ตอนที่ 341 เรื่องย่อมเกิดจากเหตุ คนโปรดคนใหม่ในวัง
ได้ยินชื่อหลินซูลู่จากสำนักอาชาหลวง จางเฉิงก็ขมวดคิ้ว หลินซูลู่ผู้นี้ทำเอาในวังวุ่นวายกันไปหมด มาห้องทรงอักษรทำไมกัน
ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนทรงรู้ว่าจางเฉิงสงสัยเหมือนกันก็หันไปตรัสว่า
“จางปั้นปั้น เราเรียกตัวมาเอง”
ได้ยินฮ่องเต้น้อยกล่าวเช่นนี้ จางเฉิงก็มีสีหน้าสงบลง ค่อยๆ ยอบกายลง ประกาศเสียงดังว่า
“ฝ่าบาทรับสั่งให้หลินซูลู่เข้าเฝ้า!!”
เจ้าจินเลี่ยงด้านนอกผลักประตูเปิดออก หลินซูลู่รีบก้าวเข้ามาหน้าโต๊ะทรงอักษร คุกเข่าถวายคำนับ ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสด้วยสุรเสียงนุ่มนวลว่า
“หลินซูลู่ปฏิบัติหน้าที่นับว่าลำบากท่านแล้ว ลุกขึ้นพูดได้”
ขอบพระทัยเสร็จ หลินซูลู่ก็ยืนขึ้นทิ้งมือลงแนบกาย ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงเงยพระพักตร์ แต่ทรงหยิบฎีกาหนึ่งขึ้นมาทอดพระเนตร ตรัสว่า
“ตอนนี้สำนักอาชาหลวงกำลังตรวจสอบเรื่ออาวุธเสื้อเกราะกับการก่อสร้างค่ายในหลายปีที่ผ่านมานี้ใช่ไหม!?”
“ทูลฝ่าบาท ปลายปีตรวจสอบบัญชี สำนักอาชาหลวงต้องให้ห้องบัญชีตรวจว่ามีรั่วไหลที่ใด สิ้นเปลืองตรงไหนและตรวจสอบของว่าตรงตามจำนวนหรือไม่ กระหม่อมจึงได้สั่งให้คนไปตรวจสอบ ปลายปีคิดบัญชี หากไม่ชัดเจนก็ไม่อาจรายงานเบื้องบนได้”
“อ่อ สำนักอาชาหลวงมีคนทำงานมาสามสิบปี คนทำงานผลัดเปลี่ยนกันเร็วมาก ระหว่างนี้ไม่รู้ว่าผ่านมือเจ้าหน้าที่มากี่คน ในนี้ย่อมมีบ้างที่ผิดพลาดไป”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสตอบสุรเสียงเรียบเฉย หลินซูลู่แอบลอบเงยหน้ามองฮ่องเต้ และมองจางเฉิงข้างกายฮ่องเต้ ก่อนตอบไปอย่างนอบน้อมว่า
“ทรงพระปรีชายิ่งแล้ว สำนักอาชาหลวงทุกกองทุกค่าย มีคนถือโอกาสกำลังวุ่นวายกับการผลัดเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ หาช่องเก็บเกี่ยวเข้าตัว ไม่รู้ว่าเสียหายไปเท่าไร ทำลายกฎที่ตั้งไว้แต่โบราณ ทำลายสมรรถนะของกองกำลังสำนักอาชาหลวง…”
“เหล่าหลิน พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่อย่างตั้งใจ เรารู้ดี แต่งานในราชสำนัก นอกจากตั้งใจแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความปรองดองด้วยไม่ใช่หรือ? เจ้าเข้ามาตรวจสอบสำนักอาชาหลวงถึงสามครา ตอนนี้ทำให้ทุกคนต่างหวาดระแวง เริ่มเตรียมระวังกันขึ้น ไยต้องทำให้เป็นเรื่องเช่นนี้ด้วย ผ่านแล้วก็ผ่านไป ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว”
ตรัสอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็เข้าประเด็น จางเฉิงเงยหน้าขึ้นหรี่ตามองด้านข้างก่อนจะเสมองไปด้านหน้า จากนั้นก็ก้มหน้าต่อ
หลินซูลู่หางตากระตุก ตามมาด้วยยอบกายถวายคำนับอย่างนอบน้อมทูลว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา สั่งสอนได้ถูกต้อง กระหม่อมจะปิดบัญชีทางนั้นทันที ปีหน้าเริ่มใหม่ กระหม่อมปฏิบัติหน้าที่ใจร้อนไปหน่อย ไม่ทันคิดถึงเรื่องความปรองดอง ขอทรงโปรดอภัย”
