Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 322

ตอนที่ 322 ไร้ผลดี ร่วมหารือ

“…ศาลซุ่นเทียน สำนักองครักษ์เสื้อแพร สำนักบูรพา กรมอาญาใหญ่และที่ทำการทุกแห่งร่วมปฏิบัติงาน จากนั้นในเมืองนอกเมืองก็ไร้ร่องรอยลัทธิไตรสุริยัน…”

“อวี๋จี้หย่ง ขุนนางนอกราชการกรมอากร ชาวเมืองเจียงหลิง เขตหูกว่าง สอบได้ตำแหน่งจิ้นซื่อในปีที่ 2 แห่งรัชสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง ปีนี้อายุ 42 ปี แต่งกับน้องสาวฝ่ายแม่ของอิ๋วชี ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกองตรวจการประจำเทียนจิน”

“ซุนจื้อปิน กองลาดตระเวนทะเลเมืองจี้โจว ชาวซานตง เข้ารับราชการทหารในปีที่ 32 แห่งรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง ปีนี้อายุ 48 ปี เคยดำรงตำแหน่งนายกองคนสนิทของขุนพลชีจี้กวงแห่งเมืองจี้โจว”

“สวี่กว่าง หัวหน้ากองในสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ ชาวอำเภอเหิงสุ่ย เขตปกครองเหนือ เข้าวังในปีที่ 41 แห่งรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง ปีนี้อายุ 46 ปี เป็นลูกบุญธรรมเฝิงเป่า”

“…ราชโองการทูลเกล้าโดยคณะเสนาบดีใหญ่ วันที่ 10 เดือนสิบสำนักส่วนพระองค์กาชาดอนุมัติ ราววันที่ 15 เดือนสิบก็ถึงเทียนจิน…”

ในห้องหนังสือ หวังทงขมวดคิ้วอ่านเอกสารที่มาจากเมืองหลวง มีบางอย่างสามารถแบ่งปันกับคนข้างกายได้ พออ่านจบ หยางซือเฉินข้างๆ ก็รับมาอ่านพร้อมกับไช่หนาน

นอกจากข่าวที่ได้จากสำนักรักษาความสงบแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงยังมีจดหมายลับติดต่อกัน การจัดวางตำแหน่งก็ย่อมรู้ก่อน

เดิมจดหมายก่อนหน้านั้น หวังทงขอให้ฮ่องเต้ว่านลี่จัดการเรื่องอำนาจหลายอย่างที่ยังค่อนข้างไม่ชัดเจนในเทียนจินให้กระจ่างเสียก่อน ก็มิใช่ตำแหน่งขุนนางใหญ่โตอะไร ก็แค่ตำแหน่งกองตรวจการ กองกำลังพลรักษาเมืองเทียนจินอะไรพวกนี้เท่านั้น

ตำแหน่งนายกองตรวจการก็แค่ระดับเก้า ตำแหน่งขุนพลกองกำลังพลรักษาเมืองก็แค่ตำแหน่งไร้อำนาจจริง ตามกฎก็แค่ขุนนางบู๊ระดับหกมารับหน้าที่เท่านั้น แต่กองตรวจการยังมีหน้าที่ตรวจสอบความผิดขุนนางร่วมด้วย กองกำลังพลรักษาเมืองมีหน้าที่นำกำลังรักษาเมือง ก็เหมือนกับคนที่ส่งมาดูแลสำนักปืนไฟ ตำแหน่งแม้ว่าต่ำ แต่มีชื่อและมีอำนาจแท้จริง

หากในราชสำนักและส่วนตัวแล้ว จางจวีเจิ้งกลับปิดทางนี้หมดทุกทาง หากฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเสนอปูนบำเหน็จก็ต้องไต่สวนความผิดที่บกพร่องหน้าที่ที่ไม่รู้เรื่องล่วงหน้า

