Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 340

ตอนที่ 340 การค้าผูกขาด ร้านค้าใหม่

เมื่อได้ยินหวังทงถามว่า ‘ทำไมต้องมาทางบก ทางทะเลมิใช่ว่าสะดวกกว่าหรือ’ ซุนโส่วเหลียนก็อึ้งไปก่อนจะรีบกล่าววาจาตามมารยาทสามประโยคแล้วก็กล่าวอำลาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ตอนเข้ามาหวังทงรอรับในห้อง แต่ตอนออกไป หวังทงไปส่งถึงประตูใหญ่ สองฝ่ายคำนับตามมารยาทกันอย่างเต็มที่ที่หน้าประตู

พอเห็นซุนโส่วเหลียนขึ้นม้าจากไปไกล ก็เดินกลับเข้าจวน จางซื่อเฉียงเข้ามาใกล้กระซิบว่า

“ซุนโส่วเหลียนมาเทียนจินในครั้งนี้ด้วยเรื่องขนเสบียงของทางการ ที่หน่วยกว่างหนิงกับหน่วยหนิงหย่วนสองหน่วยนี้รับเสบียงจากเทียนจิน ไปมาหาสู่กับกองตรวจการที่เทียนจิน”

ข่าวแบบนี้สามารถสืบได้จากที่ทำการกองตรวจการ อย่างไรก็มีสายสืบฝังตัวอยู่ที่นั่น แค่ถามก็รู้ได้

“ข่าวจากโรงเตี๊ยมจตุรทิศเป็นอย่างไร?”

“ทางนั้นบอกว่าหลังจากที่ซุนโส่วเหลียนมาถึงเทียนจิน เขาออกเดินดูไปทั่ว ทั้งยังดื่มสนุกสนาน ที่หอดอกโบตั๋นยังเหมาหญิงสาวมาหลายนาง ไม่มีผู้ใดไปมาหาสู่กับเขา”

หวังทงพยักหน้า เพียงพอที่จะตัดสินได้แล้ว พอเดินเข้าไปในห้อง ถานเจียงก็ถามว่า

“นายท่าน จะสั่งให้ชื่อเฮยเตรียมม้าไหม? จะได้ออกไปดูแต่ละค่าย”

“ยังไม่ต้องรีบ ซานเปียว ไปร้านเหล่าจางหน่อย ตามจางฉุนเต๋อและกู่จื้อปินมา ข้ารอพวกเขาที่นี่!!”

พอได้ยินชื่อจางฉุนเต๋อ หม่าซานเปียวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หวังทงอยากหัวเราะก็หัวเราะไม่ออกสำทับไปอีกคำหนึ่ง กำชับไปว่า

“อย่าเอาแต่เฝ้าอยู่ที่นั่น รีบไปรีบกลับ!”

ผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าหม่าซานเปียวกับลูกสาวจางฉุนเต๋อนั้นนับวันยิ่งสนิทสนมกัน ไม่มีอะไรหม่าซานเปียวยังไปที่นั่น กล่าวเช่นนี้ หม่าซานเปียวก็ได้แต่หน้าแดง ประสานมือคำนับ ก่อนจะรีบก้าวเท้ายาวออกไป ทุกคนในห้องต่างส่งเสียงหัวเราะตามหลังดังลั่น

มองหม่าซานเปียวออกไป ถานเจียงก็ยิ้มกล่าวว่า

“พี่หม่า แม่ของซานเปียวเลือกวันไว้แล้ว บอกว่าเดือนสามปีหน้าจะแต่งลูกสาวตระกูลจางเข้าบ้าน ซานเปียวจะใจร้อนอะไรกัน!”

“ชายหญิงนั้นไม่ควรใกล้ชิด ลูกสาวตระกูลจางยังไม่ออกเรือน เขาไปที่นั่นทุกวันได้อย่างไร คนข้างนอกนินทาไม่รู้เท่าไร เจ้าต้องเตือนเขาไว้หน่อย”

“ใต้เท้าหวัง ท่านถาน พวกท่านไม่รู้อะไร อวี้จูเด็กที่ซานเปียวเอาใจ ตอนแรกเด็กนั่นยังกลัวหม่าซานเปียวจะตาย แต่พออุ้มทั้งวัน ไม่ให้ลูกอมก็ให้ของเล่น เด็กก็เลยเริ่มสนิทด้วย ไม่มีธุระอะไรก็จะไปรับมาเล่น ซ้อหม่าก็ชอบมาก”

