ตอนที่ 323 ขุนนางมิสู้ขันที รั้งคนริมแม่น้ำ
“รีบส่งคนไปจับตาฟานต๋า ว่านเต้าและหลี่ต้าเหมิ่ง หากเดาไม่ผิด เกรงว่าคงใกล้เคลื่อนไหวแล้ว”
ซุนต้าไห่และจางซื่อเฉียงเป็นคนรู้ดีว่าหวังทงคิดการใด พอสั่งการไปก็รีบออกทันที
ไช่หนานในห้องรู้สึกแปลกใจ เห็นหวังทงไม่มีทีท่าจะบอกตน ก็ประสานมืออำลา ผู้ใดจะคิดว่าไม่ทันได้เอ่ยอันใด
พลทหารคนสนิทคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามารายงานว่า “มีเรื่องด่วนรายงานใต้เท้า!”
พอเข้ามาก็คุกเข่าลง รายงานอย่างเร็วว่า
“ว่านเต้าผูกคอตายแล้ว!”
หวังทงผุดลุกขึ้นยืนอย่างเร็ว ถึงกับเดาถูกต้อง ไช่หนานข้างๆ ก็เต็มไปด้วยสีหน้าแปลกใจ หวังทงสูดลมหายใจเข้าก่อนจะเอ่ยว่า
“นายกองไช่ ท่านไปที่จวนว่านเต้า สอบถามพลทหารที่รักษาการที่นั่นให้หมดทุกคน ดูว่าปล่อยผู้ใดเข้าไปหรือไม่ ข้าจะไปจวนฟานต๋า”
ไช่หนานรับคำรีบออกไป หวังทงตะโกนให้เตรียมม้า พอออกนอกประตูโดดขึ้นม้า ก็หันไปสั่งทหารข้างกายว่า
“ตามถานปิงรีบไปที่จวนหลี่ต้าเหมิ่ง ต้องทันพบคนเป็น!!”
กล่าวจบ ม้าเร็วก็ตะบึงออกจากจวนไปยังจวนฟานต๋า
เมืองเทียนจินไม่ใหญ่นัก ห่างกันไม่ไกล หวังทงมาถึงกองตรวจการเห็นพลทหารกำลังเฝ้าหน้าประตูอยู่
พอเห็นหวังทง หัวหน้ากองและนายกองร้อยสองคนก็เข้ามาคำนับ หวังทงลงจากหลังม้าไม่กล่าวอันใดมาก เอ่ยขึ้นทันทีว่า
“เปิดประตู เข้าจวนค่อยคุย!!”
ทุกคนรับคำพร้อมกัน หน้าประตูกองตรวจการแม้ว่ามีทหารของฟานต๋าอยู่ด้วย แต่พอเห็นท่าทางเอาเรื่องของทหารองครักษ์เสื้อแพรแล้ว ไหนเลยจะกล้าขวางทาง นับประสาอะไรกับการที่ล้อมไว้หลายวัน วันที่สังหารคนตรงหน้านั้นก็ทำเอาทุกคนหวาดผวาไปหมด ยามนี้พวกเขาก็แค่วางท่าไปยังงั้นเอง
หวังทงก้าวเข้ามาเบื้องหน้า พลทหารด้านหลังเรียงแถวเข้ามา พอเห็นคนพวกนี้เข้ามา พวกทำงานเอกสารด้านในก็เริ่มลนลานผิดปกติ
ด้านนอกป้องกันแน่นหนา หากกองตรวจการก็ควรจะทำการปกติได้ ทำไมในห้องโถงใหญ่และรองกลับไม่เห็นเงาฟานต๋า พอลากคนหนึ่งมาถาม จึงได้รู้ว่าหลายวันนี้ฟานต๋ามิได้ออกมาทำงาน
หรือว่าหนีไปแล้ว หวังทงหันกลับไปมอง นายกองร้อยผู้นั้นส่ายหน้า รับรองหนักแน่นว่า
“ในจวนมีคนเราจับตาอยู่ หลายวันนี้ฟานต๋าไม่ได้ออกจากจวนเป็นแน่”
ที่ทำการด้านหน้าหาไม่เจอ ก็ไปที่จวนด้านหลัง ด้านหน้าลนลานผิดปกติ สาวใช้และคนรับใช้ด้านหลังพอเห็นองครักษ์เสื้อแพรมา พวกที่ใจเสาะก็กรีดร้องไห้ดังลั่น
สถานการณ์เช่นนี้คนเมืองหลวงคุ้นเคยดี องครักษ์เสื้อแพรท่าทางดุบุกมาถึงที่ หรือว่ามากวาดล้าง…