อย่างไรฟานต๋ากับว่านเต้าและหลี่ต้าเหมิ่งก็มีโทษจากการไม่รู้ล่วงหน้า หวังทงอย่างไรก็หนีไม่พ้นต้องโดนไปด้วย เจ้าบอกว่าเจ้าจงใจล่อเสือออกจากถ้ำ ก็เอาหลักฐานมาสิ

จนถึงตอนต้องมีราชโองการไป ว่านลี่ก็ไม่ได้มีโอกาสได้เสนอเรื่องนี้อีกเลย ได้แต่ปล่อยให้ผ่านไปอย่างไม่ชัดเจน ตั้งแต่มีเรื่องก้อนเงินจินฮวา หวังทงที่เทียนจินก็ส่งเงินเข้าเมืองหลวงมาได้สามแสนตำลึงแล้ว พอฮ่องเต้ว่านลี่เห็นก้อนเงินแล้วกลับไม่ได้ช่วยหวังทงออกหน้าก็รู้สึกละอายยิ่งนัก

ในจดหมายส่วนตัวกล่าวเช่นนี้ หรือว่าจะยุให้ทรงกริ้วให้ได้หรือไร ก็ได้แต่ยอมรับไป ยังต้องตอบจดหมายกลับไปว่าขอบพระทัยที่ทรงปกป้อง มิเช่นนี้โทษที่บกพร่องต่อหน้าที่คงไม่อาจละเว้น

พวกนาวาสุคนธ์ก่อการที่เทียนจิน เป็นเหตุให้ถอนตะปูขวางหูขวางตาพวกนี้ออกไปได้ ทำจนได้แรงงานมาหกพัน แต่พวกนาวาสุคนธ์กลับมีสายใยเป็นใยแมงมุมเช่นนี้ มันช่างทำให้รู้สึกไม่สบายใจเสียจริง

แรงงานหกพัน ยังมีอีกสองสามพันช่วยงานจิปาถะ เกือบหมื่นที่มีปากกินอาหาร นี่ก็เหมือนกับการใช้เงินสูญไปราวกับน้ำ

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกที่มาใหม่ ล้วนเป็นคนสนิทของใต้เท้าจางและเฝิงกงกง ส่วนคนของชีจี้กวงนั้น ใต้หล้าผู้ใดไม่รู้ว่าแม่ทัพชีนั้นเป็นพวกเดียวกับใต้เท้าจาง

คนที่มาย่อมมีใจเป็นศัตรูกับตนมาก่อนแล้ว เรื่องงานในมือตนเองก็ได้มาอย่างไม่กระจ่างแจ้งนัก วันหน้าไม่รู้ว่าจะต้องยุ่งยากอีกเท่าใด

แต่ต้นจนจบ ตนเองนั้นไม่ได้อะไรเลย กลับเหมือนตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่นเสียนี่

ได้จดหมายลับมาจากว่านลี่ ในใจก็รู้สึกไม่พอใจนัก อ่านเอกสารจากสำนักรักษาความสงบที่ส่งมาอีก ในใจหวังทงก็หงุดหงิดสั่งสมได้ระดับหนึ่ง

“วันนี้วันที่ 10 เดือนสิบ เพิ่งประชุมขุนนาง จางกงกงส่งม้าเร็วมา ใต้เท้าข่าวไวจริง!”

ไช่หนานกล่าวสัพยอก เขามองออกว่าหวังทงอารมณ์ไม่ดีนัก

การแสดงออกของไช่หนานทำให้หยางซือเฉินแปลกใจอย่างที่สุด ว่ากันว่าขันทีล้วนเป็นพวกวางท่าไม่น้อย ก่อนหน้าเกิดเรื่องก็แล้ว แต่ตอนนี้ด้วยสถานะเป็นถึงนายกองคุมกำลังกองกำลังหู่เวย เห็นชัดว่าอยู่เหนือหวังทง แต่ยามปกติการวางตัวและพูดจาล้วนเป็นแบบพวกผู้ใต้บังคับบัญชา

“มีข่าวแล้วอย่างไร สถานการณ์ก็เช่นเดิม”

หวังทงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก หยางซือเฉินแม้ว่าสงบลงแล้ว แต่ในใจก็ยังรู้สึกแปลกใจอย่างมาก มีข่าวจากในวังส่งมาถึงมือเป็นประจำ ท่านยังไม่พอใจ หวังทงแห่งเทียนจินนี่ไม่อาจใช้เหตุผลทั่วไปมาคาดเดาได้เลยจริงๆ และหยางซือเฉินยังค้นพบอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือการมีอยู่ของตนเองนั้นช่างไร้ค่า

ตั้งแต่ตนมาถึงที่นี่ ไม่ได้แสดงความสามารถอันใด ก็ถูกจัดให้ทำงานด้านเอกสาร ตนร่ำเรียนตำรามามากมาย หรือว่าใช้การได้แค่นี้

หยางซือเฉินคิดไปคิดมาก็ก้าวออกมาถามว่า

“ใต้เท้า เรื่องนี้ใต้เท้าเซินก็ลงแรงด้วย ตามธรรมเนียม ฟานต๋ากับว่านเต้าอย่างมาก็ถูกลงโทษริบเบี้ยหวัด การปล่อยให้เรื่องผ่านไปเองก็ใช่ว่าไม่อาจเป็นได้ การที่ตำแหน่งว่างลงส่งคนใหม่มา คงไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ ก็ย่อมต้องใช้เวลาปรับตัว ช่วงเวลานี้ใต้เท้าก็สามารถจัดการอะไรไปได้”

หวังทงยังคงส่ายหน้า เอ่ยขึ้นว่า

“หากไม่มีจดหมายเจ้าฉบับนั้น เกรงว่าคงไม่เกิดผลลัพท์เช่นนี้ ท่านหยาง วันหน้าเรื่องในจวนนอกจวนก็ขอให้ท่านดูแลให้มากๆ แล้ว”

กล่าวถึงตรงนี้ หยางซือเฉินก็ก้มหน้าคำนับไปทางเมืองหลวง จากนั้นก็คำนับหวังทง กล่าวจริงจังว่า

“ไยใต้เท้าต้องกล่าวเช่นนั้น หากไม่มีใต้เท้ารับข้าน้อยไว้ ข้าน้อยไหนเลยจะมีวันนี้ หากมิใช่จดหมายนั่น ข้าน้อยจะเข้าใจจิตใจปกป้องที่ใต้เท้าเซินมีต่อข้าน้อยได้อย่างไร วันนั้นนับว่าเลอะเลือนจริง ตอนนี้มาคิดดูก็รู้สึกละอายยิ่ง”

เพราะจดหมายฉบับนั้น หยางซือเฉินจึงได้มั่นใจว่าเซินสือหังเห็นความสามารถเขา แน่นอนหากไม่ใช่หวังทงรับไว้ เรื่องเหล่านี้ก็มิต้องเอ่ยถึง

คนเรียนหนังสือพูดจาค่อนข้างอ้อมค้อม กล่าวได้เพียงนี้ก็เพียงพอแล้ว หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า

“เราทางนี้ตำแหน่งขุนนางไม่สูง และยังเป็นขุนนางบู๊ แต่หลายเรื่องรวมกันก็มีงานไม่น้อย มีงานเอกสารมาก เรื่องบัญชีก็ต้องทำให้ดี หากปล่อยสั่งสมไปเรื่อย สุดท้ายคงได้วุ่นวายเป็นแน่ คนนอกไม่มาตรวจสอบ พวกเราเองก็วุ่นวายกันก่อนแล้ว”

ในยุคนนี้น้อยคนที่จะสนใจความสำคัญของกฎเกณฑ์และขั้นตอน นี่เป็นเงื่อนไขที่ต้องมีในการทำงานทุกอย่างให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ หยางซือเฉินแม้ว่าเป็นบัณฑิตระดับจวี่เหริน แต่ความรู้พวกนี้น่าจะสู้หวังทงไม่ได้ ได้แต่ยืนอึ้งไปอย่างเสียมารยาท เป็นนานกว่าจะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่

