Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 344

ตอนที่ 344 ประตูฉงเหวิน คนยากผ่าน

“กลับถึงบ้านแล้ว!!”

ถนนนอกกำแพงเมืองหลวงอยู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น คนเดินผ่านไปมาก็อดมองมาไม่ได้ พอมองเห็นว่าเป็นขุนนางบู๊อายุน้อย ก็ค่อยๆ เสมองไปทางอื่น

“ไยเจ้าตื่นเต้นเช่นนี้ อย่าทำให้ผู้คนตกใจ!”

ชายกำยำร้างเตี้ยที่ขี่ม้าข้างๆ เด็กหนุ่มยิ้มสบถด่าขึ้น เบื้องหลังพวกเขายังมีรถคันใหญ่ตามมาอีกสิบกว่าคัน รถคลุมด้วยผ้ากันฝนรัดด้วยเชือกไว้อย่างแน่นหนาจนมองไม่เห็นว่าบรรทุกสิ่งใดมา

แต่หากคุณมีสายตาแหลมคม ก็ย่อมมองแรงกดทับล้อออก ร่องค่อนข้างลึก รถแต่ละคันเทียมม้าคู่ ทหารที่คุ้มกันรถคันใหญ่ไม่น้อย แต่ยังมีม้าจำนวนมากที่ไม่ได้แบกสิ่งใด เดินตามรถมาเฉยๆ

น่ากลัวว่าจะขนเงินทองมา แต่เห็นกองทหารสองร้อยกว่านายคุมมาด้วยท่าทางองอาจเก่งกล้า ในช่วงเวลาใกล้ปีใหม่เช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าคิดนอกลู่นอกทาง

นี่ย่อมเป็นขบวนของหลี่หู่โถวและซุนต้าไห่ พวกเขาออกเดินทางจากเทียนจิน เร่งเดินทางมาก วันที่ 28 เดือนสิบสองก็มาถึงเมืองหลวงได้

ขบวนขนส่งสามารถใช้เส้นทางที่มีกองพักม้าได้ กองพักม้ารู้ว่าจะส่งของไปเมืองหลวงก็ย่อมเตรียมการอย่างแข็งขันเป็นพิเศษ วันอากาศหนาวเหน็บถนนหนทางแข็งเป็นน้ำแข็งเช่นนี้ รถลากของแม้ว่าหนัก แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะตกหล่มดิน สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกราบรื่น

ออกเดินทางเร่งรีบ เหมือนว่าพอหวังทงสั่งการก็ออกเดินทางทันที พวกทหารที่รู้ทางดีกลับไม่ได้พามาด้วย แต่ทหารที่มาด้วยนั้นก็เป็นพวกมีทักษะ ตลอดเส้นทางก็สะดวกทุกที่

แต่ตอนเข้าเมืองมาก็เกิดเรื่องตลกขึ้น ทิศทางจากเทียนจินมาเมืองหลวง ง่ายที่สุดก็ให้เข้าทางประตูตงจื๋อ แต่ก็มีธรรมเนียมหนึ่งว่า รถขนของต้องเข้าทางประตูฉงเหวิน

หลี่หู่โถวตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ครอบครัวของซุนต้าไห่อยู่เทียนจินหมด เขาจึงไม่ได้คิดถึงบ้านเกิดเท่าไร แต่พอเห็นเมืองหลวงที่คุ้นเคยก็เกิดอารมณ์พรั่งพรูเช่นกัน สองคนอารมณ์ดีโดยปริยาย ย่อมไม่ถือสาพลทหารรักษาประตูเมือง เดินให้มากอีกหน่อยก็แล้วกัน

อีกสองวันก็จะฉลองปีใหม่แล้ว ประตูฉงเหวินมีคนผ่านไปมาพร้อมรถขนของ บรรดาพ่อค้าต่างก็ถือโอกาสนี้ส่งเข้าเข้าเมืองมาขาย

ผู้รับหน้าที่เก็บภาษีที่ประตูฉงเหวินย่อมยุ่งกันหัวปั่น กรมอากรรับหน้าที่เก็บภาษีที่นี่ ส่งเจ้าหน้าที่ระดับนายกองมาจับตาดู

ที่นี่มีค่าน้ำร้อนน้ำชาและเงินทองไหลเวียนไม่น้อย ผู้ใดคว้าได้สักกำมือก็รวยแล้ว ดังนั้นปกติจัดเวรมาเจ็ดวันกะหนึ่ง ตอนนี้เปลี่ยนเวรทุกวัน พวกที่มีสายสัมพันธ์กับกรมอากรก็มาทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานเก็บภาษี หาเงินได้ก้อนหนึ่งก็จะได้ฉลองปีใหม่ดีๆ ได้แล้ว