พวกขันทีมีนิสัยรุนแรง มักจะโหดเหี้ยมหลายส่วน บรรดาบัณฑิตเรียนตำราก็มักขี้ขลาด ว่านเต้าฆ่าตัวตาย แต่ฟานต๋ากลับเอาแต่ร่ำสุราเมามายในห้องหนังสือ
ในห้องหนังสือเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา หวังทงขมวดคิ้ว หญิงสาวสองคนกรีดร้องวิ่งไปด้านหลัง ฟานต๋าฟุบอยู่กับโต๊ะไร้สติ
หวังทงก้าวเข้าไปพลิกตัวฟานต๋า คนข้างๆ ก็ส่งชาเย็นเยียบให้ หวังทงสาดใส่หน้าฟานต๋า ฟานต๋าจึงได้หรี่ตาขึ้นท่าทางยังไม่สร่างดี หวังทงยิ้มเย็นถามว่า
“ใต้เท้าฟาน ว่านกงกงผูกคอตายแล้ว”
ฟานต๋าพยายามลืมตามอง พอเห็นหวังทงก็อดกัดฟันกรอดด่าทออู้อี้ไม่ได้ว่า
“ข้าลำบากอ่านตำรามา กว่าจะสอบติด คิดจะเสวยสุขสักหน่อย แต่เจ้าพวกขุนนางบู๊เช่นพวกเจ้า อาศัยความไว้วางพระราชหฤทัยมากดหัวข้า มาถึงนี่ยังไม่ยอมรามือ ข้าก็แค่คิดจะเสวยสุขกับชีวิตที่ร่ำรวยบ้าง…”
กล่าวยังไม่ทันจบ อยู่ๆ ก็สลัดตัวขึ้นเบิกตากว้าง เดิมร่างกายก็สั่นเทิ้มรุนแรงแล้ว แม้แต่หวังทงใช้แรงก็ยังจับไม่อยู่
ฟานต๋าสองมือกวาดไปทั่ว คว้าเอาแขนหวังทง ก้าวขึ้นหน้ามาสองก้าว ก็ถูกเก้าอี้กลมขัดขาล้มลงกับพื้นทันที ตะเกียกตะกายครู่หนึ่ง ก็นั่งแปะร้องไห้เสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“ไหนเลยแค่ตาย ไหนเลยแค่ตาย ราชสำนักตั้งแต่จางจวีเจิ้งลงไปถึงพวกตัวเล็กๆ ผู้ใดไม่รับเงิน ข้าก็แค่ใช้เรือขนเกลือเท่านั้น ไม่ควรถึงขั้นปลดตำแหน่ง โทษไม่ถึงตาย ไม่ถึงตาย…”
สายตาเหม่อลอยไปไกล มุมปากน้ำลายไหลอย่างไม่อาจควบคุม ปกติเห็นวางท่าทางใหญ่โตพวกนั้นยามนี้ไม่เหลือแม้แต่น้อย หวังทงมองอย่างละเอียดแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าฟานต๋าสติแตกไปแล้ว
เรือทะเลขนเสบียงมา เรือในคลองส่งน้ำก็ว่างใช้ขนของหนีภาษี แอบเอาไปขนเกลือ ทางใต้เทียนจินมีพื้นที่ไม่น้อย
ใช่แค่สำนักเกลือฉางหลูที่เดียว
การลอบขนเกลือจากคลองส่งน้ำไปยังมณฑลซานตง จากนั้นก็ล่องจากแม่น้ำหวงเหอกลับยังเหอหนาน ขายไปตลอดทาง จากนั้นก็นำสินค้าจากมณฑลส่านซี มณฑลซานซีและมณฑลเหอหนานกลับมา ในนี้นั้นก็มีปรอทที่เป็นสินค้าจากซานซีและส่านซี หนังกวางก็เก็บรวบรวมจากพื้นที่แถวนั้น ยาหางวัวเป็นสินค้าที่ดีที่สุดของส่านซี
เป็นกิจการครบวงจรไม่น้อย แต่เพราะราชวงศ์หมิงไม่อนุญาตให้ค้ากำไรจากสินค้าพวกนี้ โจรสลัดหรือพวกโจรประเทศวัว ยังมีพวกที่ใหญ่ในพื้นที่ พวกมารร้ายทั้งหลายต่างก็อาศัยการค้านี้ร่ำรวยกัน กลายเป็นก้อนเนื้อร้ายกัดกินราชวงศ์หมิงเรื่อยมา