หวังทงกล่าวได้ชัดเจน แต่ความหมายลึกซึ้งไป หยางซือเฉินคิดเป็นนานก่อนจะประสานมือคำนับว่า

“ใต้เท้าช่างล้ำลึก ข้าน้อยห่างไกลนัก ขอเวลาให้ข้าน้อยค่อยๆ วางแผนสองสามวัน ค่อยร่างให้ใต้เท้าได้หรือไม่?”

กล่าวจบก็ส่งรอยยิ้มเฝื่อนๆ มาให้ ระดับจวี่เหริน ร่ำเรียนตำราปราชญ์ ระยะสองปีนี้เพิ่งเรียนตำรากลยุทธ์ แต่พอมาเทียนจินกลับพบว่าไร้ประโยชน์ ในใจก็ย่อมรู้สึกหล่นวูบ ไช่หนานเป็นแค่ขันทีในสำนักศึกษาฝ่ายใน เหตุใดทำงานจึงได้เก่งกว่าตนนัก

จากนักเรียนสู่ตำแหน่งจิ้นซื่อ แต่ละก้าวต้องอ่านคัมภีร์ขงจื้อ นอกจากอ่านตำราแล้วทำอะไรไม่เป็น แต่ในวังนั้นค่อยๆ ลำบากฟันฝ่ามากว่าจะมีโอกาสได้ทำงานใน 24 หน่วยงาน ได้เป็นมหาขันที หรือได้เข้าสู่สำนักส่วนพระองค์ แต่ละก้าวล้วนมิใช่เรื่องล้อเล่น ความต่างก็ย่อมห่างกันไกลด้วยเหตุนี้

หยางซือเฉินจะเป็นกำลังของตนได้หรือไม่ยังต้องดูต่อไป หวังทงไม่รีบร้อน เรื่องครั้งนี้เห็นถึงความร้ายกาจของใต้เท้าในราชสำนักได้เป็นอย่างดี

ดูแค่ใต้เท้าจางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่า ไม่เพียงแต่อุดทางปูนบำเหน็จความดีความชอบของหวังทง ยังดึงตำแหน่งมาให้คนสนิทตนได้ด้วย แม้แต่เซินสือหัง ยังทำให้ตนและหยางซือเฉินรู้สึกติดค้างได้ครั้งหนึ่ง หยางซือเฉินก็ย่อมซาบซึ้งยิ่ง

แม้ว่าหยางซือเฉินจะทำงานให้หวังทง แต่คิดดูแล้วข้างกายมีคนที่ไม่มีใจภักดีตนผู้เดียว คิดแล้วก็ให้รู้สึกไม่สบายใจนัก ต้องป้องกันไว้บ้าง

ดังนั้นจึงต้องหาอะไรให้เขาไปทำ เรื่องนี้เดิมก็เป็นเรื่องยาก ทำได้ดีก็ดี ทำได้ไม่ดีก็ได้แต่ต้องเสียแรงคิดต่อไป

แม้ว่าหวังทงต้องการผู้รู้หนังสือ แต่ระวังไว้ก่อนดีกว่า ไม่อาจก้าวพลาด

มองหยางซือเฉินขอตัวออกไป เห็นชัดว่ากำลังคิดอย่างหนัก หวังทงยิ้มอย่างพอใจ หันไปทางไช่หนานกล่าวว่า

“นายกองไช่ ตอนนี้เป็นนายกองแล้ว เรื่องสัพเพเหระก็ให้คนอื่นไปทำได้แล้ว นอกเมืองนั้นก็คัดเลือก 500 คนจากพวกนาวาสุคนธ์ รีบเขียนรายชื่อส่งให้จางกงกง ทางนี้เดิมทีก็ไร้สถานะ อย่าได้รอให้ถึงเวลามีคนมากล่าวหาเอาได้”