ไช่หนานกล่าวขึ้น เขาเป็นขันที หากคนในจวนหวังทงก็ไม่ได้กลัวเกรงอะไร ตอนแรกนางหม่ารู้สึกว่าไช่หนานอายุยังน้อยต้องมาอยู่เทียนจินโดดเดี่ยวเดียวดาย จึงได้ตัดเสื้อให้สองสามชุด เรียกมากินข้าวที่บ้านเรื่อย ไช่หนานจึงสนิทกับครอบครัวนางหม่ามาก

ทุกคนหัวเราะดังลั่น หยางซือเฉินอึ้งไปอยู่บ้าง ที่นี่หวังทงมีอำนาจตัดสิน ไช่หนานเป็นนายกองที่มาจากในวัง ถานเจียงก็มีท่าทางหนักแน่นน่าเคารพ ทุกคนต่างมีตำแหน่งไม่น้อย แม้สถานะต่างกัน แต่มักจะทำตัวเหมือนเช่นยามนี้ ก็คือทุกคนพูดคุยเฮฮาเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน

กลุ่มองค์กรเช่นนี้มีบรรยากาศเช่นนี้หรือ? หยางซือเฉินมักรู้สึกว่าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แต่ก็อยากเข้าไปอยู่ในกลุ่มด้วย

กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะตบหน้าผากกล่าวว่า

“ถานเจียงลูกเจ้าปีนี้อายุ 11 แล้วสินะ?”

ถานเจียงอึ้งไป ตามมาด้วยการตอบรับ พวกถานเจียง 17 คน 12 คนแต่งงานมีลูกกันหมดแล้ว เขาอายุก็ไม่น้อยแล้ว แต่ออกศึกเหนือใต้มา ต้องรอจนถานกวนปักหลักที่เมืองจี้โจวจึงได้แต่งงาน

“จำไว้ว่าลูกเจ้าบอกว่าไม่อยากฝึกยุทธ์ เอาแต่อ่านตำราในห้อง ชาวองครักษ์เสื้อแพรเรามีครอบครัวมีลูกไม่น้อย ก็อย่าปล่อยไปไหนไกลดีกว่า ต้องรวมตัวกันไว้ เรื่องเรียนก็ให้นายกองไช่และท่านหยางไปสอน ฝึกยุทธ์ก็ยิ่งไม่ขาดครูฝึก พวกเราให้อาหารและที่อยู่ทั้งหมด ไม่ต้องออกแม้แต่แดงเดียว ท่านหยาง เรื่องนี้มอบให้ท่านไปจัดการ เงินทองอะไรก็ตามสะดวก หลังเทศกาลบัวลอยก็เปิดเรียนได้”

หยางซือเฉินรีบรับคำ กำลังจะจดลงไป หวังทงลังเลครู่หนึ่งก็กล่าวว่า

“หังต้าเฉียวกลุ่มนั้น ยังมีพวกทหารเก่าที่เราไม่รับกลับเข้ามา พวกที่ใช้แรงงานที่แม่น้ำทะเลทางนั้น พวกเขาเองก็มีลูกหากยอมมาเรียนก็รับไว้ให้หมด”

หยางซือเฉินรีบรับคำอีกครั้ง สิ่งที่ไช่หนานควรกล่าวก็กล่าวจบแล้ว จึงได้ลุกขึ้นขอตัวไปทำงานที่ห้องข้างๆ ต่อ เรียกจางซื่อเฉียงกับซุนต้าไห่เข้ามาต่อ พอเข้ามาถึงก็กล่าวกับจางซื่อเฉียงว่า

“เงินค่าป้ายสงบสุขเดือนสิบสองไม่ต้องเหลือไว้ที่เราแม้แต่ส่วนเดียว ส่งเข้าเมืองหลวงให้หมด เป็นของกำนัลเฝิงกงกงและจางกงกง แบ่งอีกส่วนให้เป็นของกำนัลพวกที่สำนักรักษาความสงบที่เมืองหลวงด้วย ไปจัดการได้เลย บัญชีรายรับรายจ่ายปีนี้ต้องจัดการให้เรียบร้อย ปลายปีจะส่งเข้าเมืองหลวง”

“ใต้เท้า บัญชีนี่ให้ตรวจสอบไปถึงเมื่อไร?”