ฟานต๋าที่นั่งแปะกับพื้นส่งเสียงแหบพร่าได้ไม่กี่คำก็อาเจียนออกมาหมด ในห้องส่งกลิ่นน่าสะอิดสะเอียน ฟานต๋าไม่อาจสนใจสิ่งใดได้อีก นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นอย่างเดียว
หวังทงมองอย่างรังเกียจสองสามที ก่อนจะเอ่ยว่า
“ใต้เท้าฟานเสียสติแล้ว ในจวนมีแต่พวกอ่อนแอ เกรงว่าอาจจะดูแลได้ไม่ดี ให้ทหาร 20 นายเข้ามาดูแลในจวน ต้องเป็นเพื่อนใต้เท้าฟานตลอดเวลา อย่าได้เกิดข้อผิดพลาด!”
นายกองร้อยรีบน้อมกายรับคำสั่ง หวังทงไม่อยากจะอยู่ในห้องนี้ต่อ หันหลังออกไปทันที ซุนต้าไห่ที่ตามมาถึงเข้ามาถามว่า
“ใต้เท้า จับกุมฟานต๋าขังไว้ก่อน?”
“ไม่ต้อง ราชโองการอีกหลายวันกว่าจะมาถึง ส่งตัวไปลงโทษเมืองหลวง ที่จวนว่านเต้ากับที่นี่ต้องเฝ้าให้แน่นหนา ไม่ให้ผู้ใดหรือสิ่งของใดเข้าออกได้”
เพิ่งขึ้นม้าจากไป จางซื่อเฉียงควบม้ามาจากอีกทางหนึ่ง เข้ามากระซิบว่า
“ใต้เท้า ว่านเต้าผูกคอตายเช้านี้”
“เฝ้าที่นั่นให้แน่นหนา จากนี้ไม่ให้คนเข้าออก คนทำงานในจวนว่านเต้าก็จับตัวมาให้หมด รีบไปจัดการ!”
สั่งการเสร็จ หวังทงก็ควบม้าออกไป คนด้านหลังไม่ทันสังเกต หวังทงทงสีหน้าน่ากลัวอย่างที่สุด
เขาได้ข่าวมาจากสำนักรักษาความสงบและจดหมายลับจากฮ่องเต้ ลัทธิไตรสุริยันกับพวกเบื้องหลังที่นี่กลับรู้เรื่องล่วงหน้าได้
พอลองคิดช่วงเวลาส่งข่าวมาถึงเทียนจิน การข่าวของอีกฝ่ายดีไม่ดีน่าจะดีพอกับตน ก็หมายความว่ามาจากในวัง และยังน่ามีตำแหน่งไม่น้อย
การคาดเดานี้ไม่อาจกราบทูลฮ่องเต้ว่านลี่ได้ในทันที มิเช่นนั้นจัดการไม่ดี ก็จะทำให้ในวังไม่พอใจ ถึงตอนนั้นคงได้จบสิ้นกันหมด
***********
พอกลับถึงจวน คำสั่งที่สั่งการลงไป กองกำลังในและนอกเมืองเทียนจิน แม้แต่ริมแม่น้ำทะเลก็เพิ่มระดับการป้องกัน
โดยเฉพาะที่รวมตัวกันของพวกนาวาสุคนธ์ หวังทงมีคำสั่งลงไปว่า หากมีการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยก็สังหารได้ทันที ไม่อาจยอมให้เกิดจลาจลได้อีก กว่าจะลงทุนลงแรงพาตัวออกจากเหตุการณ์นี้ได้ อย่าได้ต้องพังทะลายลงเลย
***********
ฟานต๋าเสียสติ ว่านเต้าฆ่าตัวตาย ขุนพลหลี่ต้าเหมิ่งก็ย่อมรู้ข่าวนี้
“นายท่าน จวนหลี่ต้าเหมิ่งตั้งแต่ตอนกลางวันมีนายทหารคนสนิทของเขาดูแล้วเหมือนร้องไห้มา และยังมีคนไปโขกศีรษะให้หลี่ต้าเหมิ่งที่ห้องโถง ยังมีคนกำลังเตรียมรถม้า”
“ส่งคนไปจับตาดู พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าขออยู่เงียบๆ สักพัก!”