ว่านลี่เงยพระพักตร์ขึ้นแย้มสรวลตรัสว่า
“เราเรียกตัวเจ้ามากำชับเท่านั้น ไม่ได้ว่าเจ้าทำอะไรผิด วันหน้าตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ ไทเฮากับเราล้วนรู้ดี ไปได้แล้ว”
หลินซูลู่โขกศีรษะอีกครั้งก่อนจะถอยออกจากห้องทรงอักษรไป
ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มพระพักตร์อ่านฎีกาต่อ ไม่นานก็กลับมามีท่าทีเบื่อหน่ายเหมือนเดิม จางเฉิงข้างๆ ได้แต่นิ่งเงียบ
************
หลินซูลู่ออกจากห้องทรงอักษรมา ก็เดินไปตามทางด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ขันทีน้อยที่ผ่านไปมาทักทาย เขาก็ทักทายตอบอย่างนุ่มนวล
หลินซูลู่ตอนนี้สัมพันธ์กับคนอื่นในวังไม่เลวนัก แม้ว่าเขาปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวด แต่คนที่เสียประโยชน์ก็เป็นแค่มหาขันทีใหญ่ เขาปฏิบัติตัวกับขันทีผู้น้อยอย่างนุ่มนวล บางทีคนระดับล่างเผชิญปัญหาใดมาขอร้องหลินซูลู่ หากช่วยได้ก็จะช่วยเต็มที่
เทียบกับคนตำแหน่งสูงอย่างเฝิงเป่าและจางเฉิงที่ปกติยากจะพบเจอแล้ว หลินซูลู่ที่อ่อนโยนย่อมสร้างความประทับใจให้คนในวังมากกว่า
เดินมาตามทางถึงห้องพักตน ขันทีหลายคนออกมารอรับ รีบหยิบเตาไฟถ่านร้อนเข้าไปวางในห้องโถง หลินซูลู่ยกมือไปพิงไฟครู่หนึ่ง ก็เงียบไปก่อนจะเอ่ยว่า
“ไม่ต้องตรวจบัญชีแล้ว ตามคนที่ส่งไปยังคลังแต่ละแห่งกลับมาให้หมด”
หลายคนข้างๆ อึ้งไป หนึ่งในนั้นใจกล้าเอ่ยถามขึ้น หลินซูลู่กล่าวน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ใกล้ปีใหม่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานกันหนักมากเช่นนี้ กลับมาเตรียมงานฉลอง…”
*************
ใกล้วันที่ 20 เดือนสิบสอง ยุ่งกับงานมาจึงตอนนี้ เรื่องราวก็จัดการได้พอสมควรแล้ว ยามนี้สำนักส่วนพระองค์ไม่ได้ยุ่งเท่ากับสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์
สำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ต้องเตรียมของใช้หลายอย่างไว้ฉลองปีใหม่ในวัง ทุกวันออกไปซื้อหาสินค้านอกวังมากมาย เงินทองไหลทิ้งราวกับสายน้ำ เทียบกับเมื่อก่อนแล้วช่วงนี้เป็นช่วงใช้เงินมากที่สุด ปีนี้หวังทงส่งเงินก้อนจินฮวาเข้าวังมาเกือบเจ็ดแสนตำลึง มีเงินใช้มากมาย ย่อมกล้าใช้กล้าจ่ายกันอย่างสบาย
เฝิงเป่านอกจากเป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์แล้ว ยังเป็นหัวหน้าสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์อีกด้วย ตอนนี้กำลังยุ่งกับงานฉลองปีใหม่ เวลาที่สำนักส่วนพระองค์ก็น้อยลง จางเฉิงเป็นคนสนิทฮ่องเต้ กลางวันหลายครั้งต้องตามเสด็จ ไม่มีเวลามาสำนักส่วนพระองค์เช่นกัน
พอดีว่าหนึ่งเป็นหัวหน้า หนึ่งเป็นรองหัวหน้า เรื่องราวใหญ่น้อยในสำนักส่วนพระองค์ล้วนต้องให้ทั้งสองตัดสินใจ นี่ยังเป็นงานที่ไม่อาจรอช้าได้ ดังนั้นทั้งสองคนในเดือนสิบสองนี้อยู่ที่สำนักส่วนพระองค์ส่วนใหญ่เป็นเวลากลางคืนมากกว่า
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนได้!”
