Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 309

ตอนที่ 309 จลาจลในเมืองเทียนจิน

เช้าวันที่ 17 เดือนเก้า ปีที่ 6 ในรัชสมัยว่านลี่ ผู้คนในเมืองและนอกเมืองกินอาหารเช้ากันเสร็จ พร้อมจะเริ่มงานที่ต้องยุ่งไม่น้อยในแต่ละวัน

พวกชาวนาวาสุคนธ์ยังคงหดหู่และหวาดระแวง ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อไป วันที่ 16 เดือนเก้าร้านซาลาเปาของพี่สาวและพี่เขยซาเอ้อร์เป่าถูกพังเละ

ครอบครัวของเขาช่างน่าสงสารเหลือเกิน ไปฟ้องที่ทำการก็ถูกไล่ออกมา ตอนกลางวันแผงขายซาลาเปาถูกคนพังเละเทะ เห็นว่าเป็นคนที่สวมชุดองครักษ์เสื้อแพรลงมือ

นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทงไม่ปล่อยทุกคนให้มีชีวิตรอดต่อไปจริงหรือ ถึงกับลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้ เดิมในเมืองเกิดเรื่อง นอกเมืองไม่น่าจะรู้เรื่องเร็วกันเช่นนี้

แต่ตอนนี้หัวหน้าหน่วยของสำนักนาวาสุคนธ์มีสายในและนอกเมือง มีการเคลื่อนไหวอันใด นอกเมืองก็รู้กันหมด ข่าวมาถึงเร็วเป็นกว่าปกติ

เห็นสภาพน่าอนาถของซาเอ้อร์เป่าแล้ว ทุกคนก็คิดถึงตนเอง ตอนนี้ยากที่จะใช้ชีวิตต่อไป ข้างนอกมีแรงงานมากมายที่มาคอยแย่งชามข้าว นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทงยังทำเช่นนี้อีก วันหน้าจะทำอย่างไร จะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร

ขณะกังวลอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงตีฆ้องดังเร่งเร้ามาจากด้านนอก การตีกลองตีฆ้องก็มักมีเรื่องมงคลหรืออัปมงคลใดเกิดขึ้น แต่ตีแค่ฆ้องส่วนใหญ่มักเกิดเรื่อง

ขณะที่ยังมีบางคนยังคงสงสัยอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงฆ้องดังระงมไปทั่ว ไม่ใช่ตีที่เดียว เหมือนว่ารอบๆ ต่างตีฆ้องกันหมด อย่างไรคงต้องออกไปดูสักหน่อย

สถานที่รวมตัวของบรรดาชาวนาวาสุคนธ์ทั้งในและนอกเมืองต่างมีเสียงฆ้องดังขึ้น และคนที่ตียังเป็นหัวหน้าหน่วยอีกด้วย

พานหมิงก็ตีฆ้องในมือ เห็นคนออกมากมาย เขาก็ตะโกนเสียงดังว่า

“พี่น้องชาวนาวาสุคนธ์ทุกคน พวกเราทำมาหากินกันอย่างสุจริตกันมานานหลายปี ไม่เคยล่วงเกินผู้ใด ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดต่อฟ้าดิน แต่มีคนไม่ยอมให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป เรื่องครอบครัวซาเอ้อร์เป่าทุกคนล้วนรู้กันดี เด็กหนุ่มซื่อสัตย์อย่างเช่นซาเอ้อร์เป่าถูกบีบคั้นจนต้องจบชีวิตตนเองลง”

สิบวันแห่งการโฆษณาชวนเชื่อ ในใจทุกคนเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอัดแน่น สีหน้าทุกคนล้วนไม่ดีนัก พานหมิงตะโกนดังอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังได้ยินเนื้อหาเดียวกันในที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

“ทุกคนตามข้าเข้าเมือง ไปทวงความยุติธรรมให้ซาเอ้อร์เป่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับพี่สาวของซาเอ้อร์เป่าที่น่าสงสาร หากพวกเรายังไม่ลุกขึ้นสู้ ถึงยามอับจนหนทาง คนที่ไม่อาจจะมีชีวิตต่อไปได้นั้นก็คือพวกเราเอง!!”

กล่าวจบพานหมิงก็เดินตีฆ้องนำทุกคนมุ่งเข้าเมือง ‘ตามหัวหน้าฟานไปทวงความยุติธรรม’ ‘ให้เจ้าขุนนางสุนัขออกมาให้คำตอบ’ ‘อย่างไรก็ไม่เปิดทางรอดให้พวกเรา ยังต้องกลัวอันใดอีก!!’