“ตรวจสอบถึงวันที่ 15 เดือนสิบสอง อย่าได้เกิดข้อผิดพลาด และก็ห้ามทำเท็จ บัญชีส่งเข้าวัง เกรงว่าผู้ดูแลการเงินของสิบสองสำนักขันทีก็คงมาตรวจสอบ วันหน้ายังต้องมาตรวจสอบกับพวกเราที่นี่ว่าตรงกันไหมอีกด้วย”

จางซื่อเฉียงรับคำสีหน้าจริงจัง กิจการต่างๆ ของหวังทง ไม่ว่าการทหารและการค้า บัญชีต้องตรวจสอบให้ถูกต้อง ไม่ใช่เรื่องเล็ก ทำตอนนี้ก็สายไปสักหน่อย จางซื่อเฉียงรับคำสั่งหันหน้าออกไปจัดการทันที

ในห้องเหลือแค่สี่คน หยางซือเฉินลังเลครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“ใต้เท้า ข้าเห็นเอกสารที่มาจากเมืองหลวง ตอนนี้ฝ่าบาททรงใกล้ชิดกับซุนกงกงมาก ปีนี้เราส่งไปแค่เงินก้อนกับบัญชี แม้ว่าจงรักภักดี แต่ก็ไม่แน่ว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นความสำคัญ อาจไม่ทรงรู้สึกอะไรนัก ข้าน้อยมีความเห็นด้อยปัญญาอันหนึ่งว่า เรือตะวันตกเข้าเทียบท่าที่เทียนจินมีของเล่นตะวันตกที่หาได้ยากไม่น้อย ไม่สู้เลือกสักชุดหนึ่งส่งไป…”

กล่าวยังไม่ทันจบ หวังทงก็หัวเราะดังลั่น ยิ้มกล่าวว่า

“ของเล่นพวกนี้ย่อมทำให้ฝ่าบาทพอพระทัย แต่ไทเฮาและท่านจางเห็นแล้วจะคิดเช่นไร เรื่องนี้อย่าได้เอ่ยถึงอีก”

หยางซือเฉินรู้สึกกังวล ก้มตัวลงกล่าวว่า

“ใต้เท้า ทางฮ่องเต้…”

หวังทงไม่รับคำ กลับยิ้มหันไปบอกซุนต้าไห่ว่า

“บ่ายนี้อย่าลืมบอกหลี่หู่โถว ของขวัญส่งไปเมืองหลวงครานี้ให้เขาคุมไป เขาต้องเอาของขวัญไปมอบให้ทุกคนด้วยตนเอง”

ซุนต้าไห่ก้มกายรับคำสั่ง หยางซือเฉินยังคงยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น คิดไปคิดมาก็หัวเราะขึ้น หันไปคำนับหวังทงกล่าวว่า

“ใต้เท้าคิดการณ์รอบคอบ ข้านับถือ”

หวังทงโบกมือ แสดงเป็นนัยยะให้เขานั่งลง จากนั้นก็กล่าวกับซุนต้าไห่ต่อว่า

“ร้านค้าในเมืองนอกเมืองก็ใกล้จะฉลองปีใหม่กันแล้ว เจ้านำคนไปพร้อมกับเถ้าแก่ร้านค้าเราสองร้าน ไปตรวจสินค้าร้านค้าเหล่านั้นสักรอบ หากมีสินค้านอกด่าน ให้ดูราคา สินค้าอะไร นำเข้าจากไหน ต้องสอบให้ละเอียด จดให้หมด ต้องตรวจทั้งในและนอกเมือง”

ซุนต้าไห่รับคำ หวังทงยังกล่าวไม่จบ

“นอกเมืองเทียนจินและในเมืองตรวจแล้ว เจ้าไปเมืองหลวงสักครา คุมการนำของขวัญไปกับหลี่หู่โถว จากนั้นไปหาสำนักรักษาความสงบพาไปตรวจสินค้าจากนอกด่านในเมืองให้ด้วย”

ขณะสั่งการอยู่นั้น หยางซือเฉินก็จดบันทึกอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างต้องจดไว้เป็นตัวอย่าง เรื่องนี้ก็เป็นคำสั่งของหวังทง ทุกคืนหวังทงจะอ่านรอบหนี่ง

พอซุนต้าไห่ออกไป กู่จื้อปินกับจางฉุนเต๋อก็เดินเข้ามา สองคนมีท่าทางต่างไปจากที่หวังทงเคยเจอครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง กู่จื้อปินเดิมเป็นคหบดี ไม่เคยได้พบอุปสรรคใด ได้พบกับหวังทงที่เทียนจินอีกครา กิจการก็ยิ่งก้าวหน้ารุ่งเรือง อาศัยหวังทงคอยหนุน คนที่เทียนจินยังต้องให้ความเกรงใจสามส่วน เวลานี้รัศมีน่าเกรงขามมากขึ้น

จางฉุนเต๋อจากที่เมื่อก่อนตกอยู่ในภาวะขวัญหนีดีฝ่อมาถึงตอนนี้เป็นพ่อค้าใหญ่เทียนจินในเวลาไม่ถึงปี ความน่าเวทนาในตอนนั้นบัดนี้ได้มลายหายไปสิ้น ล้วนเป็นท่าทีแบบพ่อค้าใหญ่ผู้มั่งคั่ง

