Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 363

ตอนที่ 363 คนของข้าไม่อาจถูกรังแก

ในบรรดาคนของหวังทง จางซื่อเฉียงรับผิดชอบงานที่เป็นความลับหลายอย่าง รู้มากกว่าคนอื่นหลายเรื่อง เรื่องหน่วยงานต่างๆ ประสานกำลังกันมาตรวจสอบ เขาก็ย่อมรู้

จางซื่อเฉียงย่อมรู้ดีว่าการตั้งด่านภาษีเป็นหนึ่งในต้นตอที่นำปัญหาเดือดร้อนมา เดิมพวกองครักษ์เสื้อแพรอยู่ในเมืองก็เกรียงไกรพอตัว ไม่มีผู้ใดกล้ามาหาเรื่อง แต่วันนี้มีผู้มาหาเรื่องถึงที่ ย่อมมีคนหนุนเบื้องหลัง

หากตนใช้ไม้แข็งไป ไม่รู้ว่าทำให้หวังทงเดือดร้อนหรือไม่ จางซื่อเฉียงมักจะคิดถึงหวังทงเป็นอันดับแรก จงรักภักดีอย่างที่สุด จิตใจล้วนเพื่อประโยชน์ของหวังทง ปกป้องหวังทง การที่คิดมากเช่นนี้ กอปรกับนิสัยอ่อนข้อ ตอนนี้ก็ย่อมไม่กล้าลงมือ หากตื่นตระหนกลนลานแทน

เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ฝ่ายหนึ่งอ่อนข้อ อีกฝ่ายย่อมแข็งกร้าว นายกองตรวจการและขันทีสำนักเสบียงที่มารับตำแหน่งแทนฟานต๋าและว่านเต้าพอเห็นคนของจางซื่อเฉียงเป็นเช่นนี้ ก็ย่อมฮึกเหิมยิ่งขึ้น

พวกเจ้าหน้าที่เก็บภาษีบนคลองส่งน้ำล้วนเป็นคนเก่าแก่เดิมที่เคยเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่เทียนจินมา ทำการใดก็ระมัดระวังรอบคอบ เงินภาษีที่เก็บมาไม่กล้าคดโกง รู้ความกันดี ใช้งานได้อย่างวางใจ

พวกปกติทำงานรอบคอบใช่ว่าไม่ดี แต่ยามสถานการณ์คับขันก็ไม่อาจช่วยอะไรได้เลยจริงๆ

นอกจากนี้ยังมีความคิดแปลกประหลาด อย่าเห็นว่ายอมหวังทงทุกอย่าง แต่ในใจทุกคนก็ไม่แน่ใจนัก หวังทงเป็นแค่นายกองพัน แต่สิ่งที่ทำไปนั้นแม้แต่ระดับอ๋องก็ไม่แน่ว่าจะกล้าทำ อยู่ๆ ก็เรืองอำนาจขึ้นมาอย่างไร้ขอบเขต ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่เช่นนี้ได้นานเท่าไร ทุกคนก็ไม่แน่ใจ ต่างตกอยู่ท่ามกลางความหวาดหวั่น

หากในใจผู้คน นายกองตรวจการและขันทีสำนักเสบียงนั้นยังคงมีตำแหน่งสำคัญ พอเห็นอีกฝ่ายแข็งกร้าวใส่ และยังเอาเรื่องเช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา

หัวหน้าอย่างจางซื่อเฉียงก็ดูลังเลไม่ได้คำตอบชัดเจน ทุกคนก็ได้แต่ตื่นตกใจ ทุกคนไม่กล้าก้าวขึ้นหน้า พากันถอยกลับมาอยู่ด้านหลัง

แต่เช้าตรู่เช่นนี้ อีกฝ่ายไม่รู้มีเจตนาอันใดถึงได้กล้ามาเอาเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้ทุกคนรู้สึกว่าไม่ปกติแล้ว แต่ละคนพากันหัวหด เป็นจางซื่อเฉียงที่ก้าวออกมารับหน้าไว้ผู้เดียวด้านหน้า

“นายกองพันพวกเจ้ากำลังจะประสบหายนะแล้ว พวกเจ้ายังไม่รู้สำนึก ยังติดตามเขาอีกงั้นหรือ?”