คนเรามีนิสัยตามคนหมู่มาก กอปรกับจิตใจที่เดิมก็รู้สึกขุ่นเคืองและสิ้นหวังอยู่ก่อนแล้ว มีคนหนึ่งเดินตาม สองคนก็เดินตาม คนอื่นๆ ก็เดินตาม

หัวหน้าหน่วยแต่ละคนก็นำคนออกมา คนบนท้องถนนรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เฮโลกันมุ่งเข้าเมือง

คนของนาวาสุคนธ์นอกเมืองมีถึง 4,000 กว่า เมื่อมารวมตัวกัน ยังมีพวกมามุงดูอีก คนก็เลยยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ถนนหลวงหลายสายเริ่มเต็มไปด้วยผู้คน เมื่อเห็นขบวนยิ่งใหญ่และฮึกเหิมเช่นนี้ ไม่ว่าคนเดินผ่านมาหรือรถม้าอันใดก็ต้องหลีกทางให้ ไม่กล้าขวางทาง

คนยิ่งมาก บรรยากาศยิ่งก็เริ่มรุนแรง เดิมยังมีความรู้สึกกลัวจะเกิดเรื่องนั้นก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความฮึกเหิมขึ้นมา

ประตูเมืองเทียนจินย่อมมีทหารรักษาการ ตามธรรมเนียมปฏิบัตินั้น คนจำนวนมากเช่นนี้ เรื่องแรกที่ต้องทำก็คือปิดประตูเมืองให้แน่นหนาไว้ก่อน

แต่วันนี้ประเสริฐยิ่ง พอเห็นคนมากมายกรูกันมา ทหารรักษาประตูเมืองอันดับแรกก็คือหลีกทางให้ ไม่สนใจประตูเมืองอันใด หากเป็นปกติเมื่อก่อน ทหารรักษาประตูย่อมต้องชักดาบออกมาสังหารไว้ก่อน แต่วันนี้แปลกมาก พวกหัวหน้ากองไม่ทำตามระเบียบทหาร กลับวิ่งหนีไปพร้อมกับพลทหาร

เดิมเห็นบริเวณประตูเมืองมีทหารติดอาวุธครบจำนวนมาก บรรดาพวกนาวาสุคนธ์ที่เดินอยู่หน้าสุดก็เริ่มหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่พอเห็นพลทหารแตกตื่นวิ่งหนี ความกล้าก็มากขึ้นมาอีกหลายส่วน

ผู้คนจำนวนมากทะลักเข้าเมืองมา ในเมืองก็เริ่มโกลาหลวุ่นวาย บรรดาร้านค้าที่เดิมเปิดกิจการอยู่ พอเห็นสภาพกรูกันมาเช่นนี้ก็กลัวกันจนทำอะไรไม่ถูก

ตามมาด้วยเสียงตะโกนให้ปิดร้าน ลงกลอนให้แน่น แต่ละคนหาของในบ้านที่พอเป็นอาวุธได้เตรียมรับมือ สภาพการณ์ที่วุ่นวายยุ่งเหยิงเช่นนี้ง่ายต่อการปล้นชิงสินค้า

“แผ่นดินนี้ยังมีขื่อมีแปอีกหรือไม่ ต้องทวงความยุติธรรมให้กับซาเอ้อร์เป่าพี่น้องเรา ตามข้ามา!!”

ไม่เพียงแต่ผู้คนนอกเมืองที่ทะลักเข้าเมืองเท่านั้น แต่ในเมืองยังมีคนที่เคลื่อนไหวพร้อมกันด้วย ทุกคนหลั่งไหลไปยังจุดหมายเดียวกัน นั่นก็คือจวนหวังทงที่อยู่แถวหอกลองใจกลางเมือง

กองกำลังในส่วนของนายกองตรวจการฟานต๋าและเจ้าหน้าที่กองคุมกำลังพลที่ศาลเหอเจียนส่งมาประจำที่นี่ที่ล้วนมีหน้าที่คุมความสงบในเมือง ยามนี้พากันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

แม้ว่าพลทหารองครักษ์เสื้อแพรจะออกลาดตระเวนทุกวัน แต่ตอนนี้เป็นช่วงเปลี่ยนเวร ทั้งสามที่ตั้งไม่มีคนออกมา ประตูปิดแน่น

สำหรับที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรเทียนจิน นายกองร้อยหังก็คิดจะสั่งให้คนปิดประตูใหญ่ แต่คำสั่งยังไม่มา นอกจากลูกน้องใต้บังคับเขาแค่ 20 คน คนอื่นๆ หนีไปหมดแล้ว เขาได้แต่กระทืบเท้าด่าทอทำอะไรไม่ถูก

เมืองเทียนจินเป็นเมืองไม่ใหญ่นัก พวกนาวาสุคนธ์หลายพันคนทะลักเข้ามา ยังมีพวกมุงดูอีก ทางการไม่รู้จะใช้วิธีการใดมารับมือ