มองเห็นท้องฟ้าด้านนอกมืดแล้ว จางเฉิงวางฎีกาฉบับหนึ่งลงกล่าวขึ้น จางหงกับขันทีในห้องทรงอักษรต่างลุกขึ้นยืน ตอบอย่างนอบน้อมว่า
“จางกงกงก็ลำบากเช่นกัน พวกเราขอตัวกลับก่อน”
ทุกคนต่างรู้ดี เฝิงเป่าอยู่ในห้อง จางเฉิงกล่าวเช่นนี้ก็เพราะมีเรื่องคุยกันสองคน ยามนี้จางเฉิงเอ่ยเช่นนี้เพื่ออะไร
รอจนทุกคนออกไป จางเฉิงก็ยื่นฎีกาสองสามฉบับในมือให้ขันทีน้อยไปก่อนจะกล่าวว่า
“พวกเจ้าก็ออกไปให้หมด ปิดประตู ไม่มีคำสั่งห้ามเข้ามา”
คนในห้องออกไปกันหมด จางเฉิงจัดเอกสารและฎีกาที่กระจัดกระจายบนโต๊ะให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าไปส่วนกั้นห้องของเฝิงเป่า
ในห้องแขวนตะเกียงไว้สี่ดวง ในนั้นเป็นเทียนเล่มใหญ่ที่สว่างมาก เฝิงเป่ากำลังหยิบฎีกาขึ้นมา พอได้ยินจางเฉิงเข้ามา ก็เงยหน้าถามว่า
“เมืองต้าถงกับอวี้หลินที่มณฑลส่านซีร่ำร้องว่าจนอีกแล้ว พวกเขาคิดว่าวังหลวงเรานี่เซ่อตาบอดหรือไงกัน? หรือเราไม่รู้ว่พวกเขาทุกปีทำการค้ากับพวกนอกด่านมองโกลนั่นหรือไง ไรกันจนเต็มบ่อ จางเฉิง ให้กรมทหารกับหรมอาการมีสารตักเตือนไป หากไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยมีราชโองการตำหนิไป”
จางเฉิงคำนับรับคำ ในใจไม่คิดเช่นนี้ ต้าถงกับอวี้หลินมีขันทีคนสนิทของเฝิงเป่าไปประจำการอยู่ สองเมืองนี้เงินทองมากมาย คนที่ส่งไปเกรงว่าคงทำเงินกันได้มาไม่น้อย แค่ตักเตือนจะไม่มีประโยชน์อันใด
คิดส่วนคิด พูดออกมานั้นเป็นอีกเรื่อง จางเฉิงยิ้มกล่าวว่า
“เฝิงกงกงไยต้องเสียอารมณ์กับเรื่องพวกนี้ พวกเขาร้องว่าขาดเงินก็มิใช่ว่าเริ่มมาจากวันนี้”
“เฝิงกงกง นี่เป็นสิ่งที่โจวอี้ตรวจพบเมื่อตอนบ่าย ครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจางจิงจริงๆ”
“โจวอี้เป็นเด็กดี มีความสามารถ รอให้พ้นปีนี้ดูว่ามีตำแหน่งอะไรจัดสรรให้ได้หรือไม่ อย่าปล่อยให้เขาหมดกำลังใจ”
จางเฉิงยิ้มขอบคุณ เฝิงเป่าอ่านฎีกาต่อ จางเฉิงอธิบายต่อว่า
“แม้ว่าซุนไห่จะเป็นผู้ช่วยหัวหน้าสำนักอาชาหลวง มีผู้บังคับบัญชาอีกชั้น แต่ก็เป็นคนของไทเฮาเหรินเซิ่ง ไทเฮาฉือเซิ่งทรงรับสั่งมาว่า ไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้ ซุนไห่เล่นหนัก เพราะไม่ยำเกรงสิ่งใด ไม่ว่าในกองทัพหรือค่ายทหาร ยังมีพระตำหนักต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักอาชาหลวงก็ไม่ละเว้น เหล่าหลินลงมือกับโจวอี้ก่อน ดูปฏิกิริยาเบื้องบนเสร็จจึงได้เริ่มมาตรวจสอบซุนไห่ ว่ากันว่าซุนไห่แอบไปขอร้องไทเฮาเหรินเซิ่ง ถูกตำหนิไปยกใหญ่…”
“…จำนวนมากเพียงนี้ มิน่าจึงไม่ยอมวางมือ วิ่งเข้าหาฮ่องเต้…นี่มันเลอะเลือนไปแล้วหรือ?”