พวกซุนต้าไห่มาถึงที่นี่เข้าแถวเบียดเสียดมาถึงหน้าประตูเมือง เจ้าพนักงานเก็บภาษีมองเห็นเครื่องแบบทหารของซุนต้าไห่และหลี่หู่โถวก็รู้สึกไม่ชอบใจนัก

ขบวนรถทางการเช่นนี้จะเก็บภาษีอะไรได้ ไม่มีอะไรให้กำไรอีกด้วย แต่พอเข้ามาใกล้แล้วได้เห็นจึงพบว่าเครื่องแบบทหารระดับไม่สูงสักเท่าไร

เด็กชายสวมเครื่องแบบนายกองธงใหญ่ ชายอีกคนใส่ชุดนายกองร้อย แต่งกายแบบองครักษ์เสื้อแพร แต่เป็นองครักษ์เสื้อแพรธรรมดา กองทหารที่อยู่ด้านหลังตามมาอารักขาท่าทางไม่เลว แต่ก็สวมชุดยาวเนื้อผ้าธรรมดา

องครักษ์เสื้อแพรหากไม่ใช่ตำแหน่งนายกองพัน หรือชุดน้ำเงินแบบสำนักบูรพาแล้ว ก็ไม่มีค่าอะไรในเมืองหลวงนี้ จะผ่านประตูฉงเหวินก็ต้องจ่ายเงิน

“สินค้าบนรถคืออะไร?”

พอมาถึงหน้าประตูเมืองมี เจ้าพนักงานเก็บภาษีผู้หนึ่งก็ปรี่เข้ามาถามด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง ตำแหน่งซุนต้าไห่และหลี่หู่โถวสูงกว่าเจ้าพนักงานผู้นี้ ดังนั้นจึงไม่ลงจากหลังม้า พอเห็นสองคนไม่ยอมลงจากหลังม้า เจ้าพนักงานที่เข้ามาถามก็รู้สึกไม่พอใจ

“ของส่งเข้าวัง”

การขนส่งทองคำและก้อนเงิน ด้วยราคาที่สูงค่ามาก ตลอดเส้นทางขนส่งจึงไม่เอ่ยว่าเป็นทองคำและก้อนเงิน แม้แต่ทหารคุ้มกันก็ไม่รู้ ถึงปลายทางจึงจะบอกกล่าว คำตอบหลี่หู่โถวนี้จึงนับว่าเป็นกลางๆ ยิ่งแล้ว

พอได้ยินว่าของส่งเข้าวัง เจ้าพนักงานผู้นั้นก็ตกใจ เงยหน้าหรี่ตามองไปมองมา หลี่หู่โถวเป็นเพียงเด็กน้อย ซุนต้าไห่มองแล้วก็เชยมาก คนเชยๆ กับเด็กน้อยเช่นนี้จะขนของเข้าวังได้อย่างไรกัน จึงได้ถามต่อว่า

“มีเอกสารรับรองไหม?”

หากเป็นคนอื่น คงได้ถูกตบหน้าหันไปแล้ว ของส่งเข้าวังเจ้ากล้าถามได้อย่างไร แต่คนของหวังทงปฏิบัติหน้าที่มีระเบียบวินัย ในเมื่ออีกฝ่ายทำตามระเบียบ เช่นนี้พวกเขาก็ไม่อาจละเมิด

แต่การเพิ่มจำนวนก้อนเงินจินฮวานี้ ตอนนั้นในราชสำนักถกเถียงกันหน้าดำหน้าแกง คณะเสนาบดีใหม่ไม่ยอมรับมาโดยตลอด จึงไม่ออกเอกสารให้ ย่อมไม่มีราชโองการที่จะนำมาอ้างได้

ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากฮ่องเต่ว่านลี่เห็นชอบองค์เดียวแล้ว คนในวังอื่นๆ ก็เก็บท่าที แม้แต่ราชกฤษฎีกาก็ไม่มีมา

หวังทงส่งเงินจำนวนมากเข้าวัง อย่างมากก็มีแค่ขันทีผู้รับผิดชอบออกใบรับเงินเป็นหลักฐาน หากต้องการเอกสารรับรองอะไรนั้นไม่มีจริง ๆ

แต่จะว่าไป ปกติของที่ทหารคุ้มกันมา ด่านภาษีไม่มีสิทธิ์เรียกตรวจ นี่เป็นกฎบัญญัติราชวงศ์หมิง

หลี่หู่โถวและซุนต้าไห่สบตากันบนหลังม้า หันไปถามทหารที่มาด้วยกันก็บอกว่าไม่มี สถานการณ์เช่นนี้ก็ล้วนอยู่ในสายตาของเจ้าพนักงานเก็บภาษี ซุนต้าไห่หันหน้ามากล่าวว่า