“ใต้เท้าหวังเรียกข้าน้อยว่าเสี่ยวไช่เหมือนเดิมเถอะ ใต้เท้าเรียกนายกองแล้ว ข้าน้อยรู้สึกครั่นตัวจริง เรื่องรายชื่อนั้นพรุ่งนี้ข้าน้อยจะรีบไปดำเนินการ จะรีบนำมาให้ใต้เท้าดูก่อน”

“มีอันใดต้องครั่นตัว ตอนนี้เจ้าเป็นนายกองแล้ว หากคนอื่นเห็นข้าใช้เจ้าไปนั่นมานี่ ไม่รู้ว่าเอาไปพูดมากมายสักเท่าไร ตอนนี้รับเรื่องพวกนี้ไม่ไหว”

มองไช่หนานรีบลุกขึ้นยื่นอธิบายด้วยรอยยิ้มเฝื่อน หวังทงก็อดแซวไม่ได้ ไช่หนานก้มกายประสานมือ ยิ้มกล่าวว่า

“ตอนยังไม่มาเทียนจิน ข้าน้อยรู้สึกว่าไม่น่ากลัว รอ 20 ปี 30 ปี คงได้กลับเข้าสู่สำนักส่วนพระองค์อย่างสบายๆ คิดไม่ถึงว่าเหมือนมีค้อนทุบ โจวกงกงกับข้าน้อยก่อเรื่องใหญ่ ถูกคนจับได้ ตอนนี้คิดว่า 20 ปี 30 ปี ไม่แน่ว่าคงได้อยู่แต่สำนักซักล้างวันๆ ซักแต่เสื้อผ้าหรือไม่ก็สำนักซื้อหาสุราวันๆ ขนแต่ไหสุราเป็นแน่…”

กล่าวถึงตรงนี้ ไช่หนานก็เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ น้ำเสียงแหบพร่า เงียบไปครู่ก่อนจะเอ่ยต่อว่า

“ใต้เท้ารับข้าน้อยไว้ ให้ดูแลงานไม่น้อย ทุกคนเรียกอย่างนอบน้อมว่าไช่กงกง เดิมคิดว่าเกิดเรื่องขึ้นมาหน้าตาที่มีย่อมไม่อาจหวนคืนได้อีก คิดไม่ถึงจะมีวาสนาเป็นถึงนายกองคุมกำลังหู่เวย คิดดูดีๆ แล้ว ความมีหน้ามีตาในเมืองหลวงก็เพราะใต้เท้าเปิดร้านอาหารและลานฝึก การได้มาดำรงตำแหน่งนี้ก็เพราะใต้เท้าสร้างกองกำลังขึ้น ไม่มีใต้เท้า ก็ไม่มีข้าน้อยที่ผ่านมาถึงวันนี้ ท่านโปรดใช้ข้าน้อยตามเดิมเถิด จะมาเรียกนายกองอันใดกัน ข้าน้อยรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวยิ่ง!”

หวังทงชี้มือไปทางไช่หนานยิ้มๆ ไม่กล่าวอันใด ทุกคนเข้าใจก็พอ กล่าวถึงตรงนี้ ก็หันไปคิดถึงสามคนที่ถูกลงโทษ

ว่านเต้าถูกจับกุมกลับเมืองหลวงไปรับโทษ ฟานต๋าก็ถูกปลดตำแหน่งเอาตัวไปสอบ หลี่ต้าเหมิ่งก็ถูกปลดให้กลับบ้านเกิด สองคนแรกโดนลงโทษ แต่คนหลังสุดกลับได้กลับบ้านเกิดสบายๆ และยังเป็นขุนพลนำกำลังออกรบ ขุนนางบุ๋นไร้ตำแหน่งย่อมไร้ค่า แล้วขุนนางบู๊ที่ไร้ตำแหน่งเล่า…

“นายกองไช่ ไปตามซุนต้าไห่กับจางซื่อเฉียงมาหน่อย!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version