอนนั้นราคาสินค้าแดนใต้คงได้ตกกันฮวบฮาบ ถึงตอนนั้นกำไรก็น้อยแล้ว
ตอนนี้หากรีบขนสินค้ามาหลายรอบหน่อย กำไรก็จะยิ่งมาก ทุกคนแทบทนรอจ่ายภาษีไม่ไหว อยากรีบกลับไปขนสินค้ามาที่นี่ให้เร็วที่สุด
หากไม่เป็นเช่นนี้ แม้ว่าใต้เท้านายกองพันผู้นี้จะผิดวาจา หลังจ่ายภาษีและค่าปรับ ก็จะได้เอาเรือกับสินค้าออกไป ถอนตัวกลับไปได้
หลังจากได้ยินประโยคนี้ หวังทงก็อึ้งไปก่อนจะหัวเราะพลางยกมือขึ้นโบกกล่าวว่า
“ตอนนี้ก็เริ่มตรวจบัญชี ขอเตือนทุกท่าน อย่าได้คิดเล่นลูกไม้อันใด มิเช่นนั้นทั้งท่านและข้าคงต้องยุ่งยากกันอีก และ สำหรับทุกท่านจะยิ่งเป็นการนำหายนะมาสู่ตัว!”
กล่าวจบ คนด้านหลังสองสามคนก็ก้าวออกมา ตะโกนว่า
“ทุกคนเข้าแถว ทีละลำ”
เถ้าแก่และลูกจ้างของร้านกู่จื้อปินและจางฉุนเต๋อต่างก็มา คนเหล่านี้ไม่เพียงเชี่ยวชาญการคำนวณ ยังรู้ราคาในตลาดเป็นอย่างดี
นอกจากคนเหล่านี้ ยังมีองครักษ์เสื้อแพรที่ติดตามมาจากเมืองหลวงหลายคนที่ไม่เข้าร่วมการตรวจสอบ เพียงแค่ติดตามดู เฝ้าระวังการยักยอกและฉ้อโกง
เรือสามลำที่นำหนีนั้นก็มีลูกเรือจากสองลำที่ได้รับโอกาสให้ทำความดีความชอบชดใช้ความผิด ก็คือการติดตามกองกำลังเข้าตรวจสอบสินค้า พวกเขาออกเรือล่องทะเลมาหลายปี ย่อมคุ้นเคยกับเรือ คุ้นกับนิสัยของชาวเรือ หากมีอะไรแอบซ่อนขนมา บางทีอาจปิดบังคนของหวังทงได้ แต่ไม่อาจปิดบังพวกเขาได้
ยิ่งหวังทงกล่าวไว้ว่า
“หากสามารถค้นหาสิ่งซ่อนไว้ได้ ไม่เพียงแต่ทำความดีชดใช้ความผิด หากจะได้รับรางวัลหนึ่งส่วนของมูลค่าสินค้า”
เงินทองเข้าครอบงำสายตา ทุกคนเสี่ยงตายออกทะเลกันมาไม่ใช่เพื่อเงินทองหรือ พอได้ยินเรื่องดีงามเช่นนี้ ลูกเรือที่เดิมกำลังคอตกกันก็มีชีวิตชีวากันขึ้นมาทันที
องครักษ์หลายคนที่อยู่หลังหวังทงยามนี้ก็ยกนิ้วให้กันและกัน กระซิบกันว่า
“ใต้เท้าเรานี่เก่งกาจจริงๆ อุบายใช้พิษกำจัดพิษนี้มันสุดยอดไปเลย!!”
**********
สองฝั่งแม่น้ำทะเลไม่ได้วุ่นวายเหมือนเมื่อครู่แล้ว ป้อมปืนใหญ่ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง หินหมาสือกับปูนเปียกก่อเป็นรูปร่างขึ้นแล้ว ยังมีไม้ที่ต่อกันเป็นรั้วล้อมรอบกองดิน
ปืนใหญ่วางบนป้อม ททารรักษาป้อมก็ประจำการรอบเนินดิน เรือในแม่น้ำก็ลากดึงวัสดุต่าง ๆ ลงมาจากต้นน้ำตลอดเวลา
ตอนนี้งานของพลทหารคือขุดสนามเพลาะรอบรั้วและสร้างท่าเทียบเรือเรียบง่ายริมแม่น้ำภายใต้การแนะนำของช่างฝีมือผู้ชำนาญ
ท่าเรือส่วนตัวบนเส้นทางน้ำนั้นมีมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรกับโครงสร้างพื้นฐานเลย ไม่เหมือนกับที่หวังทงนำกำลังพลมาทำในวันนี้
กองตรวจสอบเรือขึ้นเรือไป พ่อค้าสองคนที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของหวังทงรู้ว่าเรื่องวันนี้หมายถึงอะไร ส่งผลอันใดต่อพวกเขาทั้งสอง
กู่จื้อปินและจางฉุนเต๋อไม่เพียงส่งคนงานและเจ้าหน้าที่บัญชีมา แต่พวกเขายังปลีกตัวจากการค้าที่กำลังยุ่ง รีบรุดมาที่นี่