“หากยังพอรู้หนักเบาอยู่บ้างก็ถอยไป อย่าได้รอให้ถึงเวลาจับกุมผู้กระทำผิด แล้วต้องโดนตัดหัวทั้งตระกูลไปด้วย……”

“ไสหัวไป ไสหัวไป ไม่งั้นจะจับพวกเจ้าเข้าคุกตอนนี้เลย!”

เสียงตวาดดังติดต่อกัน พวกเขาเดินต่อไปยังด่านภาษีริมคลองส่งน้ำ ทางนั้นไม่มีผู้ใดกล้าขวางทาง จางซื่อเฉียงกำลังอึ้งกัดฟันแน่นอยู่นั้นก็รีบก้าวเข้ามาใช้ตัวขวางทางคนพวกนั้นไว้ จ้องมองไปพลางตวาดเสียงดังว่า

“นี่คือด่านภาษีของนายกองพันหวังแห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพรเทียนจิน ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์ย่อมต้องรับผิดชอบเอง!!”

คนพวกนั้นไม่คิดว่าจางซื่อเฉียงที่ดูอ่อนข้อจะกล้าแข็งกร้าวใส่ จึงนิ่งอึ้งหยุดเดิน รอจนเห็นว่ามีแต่จางซื่อเฉียงยืนอยู่คนเดียว ทุกคนก็เริ่มใจกล้าขึ้น

“เจ้ามันตัวอะไรกัน รีบหลีกทางให้พวกข้าเดี๋ยวนี้!!”

“ข้าคือนายกองร้อยจางซื่อเฉียงสังกัดนายกองพันหวังแห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพรเทียนจิน รับคำสั่งให้ตั้งด่านเก็บภาษีเรือผ่านเส้นทางน้ำนี้ พวกเจ้าผู้ใดกล้าลงมือ!!”

ใบหน้าของจางซื่อเฉียงแดงก่ำ เบิกตาจ้องมองตวาดเสียงดังลั่น แต่คนเดียวโดดเดี่ยวไหนเลยจะทรงพลังอันใด คนพวกนั้นก็เดินขึ้นหน้ามาเตรียมพร้อมเข้าเอาเรื่องด้วยรอยยิ้มกริ่ม

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่แยแสทั้งยังเดินบี้เข้าใส่ตน จางซื่อเฉียงก็กำดาบกัดฟันแน่น ยังไม่ทันได้ชักออกจากฝัก อีกฝ่ายเห็นท่าไม่ดี ก็รีบปรี่เข้ามา คนหนึ่งจับมือ คนหนึ่งกอดเอว ครู่เดียวจางซื่อเฉียงก็ขยับตัวไม่ได้

คนพวกนี้คิดไม่ถึงว่าจางซื่อเฉียงจะถึงขั้นชักดาบ บางคนยังตื่นตระหนกนิ่งค้าง แต่พอเห็นว่าจับจางซื่อเฉียงไว้ได้แล้ว ก็โมโหขึ้นทันที

อันดับแรกจับคนกดลงกับพื้น จากนั้นก็ทั้งเตะทั้งต่อย ยังมีคนด่าทอเสียงดังอยู่ข้าง ๆ ไปด้วยว่า

“เจ้ามันตัวอะไร ก็แค่ขยะจากเมืองหลวง นายกองพันเจ้าก็แค่ขุนนางสอพลอเล่นตลกให้ทรงพระทัยไปวัน ๆ นายของข้าระดับไหนแล้ว นายของข้าเป็นศิษย์มหาอำมาตย์ เป็นบัณฑิตระดับจิ้นซื่อที่ผ่านการสอบจอหงวนเลยนะ……”