สายที่จางซื่อเฉียงพามาจากเมืองทงโจว มีคนหนึ่งเข้าไปทำงานในจวนหลี่ต้าเหมิ่ง เงินทองให้ไม่ขาดมือ ทุกคนดูแลอย่างดี ดังนั้นทุกคนก็ย่อมภักดี สามารถมีข่าวมาไม่น้อย
ห้องหนังสือปิดลง หวังทงสูดลมหายใจเข้า ใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ
หลี่ต้าเหมิ่งถูกปลดกลับบ้านเกิด อาจกล่าวได้ว่า ตัวไม่มีความผิดไม่ต่างอันใดกับการขอลาออกกลับบ้านเกิด ขุนนางบุ๋นหากไร้ตำแหน่งก็เท่ากับสูญสิ้น แต่ขุนพลเช่นนี้หากไร้ตำแหน่ง ยังคงเป็นสายบู๊ที่มีฝีมือไปหางานทำต่อได้ อย่างไรก็มีคนต้องการผู้ติดตามที่มีฝีมือ
ขุนพลผ่านมารบมาหลายศึกย่อมมีศัตรูเคียดแค้นไม่น้อย หากจากเมืองเทียนจินไปจริง นั่นย่อมไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง
และคนพวกนี้ยังรู้การฝึกทหาร รู้จักการจัดการทัพ พยัคฆ์ร้ายเช่นนี้ถูกซื้อตัวไป หรือว่าพวกเขาครั้งนี้คิดจะไปสวามิภักดิ์พวกคิดการไม่ซื่อพวกนั้นกัน
หวังทงตบโต๊ะอย่างแรง ตะโกนดังว่า
“ใครอยู่ข้างนอก รีบเข้ามา!!
*************
เพราะเป็นจวนขุนพล หากเจ้าไม่ระวังตรวจสอบ ก็จะรู้สึกได้ว่าไม่มีอะไรแปลกไป
หลี่ต้าเหมิ่งเดิมก็ไม่อยู่ในจวนแล้ว เขายังมีเรือนลับอีก เป็นที่หลี่ต้าเหมิ่งไว้ฝึกยุทธ์ พวกคนงานย่อมไม่เข้าใกล้
ทุกคืนหลี่ต้าเหมิ่งจะไปที่ค่าย นี่เป็นนิสัย คนงานก็เตรียมม้าปกติ ย่อมมีทหารติดตามอารักขา
จวนห่างจากค่ายไม่กี่ร้อยก้าว หลี่ต้าเหมิ่งออกไป ก็ไปทางแม่น้ำพร้อมกับลูกน้องคนสนิท ย่อมไม่มีผู้ใดขัดขวาง คนในจวนคิดว่าเขาไปค่าย คนที่ค่ายก็คิดว่าเขายังไม่กลับมา
คนทั้งหมดจากไปอย่างเงียบๆ เห็นแต่เรือที่เทียบท่าแขวนโคมแดง เห็นโคมแดงแล้วหลี่ต้าเหมิ่งก็โล่งใจ ข้างกายเขาก็ผ่อนลง เห็นชัดว่าทุกคนล้วนรู้สึกโล่งใจ
ในตอนนั้นเอง ก็มีพลม้าวิ่งมาขวางด้านหน้า กำลังตะลึงอยั้น ก็มีหัวหน้าตะโกนดังว่า
“ใต้เท้าหลี่คิดว่าราชสำนักอาจจะจับกุมมาลงโทษ จึงได้คิดจากไปก่อน ขอใต้เท้าวางใจ ราชโองการก็แค่ปลดตำแหน่ง ไม่ได้มีบทลงโทษใด”
วาจานี้เหมือนล้อเล่น แต่หลี่ต้าเหมิ่งฟังไหนเลยจะฟัง คำรามขึ้นเบาๆ ทุกคนก็ชักดาบเตรียมพร้อมแล้ว!