ตอนที่ 310 ซ้อนกล ขี่ม้าก้าวข้ามกำแพง
ด้านนอกกำลังคับขัน หวังทงกลับกินข้าวเหมือนไม่มีอะไร นี่มันอะไรกัน
หวังทงยกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดปาก ลุกขึ้นยืน
หยางซือเฉินเพิ่งจะเห็นว่าหวังทงสวมชุดเกราะเหล็ก เป็นแบบทหารเต็มยศ หวังทงคว้าดาบปักวสันต์ข้างกายขึ้นมา เดินออกไปด้านนอก
ทั้งหยางซือเฉินและไช่หนานสองคนที่รุดมาถึงยังไม่ทันตั้งตัว ก็เห็นหวังทงคว้าดาบออกไปแล้ว หยางซือเฉินไม่สนใจว่าผู้ใดตำแหน่งใหญ่กว่าผู้ใดอีกแล้ว ก้าวเข้าไปคว้าหวังทงเอาไว้
“ใต้เท้าหวัง ท่านจะไปไหนกัน!?”
หวังทงยกดาบในมือขึ้นยิ้มกล่าวว่า
“ข้าย่อมออกไปปราบจลาจล”
เขาพูดได้ปกติยิ่ง หากหยางซือเฉินกับไช่หนานกลับวุ่นวายยิ่ง ครั้งนี้เป็นไช่หนานเอ่ยปาก ขันทีน้อยผู้นี้ถึงกับหลุดเสียงแหลมออกมาว่า
“ใต้เท้าหวัง กล่อมได้เท่านั้น ทำให้สงบได้อย่างเดียว อย่าได้ลงมือด้วยอาวุธเด็ดขาด!”
“ใต้เท้าหวัง คนมากมายมหาศาล หากใช้อาวุธย่อมเป็นเรื่องใหญ่ ถึงตอนนั้นขุนนางในราชสำนักไม่สนใจว่าใครถูกผิด ก็จะต้องใส่ความผิดที่สังหารผู้บริสุทธิ์ให้ท่านไว้ก่อน จากนั้นพวกขุนนางก็จะโจมตีใต้เท้าว่าโหดเหี้ยม ข่มเหงประชาให้ลุกฮือ เบื้องบนกล่าวเช่นนี้ ประชาเบื้องล่างก็จะกล่าวเช่นนี้ ถึงตอนนั้นร้อยปากก็มิอาจแก้ต่าง…”
“ใต้เท้าหวัง หอกลองนี้ยังเป็นใจกลางเมือง…”
หยางซือเฉินกับไช่หนานต่างคนต่างพูดไม่หยุด พอพูดถึงประโยคนี้ หวังทงก็เช็ดปากกล่าวว่า
“พวกกองคุมกำลังประจำเทียนจินตามหลักเห็นพวกนี้มาก็ควรปิดประตูเมือง จากประตูเมืองมาถึงที่นี่ แต่ละหน่วยงานก็ควรมีคนรู้ก่อนข้า แต่ทุกฝ่ายล้วนเงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย เช่นนี้แม้ว่าเบื้องบนตำหนิลงมา ก็ไม่มีคนเป็นพยานให้ข้า เกรงว่าต่างคนต่างพูดกันคนละคำ หากก็จะพูดเป็นเสียงเดียวว่าเป็นความผิดข้า ใช่หรือไม่!?”
ถูกหวังทงถามกลับเช่นนี้ ทั้งสองได้แต่อึ้ง ดูท่าแล้วใต้เท้าน้อยผู้นี้ฉลาดหลักแหลมนัก หวังทงยิ้มกล่าวกับหยางซือเฉินว่า
“ท่านหยาง ท่านเคยบอกว่าข้ากุมกำลังทหารในมือ กุมเงินทองในมือ หากไม่กระจายอำนาจ ย่อมก่อให้เกิดความหวาดระแวงใช่หรือไม่?”
หยางซือเฉินถูกถามกลับเช่นนี้ทำเอาอึ้งไป รอยยิ้มหวังทงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านหยางกล่าวได้มีเหตุผล ข้าตัวคนเดียว ทำการใดต้องระวังทุกเรื่องถึงจะถูก แต่หากข้าทำตัวได้ดีพร้อม ได้รับเสียงชื่นชม มิใช่ย่อมถูกหาว่าซื้อใจคนอีกงั้นหรือ”
กล่าวจบ หยางซือเฉินกับไช่หนานก็ไม่อาจกล่าวอันใดได้อีก หวังทงก้าวยาวๆ ออกไป ก่อนออกไปยังยกดาบในมือขึ้น ยิ้มกล่าวว่า
“ทั้งสองท่านไม่ต้องกังวลไป จลาจลวันนี้ข้ารู้ล่วงหน้ามาหลายวันแล้ว”
ตั้งแต่เช้ามา หยางซือเฉินกับไช่หนานก็เจอแต่เรื่องเหนือความคาดหมาย ได้ยินเช่นนี้เข้าก็อดถามไม่ได้ว่า
“เหตุใดใต้เท้าไม่จัดการก่อน!”