“แม้จะไม่มีเอกสาร แต่ของเหล่านี้นายกองพันเราให้นำส่งมา ตามหลักแล้วด่านภาษีไม่อาจเรียกตรวจได้ ขอพี่ชายเปิดทางให้ด้วย ให้พวกเราเข้าไป”

เห็นท่าทางเช่นนี้ เจ้าพนักงานผู้นั้นก็คิดว่าตนเองรู้มากแล้ว จึงได้แค่นยิ้มกล่าวว่า

“ท่านทั้งสอง ประตูฉงเหวินนี้ปีหนึ่งมีสินค้าหลายรายการเข้านอกออกใน หากทุกคนบอกว่าส่งเข้าวังกันหมด ส่งทหารมาคุ้มกัน เช่นนั้นกรมอากรยังจะเก็บภาษีได้อีกหรือ พวกเราตาสว่างมาก หลอกเราไม่ได้หรอก ดูพวกเจ้ากินเบี้ยทางการเหมือนกัน ก็จ่ายเงินเพื่อความสะดวกมา ให้เราได้ตรวจสินค้าแล้วจ่ายภาษีตามธรรมเนียม ไม่เอาเกินหรอก”

นายกองพัน ได้ยินตำแหน่งนี้ ในใจเจ้าพนักงานก็หัวเราะเยาะเย้ย ขุนนางบุ๋นสูงส่งกว่าขุนนางบู๊ เจ้ายังเป็นแค่ขุนนางบู๊นอกเมืองหลวง นำส่งสินค้าเข้ามาเมืองหลวงเปิดเผยเช่นนี้ คิดว่าทางนี้จะปล่อยผ่านไปง่ายๆ งั้นหรือ?

รถใหญ่ตั้งสิบกว่าคัน ภาษีน่าจะได้ไม่น้อย ถึงตอนนี้จะได้แบ่งกันในกรมอากรได้ไม่น้อย แม้นายกองพันคิดจะฟ้องร้อง เขากล้ามีเรื่องกับกรมอากรหรืออย่างไร? เบี้ยหวัดค่ำคออยู่ ปล่อยให้พวกเขาร่ำไห้ให้ตายก็ไม่กล้า

เมื่อคิดถึงตอนนี้ ความกล้าของเจ้าพนักงานภาษีก็มากขึ้น หันไปสั่งการให้ผู้ช่วยขึ้นไปแก้เชือกเพื่อตรวจสินค้า

ที่บอกว่าไม่เอาเกินนั้น ก็คือเก็บตามธรรมเนียมราชวงศ์หมิงกำหนด แล้วบวกอีกสามส่วน นับว่าเป็นธรรมเนียมของด่านที่ประตูฉงเหวิน ทุกคนต่างรู้ดี ที่ด่านภาษีมีคนทั้งหมดแค่สิบห้าคน ทุกคนยุ่งกันหัวหมุน ดังนั้นจึงต้องหาผู้ช่วยมาเพิ่มอีก 10 -20 คน ล้วนเป็นคนเมืองหลวง เป็นพวกเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว

ผู้ช่วยเหล่านี้รู้ดีที่สุด ย่อมไม่เห็นองครักษ์เสื้อแพรเชยๆ พวกนี้ในสายตา กลับรู้สึกว่าได้ตรวจสอบขององครักษ์เสื้อแพรหน้าประตูเมืองที่มีผู้คนไปมาขวักไขว่นี้เป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ไม่น้อย

กำลังจะเข้าไปตรวจ พลทหารคุ้มกันรถก็ยกทวนยาวชี้พุ่งมา เห็นอีกฝ่ายท่าทางเอาเรื่อง ผู้ช่วยต่างก็ตกใจส่งเสียงเอะอะ หันหลังวิ่งกลับ

“ท่านทั้งสอง ด้านหลังมีคนมากมายรออยู่ อย่าละเมิดกฎระ…”

กล่าวได้ครึ่งเดียว ก็ชะงักไป ปากค้างหุบไม่ลง ทวนยาวแหลมคมแวววับจ่อมาที่ใบหน้า ห่างไม่ถึงสามนิ้ว ไม่รู้หลี่หู่โถวดึงทวนออกมาจากหลังม้าตอนไหน ยกทวนยาวด้วยมือเดียวจ่อมาเบื้องหน้าเขา

“เจ้าบัดซบ ของบนรถให้เจ้าตรวจได้หรือ เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถแทงเจ้าตายได้ด้วยเพลงทวนกระบวนเดียว”