หากทั้งคู่ยังคงรู้ดีว่าตนเองเปลี่ยนแปลงได้มาถึงวันนี้เป็นเพราะผู้ใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ากรค้าของพวกเขามีหวังทงเป็นหุ้นใหญ่อีกด้วย

พอก้าวเข้าประตูมาอย่างไรก็ต้องโขกศีรษะคำนับ หวังทงนั่งอยู่บนเก้าอี้มองแผ่นหลังเขาสองคน ไม่เห็นเงาหม่าซานเปียว อดที่จะยิ้มสบถด่าออกมาไม่ได้ จากนั้นหันไปกล่าวออกไปตรงๆ ไม่อ้อมค้อมว่า

“เจ้าสองคนส่งคนที่มีความสามารถมาครึ่งหนึ่งให้ไปตั้งร้านใหม่ ค่าใช้จ่ายข้าออกเอง หุ้นส่วนมีข้าเจ็ด กู่จื้อปินสอง จางฉุนเต๋อหนึ่ง ต้องเร็ว เดือนหนึ่งก็ต้องจัดตั้งให้เสร็จ ที่ริมแม่น้ำทะเลข้ามีร้านหนึ่งเก็บไว้ให้พวกเจ้าแล้ว”

สองคนโขกศีรษะ สองร้านค้านี้เรียกได้ว่าเป็นร้านใหญ่ในเทียนจิน ในร้านมีทั้งคนดูแลร้าน เจ้าพนักงานบัญชีและลูกจ้างที่ใช้งานอยู่ไม่น้อย หากจะดึงคนไปครึ่งหนึ่ง การค้ายังไม่รู้ว่าจะขาดทุนเท่าไร แต่ทั้งสองก็รับคำอย่างไม่เกี่ยงงอน

พวกเขาเข้าใจดีว่า ไม่ว่าธุรกิจหวังทงต้องการทำอะไร การที่ให้พวกเขาสองส่วนและหนึ่งส่วนนี้ก็น่าจะเป็นการค้าที่กำไรกว่าเมื่อก่อน นี่ไม่ใช่ขอร้องพวกเขา แต่กำลังมอบเงินให้พวกเขาต่างหาก

“ส่วนการแบ่งหุ้นนั้น อีกสองสามวันจะมีเอกสารให้ลงนามประทับตรา แต่อย่ากล่าวออกไป ผู้ใดถามก็บอกว่าเจ้าสองคนร่วมมือกัน”

“ได้ยินการจัดการของใต้เท้าหวังแล้ว ข้าน้อยขอถามเรื่องหนึ่ง ร้านนี้ชื่อร้านอะไร ก่อนจะแขวนป้ายร้านก็ต้องไปสั่งทำก่อน”

หวังทงลุกขึ้นยืนเดินไปสองสามก้าวก็หันมายิ้มกล่าวว่า

“ตามหลักอยู่ริมทะเล ชื่อว่า ‘สี่สมุทร’ ก็ไม่เลว แต่ใช้กันทั่วละ เรียกว่า ‘สามธารา’ ละกัน ‘ร้านสามธารา’ ชื่อนี้ฟังแล้วดูดี”

สองคนรีบรับคำ เขาสองคนไม่อยู่ในฐานะที่จะกล่าวอันใดได้ หวังทงสั่งการจบ สองคนก็กลับไป

ไม่สนใจว่าในห้องยังมีคน หวังทงถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น กล่าวพึมพำกับตนเองว่า

“ผูกขาดสินค้าแดนใต้สินค้าตะวันตกไม่ได้ เช่นนี้ก็ผูกขาดสินค้านอกด่านก็แล้วกัน”

*************

ห้องทรงอักษรของวังหลวงในเมืองหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังอ่านเอกสารที่คณะเสนาบดีใหญ่ทูลเกล้ามาอย่างไม่กระตือรือร้นนัก ยังมีเสียงบ่นอีกว่า

“ส่วนใหญ่เป็นรายชื่อท่านจางเสนอ เฝิงต้าปั้นดูแล้ว เสด็จแม่เห็นชอบแล้ว สำนักส่วนพระองค์อนุมัติแล้ว เราดูไปจะมีประโยชน์อันใดอีก?”

จางเฉิงที่อยู่หน้าที่ประทับส่ายหน้า กำลังจะทูลก็ได้ยินเสียงรายงานดังมาจากข้างนอกว่า

“ทูลฝ่าบาท หลินซู่ลู่จากสำนักอาชาหลวงมา”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version