“จัดการก่อน คงได้แต่จัดการพวกหัวหน้าไม่กี่คน มิสู้ให้พวกที่คับแค้นใจได้โผล่หน้าออกมา จะได้กวาดล้างให้สิ้นซากทีเดียว!!”
หลี่หู่โถวในชุดเกราะครบชุดถือทวนยาวออกมายืนรออยู่กลางลาน พอเห็นหวังทงออกมาก็ทำความเคารพแบบทหารทันที หวังทงพยักหน้า กล่าวเสียงดังก้องกังวานขึ้นว่า
“หู่โถว ไป!”
หลี่หู่โถวก็รับคำเสียงดังก่อนจะตามติดไปทันที ในจวนหวังทงได้ยินเสียงร่ำไห้ไม่หยุด แต่พยายามบังคับให้เบาที่สุด พวกผู้หญิงกับคนแก่อยู่ด้านในสุดของจวน
แต่เสียงร้องไห้ก็ยังดังระงมแว่วมา เสียงตีฆ้องและก้อนอิฐที่ถูกปาจากด้านนอกราวกับห่าฝน ทหารอารักขาจวนก็เริ่มย้ายไปประชิดกำแพงกันหมด เหลือไม่กี่คนใช้โล่กันอยู่ด้านบน จากนั้นก็ค่อยๆ ก้าวขึ้นหน้า
หวังทงเดินไปถึงเรือนชั้นสอง บนพื้นเกลื่อนกราดไปด้วยเศษอิฐเศษหิน ด้านนอกยังคงปาเข้ามาไม่หยุด
ค่ายที่หนึ่งประชิดริมกำแพงยังไม่กล้าโผล่หัวขึ้นไป หวังทงยืนอยู่ในที่ปลอดภัย ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า
“เรือนหน้าโบกธง!!”
เสียงทหารขานรับ ยกกระไดขึ้นพาดจากด้านใน คว้าธงแดงปีนขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคาเริ่มโบกธง
“สี่ด้านยิงธนูไร้หัวยกที่หนึ่ง!!”
หวังทงออกคำสั่งลงไป พลทหารข้างกายก็วิ่งออกไปสี่ทิศ พร้อมกับตะโกนคำสั่งดัง ทุกด้านของกำแพงมีคนยกธนูน้าวพร้อมยกขึ้นตั้งมุมแหงนยิงออกไปทันที
ฝูงชนด้านนอกยิ่งเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก้อนอิฐก้อนหินที่ปลิวเข้ามาเริ่มน้อยลงกว่าเมื่อครู่ เป็นเพราะที่เก็บได้ข้างทางเริ่มหมดแล้ว มีคนปาเข้าในระยะปะชิด โดนกำแพงจนปูนข้างกำแพงร่วงกราว ข้างกำแพงเริ่มกะเทาะเป็นรอย น่าเกียจยิ่ง
กดดันกันรุนแรงเพียงนี้ ในจวนหวังทงกลับไร้การตอบโต้ คนข้างนอกที่ฉลาดอยู่บ้างก็เริ่มหยุดมือ พวกไม่ฉลาดยังคิดว่าหวังทงกลัว พวกที่ถูกปลุกให้ลุกฮือขึ้นมาพวกนี้ไหนเลยจะมีสมองคิดได้ พลังด้านนอกยิ่งทวีความเหิมเกริม มีคนคิดจะล้มกำแพงบ้านคนอื่นเพื่อเอาก้อนอิฐมาปา
ขณะบรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุดอยู่นั้นเอง ก็มีของปลิวลอยออกมาจากในกำแพง ธนูยิงด้วยแรงไม่มากนัก ยังเป็นการยิงแบบมุมแหงน ลูกธนูลอยอยู่กลางอากาศทิ้งโค้งไม่น้อย
ลูกธนูกลางอากาศพุ่งช้าลงย่อมต้องใช้เวลาก่อนจะถึงเป้าหมาย พวกนาวาสุคนธ์ด้านนอกพอเห็นชัดว่าคือสิ่งใด ปฏิกิริยาแรกเกิดทันที
“เฮ้ย ธนู ขุนนางสุนัขมันยิงธนู!!”