ยังไม่ทันเที่ยง ภายในเมืองเทียนจินก็วุ่นวายกันถึงขีดสุด

สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นยามเกิดจลาจลเช่นนี้ ในเมืองไม่ขาดตกบกพร่องไปแม้สักอย่าง มีพวกนักเลงหัวไม้ที่เริ่มจุดไฟเผาเมืองปล้นชิง คนในเมืองต่างพากันส่งเสียงกรีดร้องดังไปทั่ว

เส้นทางสู่พื้นที่รอบหอกลองนั้นเริ่มหนาแน่นไปด้วยผู้คน จวนนายกองพันหวังถูกคนพวกนี้ล้อมไว้หมดแล้ว

หากไม่เห็นทหารรักษาการที่ถืออาวุธพร้อมหน้ากำแพงกับพลธนูที่พร้อมอยู่บนประตูหน้าและหลังแล้ว เกรงว่าคงมีคนปีนกำแพงเข้าไปแล้ว

ถึงกระนั้น ก็ยังมีคนเดินหน้าเข้าใกล้ไปอีกหลายก้าว ตะโกนดังว่า

“พวกข้ามาร้องขอชีวิตแล้ว!!!”

“ชาวนาวาเราล้วนเป็นชาวบ้านสุจริต เหตุใดจึงต้องบีบคั้นจนเราอับจนหนทางด้วย”

“บ้านข้ามีทั้งคนแก่และเด็ก เจ้าไม่ปล่อยให้เรามีชีวิตต่อ หรือต้องการจะฆ่าพวกเราทั้งครอบครัวให้ได้!!”

“ซาเอ้อรเป่าพี่น้องเราตาอย่างน่าอนาถ เขาเคยล่วงเกินผู้ใด เหตุใดจึงต้องมีจุดจบเช่นนี้!!”

“เจ้าขุนนางสุนัข เจ้าอย่าคิดว่าตนเองจะทำอะไรก็ได้ เมืองเทียนจินยังมีใต้เท้าอื่นๆ อีก เมืองหลวงยังมีฝ่าบาทและเสนาบดีอีกหลายคน”

“เจ้าขุนนางสุนัข เจ้าไม่ให้พวกเรามีชีวิตต่อ พวกเราก็ไม่กลัวตายเช่นกัน!!”

ชาวนาวาทุกคนต่างพากันตะโกนด่าทอ ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเริ่มก่อน เก็บก้อนอิฐที่พื้นขึ้นมาปาใส่

พลทหารบนกำแพงไม่ทันระวัง ไม่ทันได้ปิดหน้ากุมหัว จึงถูกอัดกระเด็นเข้าด้านใน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้กล้าโผล่หัวออกมาพร้อมโล่ในมือขึ้นบัง

ส่งผลให้ฝูงชนยิ่งฮึกเหิม เสียงตะโกนยิ่งดังกระหึ่ม พากันกรูกันขึ้นหน้าอย่างไม่กลัวเกรง

***********

พานหมิงที่เดิมนั้นตีฆ้องนำขบวนอยู่ พอเห็นหอกลองก็เริ่มผ่อนฝีเท้าลง เดินไปสองสามก้าวอยู่ๆ ก็หยุดตีฆ้องหันมากุมท้องแทน

คนข้างๆ ถามด้วยความเป็นห่วง สีหน้าพานหมิงเจ็บปวดสุดกำลัง กล่าวเสียงอ่อนแรงเต็มทีว่า

“เมื่อเช้าโจ๊กชามนั้นไม่น่าจะดี ท้องเสียแล้วนี่ พี่น้องทุกท่านไม่ต้องสนใจข้า เดินหน้าต่อไปได้เลย อย่าได้ต้องชักช้าเพราะข้าเพียงคนเดียว”

ทุกคนกำลังฮึกเหิม ไม่มีเวลามาสนใจอะไร ปล่อยให้พานหมิงกุมท้องวิ่งลงข้างทาง รอจนขบวนผ่านไป พานหมิงก็ยืดตัวขึ้นมา ไม่เห็นความเจ็บปวดอันใด พาตัวเองไปรั้งท้ายขบวนเสียอย่างนั้น

***********

สองวันก่อน หยางซือเฉินทั้งครอบครัวถูกรับมาอยู่ในจวนหวังทงแล้ว เดิมหยางซือเฉินคิดว่าถือว่าได้รับการยอมรับแล้ว วันนี้จึงได้ตระหนักว่านี่เป็นภัยพิบัติอย่างชัดเจน

เพิ่งกินอาหารเช้าในเรือนแยกของตนเสร็จ ก็ได้ยินเสียงดังกระหึ่มมาจากด้านนอก ได้ยินเสียงคนเอะอะโวยวายยังคิดว่ามีเรื่องอะไร คิดจะออกไปดู ก็มีทหารอารักขาจวนออกมารั้งไว้ บอกว่านายท่านสั่งไว้ว่า อย่าออกไป

ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็ได้ยินเสียงด่าทอดังกระหึ่มมาราวกับอสุนีบาต คนงานไม่น้อยพากันวิ่งเข้าด้านใน องครักษ์ในจวนต่างก็ถือโล่ไปเรียงแถวข้างกำแพง

“เกิดเรื่องใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!”