บรรดาเจ้าพนักงานเก็บภาษีเดิมที่คิดจะเข้ามาช่วย พอได้ยินวาจาเช่นนี้ ก็ไม่กล้าขยับ

************

ม้าด่วนไปรายงาน ม้าด่วนเร่งกลับมา จากแม่น้ำทะเลมาคลองส่งน้ำ ใช้เวลาไปไม่น้อย หวังทงรีบเร่งขี่ม้ามาถึงก็เหงื่อโซมกาย

คิดไม่ถึงว่า เมื่อมาถึงจะได้เห็นคนของตนกำลังประคองจางซื่อเฉียงเดินมา หวังทงไม่สนใจว่าม้าเหน็ดเหนื่อยอย่างไร สองขากระแทกสีข้างม้าควบมาหยุดตรงหน้า

ใบหน้าจางซื่อเฉียงบวมเขียวช้ำไม่ว่า ชุดขุนนางยังขาดวิ่นหลายแห่ง ปากยังแตกอีกด้วย ท่าทางเอน็จอนาถยิ่งนัก เดินยังต้องให้คนประคองมา คิดว่าน่าจะบาดเจ็บที่อื่นอีก

พอเห็นหวังทงมาถึง จางซื่อเฉียงเรียกขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า

“ใต้เท้า……”

กล่าวถึงตรงนี้ก็ไม่อาจกล่าวอันใดต่อได้อีก ชายอายุราวสี่สิบแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาแล้ว หลี่หู่โถวที่อยู่ด้านหลังของหวังทงก็ร้องตะโกนด่าดัง พอหวังทงเห็นจางซื่อเฉียงร่ำไห้ก็รู้สึกเจ็บปวดใจ โมโหอย่างมาก บังคับม้าทะยานไปเบื้องหน้าจางซื่อเฉียงฟาดแส้ลงไปทันที

จางซื่อเฉียงไม่ทันได้หลบก็ถูกแส้ฟาดลงมา ทุกคนอึ้งไป หวังทงด่าด้วยความโกรธแค้นว่า

“ร้องไห้ทำไม เลือดที่เจ้าหลั่ง ก็ต้องให้คนผู้นั้นหลั่งเลือดชดใช้ ชายชาตรีองครักษ์เสื้อแพรหลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา!”

คำพูดทำให้ทุกคนสะดุ้ง จางซื่อเฉียงรีบยกมือปาดน้ำตาบนใบหน้า ทำเอาหน้ำตาเลอะเทอะไปหมด เห็นหวังทงขี่ม้ามาหยุดเบื้องหน้า ก็ไม่ลังเลตะโกนดังไปว่า

“ใต้เท้า ข้าน้อยโดนรังแกไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้อย่าได้ทำความเดือดร้อนให้ใต้เท้าก็พอ……”

‘ฝับ’ ปลายแส้เฉียดปลายจมูกของเขาไป ทำเอาจางซื่อเฉียงต้องหยุดวาจา หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“เดือดร้อนมากพอแล้ว เรื่องสำคัญคือคนของข้าไม่อาจถูกรังแกได้!!”

กล่าวจบก็ควบม้าทะยานไปทางด่านภาษี พวกด้านหลังก็รีบตามไป จางซื่อเฉียงสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สองมือพยามปาดน้ำตาที่ทะลักออกมาทิ้งไม่หยุด

************

วันนี้คลองส่งน้ำเกิดเรื่องใหญ่ เรือที่มาจากเมืองเหอเจียนทางใต้และมณฑลซานตงาก็ติดขัดจนไม่อาจแล่นผ่านไปได้ บรรดาพ่อค้าที่นำสินค้ามาด้วยก็ไม่ยอมเข้าเทียบท่าให้ตรวจสินค้า

ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะเรือลำก่อนหน้าถูกเก็บภาษีไปถึงสี่ส่วน ยังถูกสูบสินค้าไปอีก พวกที่ไม่รู้เรื่องเอาเรือเข้าเทียบท่า คิดว่ายังเป็นธรรมเนียมเดิม แต่พอออกตัวเจรจากับเจ้าหน้าที่ ก็เกิดการโต้แย้งเสียงดังขึ้นว่า

“ไม่ใช่เคยบอกว่าสองส่วนหรือ?! เก็บเยอะอย่างนี้ พวกเราขายทิ้งก่อนมาเมืองชิงโจวก็ได้ แม้ว่าไปขายที่เมืองจี้หนิงโจวก็ยังทำกำไร นายท่านเก็บเช่นนี้จะให้พวกข้าขาดทุนหรือไร……”

สามารถพูดถึงตอนนี้ได้นับว่าโชคดีไม่น้อยแล้ว เพราะเจ้าหน้าที่ที่มาได้ลงมือแล้ว ลงมือไม่ว่า ปากยังด่าทอไปด้วยว่า

“ประชาชนไร้สมอง นี่เป็นธรรมเนียมข้า ตอนนี้นายข้ามารับตำแหน่ง ใช้ธรรมเนียมนายข้า เจ้ายังกล้าเถียงข้าอีก สินค้าบนเรือมีที่มาไม่ชัดเจน กักไว้……”

คลองส่งน้ำเอะอะโวยวาย ชุลมุนกันไปหมด พวกพ่อค้าเหนือใต้และคนระดับต่างๆ ที่มาเทียนจินกันหลายครั้งแล้ว ก็พากันออกมาเมียงมองดูเรื่องคึกคักนี้กัน

พวกว่างงานปากไวก็เริ่มส่งเสียงเชียร์ เห็นคนเรือโดนทั้งทุบทั้งด่าจนต้องร้องเรียกหาพ่อหาแม่กัน ยังมีบางคนร่วงหล่นลงน้ำ คนดูพากันหัวเราะฮาครืน ส่งเสียงเป่าปาก แปลกประหลาดยิ่ง

กลุ่มคนมุงพวกนี้ถูกองครักษ์เสื้อแพรกดมานานพอสมควร ในเมืองนอกเมืองแม้แต่โอกาสตักตวงประโยชน์เล็กน้อยก็ไม่มี ตอนนี้พอเห็นองครักษ์เสื้อแพรเสียท่า เหมือนจะพลิกฟ้ากันได้ ทุกคนก็คึกคักกันขึ้นมาทันที

พ่อค้าต่างพื้นที่ล้วนพากันขมวดคิ้ว ในใจพากันคิดว่าหากเทียนจินเป็นเช่นนี้ ยังจะร่ำรวยอันใดได้อีก ทุกคนขนเงินขนสินค้ามาใช่ว่าส่งเนื้อเข้าปากคนอื่นหรอกหรือ

มีเสียงหยอกล้อ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หลังด่านก็เอะอะวุ่นวายกันไปหมด สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เจ้าหน้าที่เก็บภาษีที่มาใหม่เริ่มคึกคักขึ้น

เรือสินค้าต่างไม่เต็มใจที่จะเข้าเทียบท่า คนพวกนี้ปากก็ด่าคนบนฝั่งไป มือเท้าก็บังคับเรือออกไปลอยกลางน้ำ ไม่ทันสังเกตว่าบนฝั่งเริ่มเงียบลง

***********

เมื่อพวกหวังทงมาถึงริมฝั่งคลอง บรรดาคนมุงก็มุงกันหลายชั้น ม้าเข้าไปไม่ได้ หวังทงไหนเลยจะเกรงใจ ตวัดแส้ม้าฟาดลงไปทันที