ทุกคนตกอกตกใจส่งเสียงดังติดต่อกัน คิดกันว่าตนเองน่าจะเป็นเป้าที่ธนูจะปัก พากันหันหลังวิ่งกลับไปทันที พวกที่อยู่ด้านหน้าก็คิดว่าด้านหน้าตนไร้ที่กำบัง ธนูห่าต่อมาต้องยิงโดนแน่ ก็ยิ่งถอยกรูดกันอย่างลนลาน
หลายพันคนอุดทางไว้ ด้านหลังยังมีบรรดาคนมุง เบียดจนไหล่แทบเกยกัน พอหันหลังวิ่ง พวกรู้ตัวเร็วกับพวกรู้ตัวช้าก็ยันกัน ยามนี้ใครจะไปสนเรื่องคุณธรรมอันใด จะมาเรียกร้องชีวิตอันใดอีก ได้แต่ตะโกนต่างด่าทอกัน เบียดเสียดแย่งพื้นที่อย่างไม่ยอมกัน
พริบตาเดียว รอบจวนหวังทงก็เปิดเป็นพื้นที่กว้าง มีคนหนีไม่ทันถูกธนูยิง ก็ได้แต่ร้องโหยหวน
แต่คนที่โดนยิงเริ่มรู้สึกผิดปกติ มีคนหยิบลูกธนูขึ้นมาตะโกนดังว่า
“ลูกธนูไม่มีหัว ลูกธนูนี่ไม่มีหัว!”
คนหนึ่งตะโกนดัง คนอื่นที่ลนลานหนีก็เก็บมาดู เป็นเช่นนั้นจริง ลูกธนูไม่มีหัว ยิงโดนอย่างมากก็แค่เจ็บ จะถึงตายได้อย่างไร
การค้นพบนี้ทำให้บรรดาชาวนาวาสุคนธ์ต่างมีกำลังใจ ไม่รู้ว่าผู้ใดส่งเสียงแหบพร่าตะโกนขึ้นว่า
“เจ้าขุนนางสุนัขกลัวเราแล้ว เจ้าขุนนางสุนัขรู้ว่าเสียเปรียบแล้ว พวกเราไปทวงความยุติธรรมกัน!!”
พวกนาวาสุคนธ์ที่เมื่อครู่ถอยกรูดกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เริ่มรุกขึ้นหน้า
*********
ที่ตั้งกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรแม้ว่าปิดประตูตลอด แต่ตอนเช้าก็เริ่มมีคนขึ้นไปบนหลังคา จับจ้องไปทางจวนหวังทง
พอเห็นธงแดงโบกสะบัดก็ตะโกนลงมาด้านล่างทันที
ทหารในที่พักสามแห่งก็พุ่งออกจากประตูใหญ่ทันที สามค่ายแบ่งเป็นสามเส้นทาง ในสามแห่งนั้นมีค่ายหนึ่งมีพลทหารม้าหลายสิบนาย
พลทหารราบและพลทหารม้าแบ่งเป็นสี่สาย แต่มิได้มุ่งไปยังหอกลอง หากมุ่งไปยังสี่ทิศทาง การเคลื่อนไหวช่างแปลกประหลาด แม้แต่สายที่จับตาดูค่ายของหวังทงยังงุนงง
เมื่อครู่เห็นขบวนนาวาสุคนธ์เข้าเมืองมา ทหารรักษาเมืองหลีกทางให้ ไม่ถามไม่ไถ่สักคำ พอคนผ่านไป กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลับมาปฏิบัติงานกันต่อ
พอเห็นทหารในเมืองอยู่ๆ ยกขบวนมาถึง ยามนี้ทหารรักษาประตูเมืองกลับปฏิบัติหน้าที่แข็งขัน ทุกคนชักอาวุธออกมาพร้อม หัวหน้าประตูตะวันออกตะโกนถามเสียงดังว่า
“เคลื่อนกำลังพลกลางวันแสกๆ พวกเจ้าคิดการสิ่งใดกัน!!”