รอบข้างได้แต่ตกใจค้าง เจ้าพนักงานผู้นั้นหน้าซีดเผือด ร่างสั่นราวกับกระจาดฝัดข้าว ซุนต้าไห่มองไปรอบๆ ขมวดคิ้วกล่าวว่า

“หู่โถว นี่เมืองหลวง นิ่งไว้”

หลี่หู่โถวจึงได้ร้องฮึดฮัดก่อนจะชักทวนกลับ พอเห็นคมทวนหายไปจากเบื้องหน้า เจ้าพนักงานผู้นั้นก็ได้สติคืนมา ตัวสั่นถอยหลังไปสองก้าว สองขาอ่อนแรงล้มลงนั่งแปะกับพื้น

มีผู้คนจำนวนมากมุงดู พอเห็นท่าทางน่าอนาถของเจ้าพนักงานผู้นั้น ก็คิดถึงว่าคนผู้นี้เมื่อครู่ยังเชิดหน้าชูตาอวดเบ่งใส่ทุกคนอยู่ ทุกคนจึงต่างรู้สึกสะใจ มีคนอดไม่ได้ส่งเสียงหัวเราะเยาะขึ้น

คนหนึ่งหัวเราะเยาะ คนอื่น ๆ ก็หัวเราะตาม หน้าประตูฉงเหวินจึงเหมือนว่าครึกครื้นกว่าปกติ

เจ้าพนักงานภาษีตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาพลันได้ยินรอบข้างหัวเราะเยาะ รู้สึกขายหน้ามาก จึงกัดฟันมองไปยังหลี่หู่โถวบนหลังม้า ถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะด่าทออย่างดุร้ายว่า

“นี่คือเมืองหลวง ใกล้พระเนตรพระกรรณ เจ้าละเมิดกฎระเบียบ ไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองในสายตา คิดว่าไม่มีใครจัดการเจ้าได้งั้นหรือ เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา พวกเจ้าจะต้องหัวหลุด…”

พอเห็นใบหน้าเย็นชาของหลี่หู่โถวที่ชักม้าย่างเข้ามา เจ้าพนักงานผู้นั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าประตูเมืองไป ทุกคนได้แต่หัวเราะไล่หลัง

ภาพนี้ช่างทำให้หลายคนทำหน้าไม่ถูก ซุนต้าไห่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหันไปสั่งการกองคาราวานให้เดินหน้าต่อ

ใครจะคิดว่าพอรถใหญ่เคลื่อน ฝูงชนที่แออัดอยู่ด้านหน้าก็กระจายตัวเปิดทางให้ มองอีกที เป็นทหารศาลอาญาใหญ่รีบวิ่งมาเรียงแถวหน้ากระดาน บนกำแพงเมืองก็เหมือนมีการเคลื่อนไหว

ประตูเมืองหลวงแต่ละแห่งล้วนมีทหารรักษาการณ์ มีเหตุก็ออกมาปฏิบัติหน้าที่ได้ทันที เพียงแต่หลี่หู่โถวและซุนต้าไห่คิดไม่ถึงว่า แค่ข้อพิพาทเรื่องการจัดเก็บภาษี พวกเขาถึงกับเคลื่อนกองกำลังรักษาเมืองออกมาเลยหรือ

ผู้คนบนท้องถนนต่างแหวกทางให้ ทหารคุ้มกันรถจับอาวุธขึ้นมาเตรียมพร้อม สองฝ่ายประจันหน้ากัน ชายวัยกลางคนสวมชุดขุนนางระดับหกสีหน้าเย็นชาเดินออกมา ชี้ไปที่หลี่หู่โถวพลางตวาดดังว่า

“พวกเจ้ากล้าข่มขู่เจ้าพนักงานราชสำนักในเขตเมืองหลวง ไม่รับการตรวจสอบภาษี หรือว่าคิดก่อการร้าย ยังไม่ทิ้งอาวุธ ยอมรับผิดอีก!”

*************

ทหารจากศาลอาญาใหญ่ออกมาเรียงหน้ากระดานประจำการที่นี่มานานปี มีคนหนึ่งเห็นความไม่ปกติ จึงกระซิบหัวหน้ากองว่า

“หัวหน้า นี่มันขบวนรถจากเทียนจินที่ส่งเงินเข้าวังไม่ใช่หรือ?”

พอได้ยินเสียง หัวหน้ากองก็เบิกตาโต หากไม่ทันได้ตอบอะไร ก็ได้ยินเสียงม้าร้องดังมา มีกองทัพม้าควบมาทางนี้อย่างเร็ว

คนบนม้าสวมชุดดำ พวกที่มุงดูก็พากันแปลกใจ คนเมืองหลวงฉับไวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version