เฝิงเป่าอ่านผ่านตาสักพักก็จบ วางฎีกาในมือลงบนโต๊ะ เอ่ยวิจารณ์ขึ้น จางเฉิงได้แต่ยิ้ม หากมิได้รับคำ
“เฝิงกงกง ซุนไห่ตอนนี้ทุกคืนนำเสด็จฝ่าบาทไปยังอุทยานปัจจิม บางครั้งอยู่กันเลยเที่ยงคืน มีหลายวังที่ฝ่าบาทออกว่าราชการทรงมีพระเนตรแดงก่ำ ขณะศึกษากับท่านจางก็ทรงสัปหงก นี่ก็เกินไป ไทเฮาตอนนี้ไม่ทรงใส่พระทัย แต่หากทรงถามถึงคงลำบากกันแน่”
ผ่านไปครู่หนึ่ง จางเฉิงจึงได้กล่าวเช่นนี้ เฝิงเป่าเงียบไป ก่อนจะค่อยๆ กล่าวว่า
“อย่างไรก็เป็นคนไทเฮาเหรินเซิ่ง ซุนไห่ละโมบมากไปสักหน่อย แต่ก็ยังจงรักภักดีต่อไทเฮาฉือเซิ่งและฝ่าบาท กับพวกเราก็ให้เกียรติไม่น้อย แต่การกระทำมากเกินไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดี ข้าจะจัดคนไปจับตาดูไว้สักหน่อย”
“เฝิงกงกงช่างรอบคอบยิ่งนัก”
*************
ก่อนสิ้นปี คนในสำนักอาชาหลวงก็คลายความกังวลลง หลินซูลู่ผู้ผดุงความยุติธรรมไม่ไว้หน้าผู้ใดไม่ไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก และยังกล่าวไว้ชัดเจนว่าผ่านแล้วก็ผ่านเลย
ปีนั้นที่โจวอี้เกิดเรื่อง แม้แต่จางเฉิงกงกงเข้ากราบทูลยังถูกปฏิเสธกลับมา เห็นชัดว่าครานี้จะมีคนพลอยเดือดร้อนไปด้วยไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าฟ้าแลบฟ้าร้องฝนตกนิดเดียวก็ผ่านพ้นไป ข่าวสารแพร่ออกมาอย่างรวดเร็ว ว่ากันว่าซุนไห่กงกงขอร้องฝ่าบาท ฝ่าบาทจึงทรงรับสั่งกับหลินซูลู่
ซุนไห่กงกง ตอนนี้เป็นคนโปรดที่สุดในวังของฮ่องเต้ว่านลี่ ดูแล้วน่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ว่ากันว่าทุกวันตอนเช้าเป็นจางกงกงนำเสด็จออกว่าราชการ แต่ตกบ่ายถึงค่ำกลับเป็นซุนกงกงมาอยู่สนทนา มีเสียงหัวเราะดังอีกด้วย
ขันทีและนางกำนัลในวังล้วนรู้จักเข้าหาอำนาจ ซุนไห่กงกงได้รับพระเมตตา ก็มีคนมากมายเข้าไปเชื่อมสัมพันธ์ แน่นอนว่าพวกนอกวัง ‘ข่าวสารฉับไวแม่นยำ’ พวกนั้นด้วย
หลังวันที่ 20 เดือนสิบสอง ซุนไห่กงกงแห่งสำนักอาชาหลวงก็กลายเป็นบุคคลผู้เป็นที่รู้จักในชั่วพริบตา ยังมีข่าวลือต่อกันไปว่าต้นปีหน้า ซุนไห่กงกงจะเข้าไปสังกัดสำนักส่วนพระองค์
**************
วันที่ 22 เดือนสิบสอง หลี่หู่โถวกับซุนต้าไห่ก็ออกเดินทางจากเมืองเทียนจิน นำขบวนขนเงินมุ่งไปยังเมืองหลวง