หยางซือเฉินช่างฉลาดจริงๆ ปฏิกิริยาแรกของเขาคือเกิดเรื่องใดขึ้น จากนั้นก็รู้ว่าเกิดใดขึ้น รู้สึกหน้ามืดวิงเวียนทันที

ตั้งแต่จากเซินสือหังมา จากเมืองหลวงมาเทียนจิน นี่เป็นที่สุดท้ายที่ตนพักพิงแล้ว หากที่นี่พังลง ใต้หล้าย่อมไร้ที่ไป ทุกอย่างจบกัน

แผ่นดินหมิงนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือความสงบเรียบร้อย ไม่ว่าขันทีหรือองครักษ์เสื้อแพรที่เป็นขุนนางท้องที่ หากประชารวมตัวกันจลาจล ไม่ว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด ขุนนางท้องที่จะต้องถูกลงโทษ พอจบเรื่องก็จะลดตำแหน่ง อาจถึงขึ้นโดนปลด

นี่คือเหตุผลว่าทำไมขุนนางท้องที่จึงไม่กล้าล่วงเกินคนใหญ่คนโตในพื้นที่ คนพวกนี้เพียงแค่เรียกลมเรียกฝนในพื้นที่ เคลื่อนไหวเล็กน้อยก็มีคนนับร้อยนับพันไปร้องเรียนถึงหน้าที่ทำการได้เลยทีเดียว

จากนั้นจะมีขุนนางในราชสำนักถวายฎีการ้องเรียนว่าเจ้าปฏิบัติต่อชาวบ้านไม่ดี ก่อให้เกิดจลาจล หัวหน้าเบื้องบนของเจ้าก็จะคิดว่าเจ้าไร้สามารถ ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้

นี่ก็ต้องโทษตัวเอง คิดอยู่แล้วว่าหวังทงกุมอำนาจผูกขาด เป็นที่หวาดระแวงของขุนนางในราชสำนัก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะบีบคั้นกดดันเทียนจินถึงขั้นนี้ มีคนกระตุ้นเล็กน้อยก็เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้ บัดนี้ หายนะใหญ่มาถึงแล้ว!

ต้องคุมให้สงบ อย่าให้เกิดเรื่องใหญ่ไปกว่านี้ หยางซือเฉินกำลังคิดอย่างรวดเร็ว คิดไปก็ก้าวเดินไปอย่างเร็ว ไปถึงกลางทางก็พบกับไช่หนานที่สีหน้าตื่นตระหนกเช่นกัน

ทหารอารักขาจวนยามนี้กลับสงบนิ่ง หัวหน้ากองหลายคนตะโกนสั่งการอยู่ พวกผู้หญิงเข้าด้านใน พลทหารหนึ่งกองไปประชิดริมกำแพงไว้ ในจวนมีทหารราว 300 นาย แต่ก็ยังนับว่าน้ำแก้วเดียวต่อฟืนหนึ่งคันรถ หากปะทะกันจริง เกรงว่าคงเอาไม่อยู่

ที่พักหวังทงอยู่ตรงกลางของจวน ประตูเปิดกว้าง ทหารอารักขาเห็นไช่หนานกับหยางซือเฉินรุดมาถึง ก็คุ้นเคยกันดี ย่อมไม่ขวางทาง

สองคนที่ร้อนใจพากันเดินเข้าไปในห้องโถงก็ต้องตาค้างอึ้งไป

หวังทงนั่งอยู่ที่โต๊ะ มือหนึ่งถือแผ่นเปี๊ยะ อีกมือคีบเนื้อกำลังจะกิน พอเห็นสองคนเข้ามา ก็ยิ้มกล่าวว่า

“คิดจะทำงานก็ต้องมีแรง ก็ต้องกินพวกแผ่นแป้งแข็งๆ กับเนื้อวัว แต่ไม่อาจกินอิ่มไป เจ็ดส่วนน่าจะพอดี”

ในห้องเงียบๆ ได้ยินเสียงด้านนอกดังลอยเข้ามาว่า ‘เจ้าขุนนางสุนัข’ ……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version