เมื่อได้ยินอัตราภาษีของหวังทง ทั้งสองล้วนไม่คิดเช่นนั้น รอจนทุกคนไปยุ่งกับงานในส่วนของตนแล้ว กู่จื้อปินก็ก้าวเข้ามากล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ใต้เท้า เก็บแค่สองส่วน มูลค่าของสินค้าใต้ที่ส่งมาอย่างน้อยได้กำไรแปดส่วน หากขนสินค้าเหนือกลับไปอีก ไปกลับรอบหนึ่งก็ได้กำไรไม่เพียงแค่เท่าหนึ่งนะขอรับ ใต้เท้าทรงความยุติธรรม แม้ว่าเก็บสี่ส่วนพวกนั้นก็ยอมจ่าย”
จางฉุนเต๋อพยักหน้าตาม กระซิบต่อว่า
“ใต้เท้าไม่รู้ ใต้เท้ามาเก็บเงินพวกนี้ พวกเขาดูเหมือนเสียเปรียบ แต่จริงๆ ได้กำไรก้อนโต ปกติออกเรือกันมา นายเรือได้ก้อนหนึ่ง ว่านกงกงอีกก้อนหนึ่ง เทพองค์ต่างๆ บนด่านก็ได้อีกก้อนหนึ่ง คิดไปคิดมาไหนเลยจะแค่สี่ส่วน”
หวังทงยิ้มมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ กล่าวว่า
“มูลค่าของสินค้าถูกเก็บภาษี เรือทะเลเหล่านี้วิ่งหลายรอบ ใต้หล้าล้วนรับรู้ มีกำไรถึงแปดส่วน ผู้ใดไม่คิดมาทำกำไรกัน เรือทะเลพวกนี้เดินทางเร็วและขนได้มาก สินค้าใต้ทะลักมาเช่นนี้ ราคาย่อมตกลง ภาษีก็ลดลง แต่หากเรือมากันมาก รวมกันก็ได้มาก หากเก็บมาก บรรดาเรือพวกนี้คงคิดหาทางช่องทางผิดกฎหมายกัน ผู้ใดจะอยากมาที่นี่”
กู่จื้อปินสบตากับจางฉุนเต๋อ กู่จื้อปินทำการค้าใหญ่ เข้าใจในสิ่งที่หวังทงกล่าวมาได้อย่างรวดเร็ว พอได้ยินเช่นนี้ก็อดตบมือเสียงดังกล่าวชมไม่ได้
หวังทงหันกลับไปสบตากับเขา ยกแส้ในมือขึ้นชี้ไปยังสองฝั่งของลำน้ำ ยิ้มกล่าวว่า
“เรือมา สินค้ามา คนมา พวกเจ้ายังคิดว่าเทียนจินวันหน้าจะเป็นเช่นวันนี้งั้นหรือ ถึงตอนนั้นไหนเลยจะได้กันแค่เพียงภาษีก้อนนี้!”
หลังจากกล่าวจบ พ่อค้าทั้งสองก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเบิกตากว้าง กล่าวอันใดไม่ออก ในห้วงความคิดพวกเขาเต็มไปด้วยภาพที่หวังทงวาดขึ้นเมื่อครู่
ขณะที่กล่าวอยู่นั้น ก็มีพลทหารม้าควบมาจากที่ไกลๆ ทหารม้ามาครั้งนี้ดูย่ำแย่กว่าครั้งที่แล้วมาก สีหน้าตื่นตระหนก มาถึงเบื้องหน้า ตอนลงจากม้ายังลื่นล้มลงกับพื้น คำนับหวังทงรายงานว่า
“ใต้เท้าหวัง ขุนพลหลี่ต้าเหมิงแห่งเทียนจินกำลังตรึงกำลังกับกองกำลังนายกองหม่า พวกเขาให้เราปล่อยคน!”
“พวกผีน้อยบ้าบอที่ไหนก็ดาหน้าออกมาให้หมด!”
หวังทงแค่นยิ้มถามว่า
“ขุนพลหลี่เข้าไปแล้วหรือยัง?”
“ยังขอรับ นายกองหม่านำคนขวางพวกเขาไว้ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้สองฝ่ายเผชิญหน้ากันอยู่”
หวังทงพยักหน้าและหันไปทางรถม้าที่อยู่ไม่ไกลนัก กล่าวกับอวี๋ต้าโหยวที่นั่งอยู่ในรถม้านั้นว่า
“ใต้เท้าอวี๋ ขุนพลหลี่ขวางทางข้าจับกุมคนร้าย ข้าจะนำสองค่ายกลับไป ทางนี้มีอะไรขัดข้องหรือไม่?”
“จะมีอะไรขัดข้องกัน ป้อมปืนก็สร้างเป็นรูปร่างแล้ว เจ้าไปเถอะ ข้าจะดูแลทางนี้ให้เอง”
อวี๋ต้าโหยวตอบเสียงดังกังวาน หวังทงประสานมือคารวะ ก่อนจะโดดขึ้นมา ตะโกนดังว่า
“ค่ายสี่ ค่ายห้า ตามข้าไป ที่นี่มอบให้ใต้เท้าอวี๋กับถานกงและถานหั่วดูแลต่อ พลทหารม้าที่เหลือกับสองค่ายตามข้าไป!!”