ฟาดไปสองสามที ก็มีคนหันมามอง พอเห็นว่าเป็นหวังทง คนที่รู้จักต่างลนลานหลีกทาง คนที่ไมรู้จักพอเห็นกลุ่มคนท่าทางดุร้ายกลุ่มนี้ ผู้ใดจะยังกล้าขวางทาง พวกคนมุงเมื่อครู่ก้มหน้าวิ่งออกไปทันที หากรอจนถูกจับไปใช้แรงงาน เช่นนั้นก็ไม่สนุกแล้ว

พอเข้าไปอยู่วงในได้ หวังทงก็โดดลงจากหลังม้า พวกที่คึกคะนองเสียงดังอยู่ริมฝั่งย่อมไม่ทันสังเกตด้านหลัง เขาก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา

รั้วไม้ไผ่ริมทางเพิ่งรื้อออก หวังทงนำแค่ดาบติดตัวมา จึงเดินไปริมรั้ว ก้มตัวลงหยิบไม้ไผ่ท่อนหยาบเหมาะมือขึ้นมาท่อนหนึ่ง ชักดาบออกมา จากนั้นก็ใช้ดาบฟันปลายไม้ไผ่ให้ปลายบนแหลมคม

ลี่เทา ซุนซิงและหลี่หู่โถวมองเห็นดังนี้ก็พากันทำตามอย่าง คว้าไม้ไผ่ขึ้นมาคนละท่อน วันนี้พวกเขาตอนออกมาวิ่งยุ่งกับงานกันทั้งวัน นำเพียงอาวุธสั้นติดตัวมาเท่านั้น

หวังทงใช้จับมือจับลำไผ่สะบัดไปมา กะน้ำหนัก เล็งทิศทางด้านหน้า จากนั้นก็วิ่งไปข้างหน้าอย่างเร็ว

************

คนมุงโดยรอบเงียบกริบ คนบนแม่น้ำกำลังมองหันกลับมาด้านหลังอย่างแปลกใจ ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังมา ในที่สุดคนของนายกองตรวจการคนใหม่และคนของขันทีสำนักเสบียงก็หันหลังกลับไปมอง

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามามากขึ้น เมื่อรีบหันหลังไปดู ก็เห็นเด็กหนุ่มหลายคนในชุดเครื่องแบบทางการองครักษ์เสื้อแพรควงลำไผ่ยาวแทงใส่อย่างรุนแรง พวกมาเก็บภาษีเป็นแค่เจ้าหน้าที่ ร่างกายก็สวมเพียงแค่เสื้อชุดผ้าฝ้ายธรรมดา ไม่มีการเตรียมป้องกันแม้แต่น้อย ถึงตอนนี้จะมาร้องเสียงหลงก็สายไปเสียแล้ว

‘ฉึก’ ลำไผ่เจาะทะลุร่างไปในทันที ยามนี้ผู้ที่ถูกแทงก็เริ่มส่งเสียงร้องโหยหวน หวังทงกลับไม่หยุด หากผลักดันลำไผ่กระแทกไปข้างหน้า ผู้ที่ถูกแทงได้แต่กุมปลายแหลมคมของลำไผ่ที่ทะลุหน้าอกมา และก็ถูกดันให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยอาการเช่นนี้

ตรงดิ่งไปถึงริมคลองส่งน้ำ เรี่ยวแรงที่มีก็หมดลง เสียงร้องโหยหวนหยุดลง ปล่อยมือ ร่วงหล่นลงน้ำดังตูมใหญ่ เลือกกระจายชะโลมผืนน้ำอย่างรวดเร็ว คนผู้นั้นกระตุกในน้ำไม่กี่ทีก็นิ่งไป

เสียงฝีเท้ามีช้ามีเร็ว มีคนถูกแทง มีคนกลัวจนโดดลงน้ำไป หวังทงเล็งคนผู้หนึ่งไว้ จากนั้นก็ขว้างลำไผ่ไปทะลุหน้าอกพอดี หวังทงตะโกนดังขึ้นว่า

“ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ หลอกลวงปล้นชิงพ่อค้า โทษควรตาย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version