สีหน้าจริงจังพร้อมเสียงตวาดดัง แต่พอเห็นอีกฝ่ายพร้อมอาวุธล้อมตนเองไว้แล้ว พวกสี่มุมประตูเมืองรวมกันไม่ถึงสองร้อย แต่พลทหารองครักษ์เสื้อแพรแต่ละมุมประตูมีกำลังสองร้อย อาวุธก็เหนือกว่า เห็นท่าทางอีกฝ่ายแล้ว พลทหารรักษาประตูก็เกรงอยู่สามส่วน
ทางเขาตะโกนถามไป พวกองครักษ์เสื้อแพรก็ไม่รอช้า เดินเข้าไปตบบ้องหูไปหนึ่งฉาด นายกองผู้นั้นอับอายจนโมโหใหญ่ มือจับด้ามดาบก็ถูกหัวหน้าค่ายองครักษ์เสื้อแพรก้าวเข้ามาถีบที่ท้องกลิ้งกระแทกพื้นทันที การกระทำที่อาจหาญเช่นนี้ทำให้ทหารรักษาประตูไม่กล้าลงมือโดยพลการ
“ปลดอาวุธทุกคน จับมัดโยนออกนอกเมืองไป ขัดขืนฆ่าให้หมด!!”
เสียงพลทหารตอบรับพร้อมเพรียง รีบกดดันกระชับพื้นที่ ทหารรักษาประตูเองได้ยินว่า ‘ฆ่าให้หมด’ ก็ยืนกันหน้าเซ่อ จะลงมือกับพวกตรงข้ามท่าทางเช่นนี้จะมีชีวิตรอดหรือ จะว่าไปทหารหมิงด้วยกัน ไยต้องแตกสามัคคี ท่ามกลางคมดาบบีบคั้น ทุกคนก็ยอมมอบอาวุธแต่โดยดี
ทหารรักษาประตูเมืองเปลี่ยนเป็นองครักษ์เสื้อแพรแล้วก็มีคนถือธงแดงเข้าเมือง
องครักษ์เสื้อแพรในเมืองเข้ายึดประตูเมืองสี่ทิศใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป พวกพลทหารม้าจัดการได้เร็วยิ่งกว่า
ในกองพลทหารม้าหลายสิบคน มี 6 คนแบ่งเป็น 3 สายไปยัง 3 ประตูเมือง พอเห็นคนโบกธง พลทหารม้าก็ไม่หยุดม้า วิ่งควบออกนอกเมืองไปทันที
**********
วันนี้คนที่ท่าเรือรู้สึกกังวล เรือในแม่น้ำทั้งสายเริ่มติดขัดได้ราวสามลี้ ไม่มีผู้ใดกล้าขนถ่ายสินค้า เกรงว่าสินค้าที่ขนลงไปจะสูญเสียไปไม่ได้คืน
ร้านค้าที่ท่าเรือเองก็ปิดทำการ เรื่องการก่อจลาจลของกองเลี้ยงม้าทางการที่เทียนจินเมื่อปีนั้น ตอนนี้ยังคงเป็นเรื่องเล่าขาน เถ้าแก่และคนงานในร้ายต่างก็ตะกายแอบดูลอดช่องประตูอย่างตื่นเต้น กลัวว่าภัยจะมาถึงตัว
คนไม่น้อยกำลังด่าในใจ พวกนาวาสุคนธ์วางอำนาจบาตรใหญ่ ข่มขู่บังคับ ล้วนเป็นคนชั่ว อย่าให้พวกบัดซบนี้ได้กลับมาอีกเลย
เห็นคนมากขนาดนั้นทะลักเข้าเมืองไป ทุกคนก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง เกิดเรื่องใหญ่แล้วหากนายพันหวังเอาไม่อยู่จะทำอย่างไร 12 ปีก่อนขันทีว่านเต้าขูดรีดโหดมาก นาวาสุคนธ์ก็เลยส่งกำลังหลายพันคนเข้าไปก่อเรื่องในเมือง สุดท้ายขันทีผู้นั้นก็ถูกเรียกตัวกลับไปสอบสวนความผิดที่เมืองหลวง ก่อนจะยอมถอย
ทุกคนคิดเหลวไหลกันไปสักพัก ก็เริ่มสับสน นอกเมืองสงบ ถือโอกาสนี้หลบกลับบ้านเกิดไปก่อนดีกว่า พอเปิดประตูออกมา ก็เห็นขบวนคนมหาศาลกรูกันมาตามท้องถนน ได้แต่ลนลานหลบกลับเข้าไปใหม่
เมื่อครู่ที่พวกนาวาสุคนธ์ผ่านไปนั้นเอะอะโวยวาย แต่ครั้งนี้นอกจากเสียงฝีเท้าเป็นระเบียบแล้วก็ไม่มีเสียงดังเอะอะอันใด
หลายคนแอบมองลอดช่องประตูอย่างกลัวๆ กล้าๆ
เป็นกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรเทียนจริงๆ กองทัพใหญ่องครักษ์เสื้อแพรเข้าเมืองแล้ว!!