บรรดาทหารพากันส่งเสียงรับคำสั่งกระหึ่มดัง พลทหารที่รักษาการอยู่ริมฝั่งน้ำต่างมองมายังทัพของหวังทงที่เคลื่อนกำลังออกไป คนมุงทั้งหลายก็ยิ่งมากขึ้น แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าเข้าใกล้มากเกินไป เรื่องถล่มร้านจิ้นเหอในเมืองตอนนั้นแล้วพวกมุงดูทั้งหลายถูกจับเข้าคุกไป ยังเป็นที่จดจำของทุกคน มีเรื่องยุ่งยากน้อยหน่อยเป็นดีที่สุด
หลังจากเรียกรวมพลเสร็จ หลี่หู่โถวก็คว้าอาวุธควบม้ามาอยู่ข้างหวังทง หวังทงตะโกนดังว่า
“วันนี้เรายึดชายฝั่งได้แล้ว ตอนนี้มีคนมาหาเรื่องเรา ทำอย่างไรดี?”
การปฏิบัติการที่ราบรื่นมาแต่ละเรื่องทำให้ขวัญกำลังใจของกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรต่างฮึกเหิม พอได้ยินคำถาม ก็ชูอาวุธในมือขึ้นและตะโกนพร้อมกันว่า
“ถล่มมัน ถล่มมัน!!”
หวังทงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ หันหัวม้าและยกแส้ม้าขึ้นโบก กองกำลังออกเดินทางทันที ก่อนจากที่นี่ไป หวังทงยังหันกลับไป ได้ยินเสียงตะโกนดังว่า
“เรือบางลำนำทองคำและก้อนเงินมามูลค่านับสองแสนตำลึง เก็บภาษีกับค่าปรับได้ทั้งหมดห้าพันขอรับ!!!!”
การเก็บภาษีการค้าทางทะเลครั้งแรกที่ท่าเรือเทียนจินตกถึงมือแล้ว หวังทงระบายรอยยิ้มอ่อน รีบเร่งควบม้าจากไป
**********
“นายกองหม่า เจ้ายังหนุ่มมีอนาคตไกล อย่าได้ก่อเรื่องตามหวังทง หลู กงกงเป็นคนของสำนักขันทีในวัง เป็นคนของเฝิงกงกง และยังเป็นคนใกล้ชิดฮ่องเต้ สำนักอาวุธปืนไฟนี้เป็นฐานที่มั่นสำคัญของเมืองจี้โจวเรา เจ้านำกำลังล้อมไว้เช่นนี้ ไม่ต่างอะไรกับการก่อกบฏ หากเจ้าถอนกำลังกลับไปตอนนี้ เราก็ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย หากยังดึงดันต่อไป รอให้กองทัพใหญ่มาถึง ก็คงต้องโทษประหารเก้าชั่วโคตร!!”
ด้านนอกสำนักอาวุธปืนไฟมีกองกำลังใหญ่ล้อมอยู่เป็นชั้น ล้อมจนแม้น้ำก็ไม่อาจไหลออกไปได้ นอกประตูสำนักอาวุธปืนไฟล้วนเป็นพลทหารม้าของหม่าซานเปียว ในสำนักอาวุธปืนไฟตามบนมุมกำแพงกับจุดสำคัญยังมีพลทหารองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าอยู่
มองไปก็เหมือนว่ากองทัพจี้โจวคิดจะโจมตีสำนักอาวุธปืนไฟ หม่าซานเปียวนำกำลังมาป้องกันซะอีก สีหน้านายกองพันผู้หนึ่งบนหลังม้าเคร่งเครียดพลางตะโกนดัง
หม่าซานเปียวได้ยินแล้วก็หงุดหงิด ถ่มน้ำลายลงบนพื้น ยกมือขึ้นโบก จากนั้นก็ตวัดไปด้านหน้าสองที เขาเดินม้าขึ้นหน้าไปอีกสองก้าว พลทหารม้าด้านหลังก็เปลี่ยนรูปขบวนเป็นรูปสามเหลี่ยม ให้หม่าซานเปียวเป็นแกนกลาง นี่เป็นรูปแบบทหารม้าพร้อมโจมตี
นายกองพันผู้นั้นเห็นดังนั้น ก็รีบควบม้ากลับเข้ากอง
ในกลุ่มทหารทางการ ขุนพลหลี่ต้าเหมิงมองฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าดำคล้ำ นายทหารข้างๆ กัดฟันกรอดกล่าวว่า
“ใต้เท้า เรามีมากกว่า 3,000 นาย พวกมันแค่ไม่กี่ร้อย ถล่มมารดามันให้เละไปเลยขอรับ!”
ขุนพลหลี่ได้ยินก็โมโหใหญ่ สะบัดแส้ม้าออกไปฟาดใบหน้าของนายทหารที่กล่าวเมื่อครู่ก่อนจะด่าขึ้นเสียงดังว่า