ตอนที่ 364 เงินทองบดบงจิตใจ โทษประหารไม่อาจโทษผู้ใด
ริมฝั่งยามนี้เสียงนกกระจิบกระจอกเงียบกริบ ทุกคนเหมือนไม่ทันตั้งสติได้ไปชั่วขณะ พวกเจ้าหน้าที่ที่แสดงท่าทางโอหังเมื่อครู่พริบตาเดียวตายไปสี่ห้าคน ที่เหลือก็โดดน้ำทุลักทุเล
“เอาธนูมา!!”
หวังทงกล่าวเสียงดังหนักแน่น ทหารที่ติดตามมาด้วยบางคนมีธนูติดมาด้วย พอได้ยินคำสั่งหวังทงก็รีบวิ่งกลับไปหยิบมา ไม่นานธนูก็ส่งมาถึงมือหวังทง
พวกที่ลอยคอกันอยู่กลางน้ำพอเห็นหวังทงน้าวคันธนูเริ่มจะเล็ง พื้นที่ตอนเหนือหลังปีใหม่มาสามเดือนครึ่งนี้ยังไม่นับว่าอบอุ่น น้ำในคลองก็หนาวเสียดแทงถึงกระดูก ยากจะทำนทน
พอเห็นเทพสังหารบนฝั่งเมื่อครู่ถึงกับคว้าธนูออกมา ก็ตกใจกันจนขวัญหนีดีฝ่อไม่สนใจอันใดอีก ได้แต่ร้องเสียงหลงดังขึ้น
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่บนฝั่ง พวกเราเป็นคนของใต้เท้าอวี๋แห่งกองตรวจการ (คนของว่านกงกง)……”
กลางน้ำและบนฝั่งห่างกันไม่ไกล หวังทงย่อมได้ยินชัดเจน แต่ผู้ใดจะสนใจ ใบหน้ำเย็นชาปล่อยสายธนูพุ่งไปทันที โดนเข้าคนที่หนึ่ง เห็นคนผู้นั้นเริ่มจมลง หวังทงรับลูกธนูมาอีกดอก เริ่มกระบวนการใหม่อีกครั้ง
อึดใจเดียวยิงออกไปหกดอก สี่ดอกยิงทะลุจุดสำคัญ อีกสองดอกยิงโดนแขนและหลัง คนพวกนี้ตะเกียกตะกายอยู่กลางน้ำที่อาบไปด้วยโลหิต หลายคนไม่สนใจว่าน้ำสกปรกหรือน้ำเย็นเยียบ กลั้นลมหายใจดำน้ำ จะได้ไม่ต้องถูกธนูยิง
หวังทงหาเป้าหมายต่ออีกไม่ได้ ได้แต่โยนคันธนทิ้งออกคำสั่งว่า
“เอาคนลงในน้ำขึ้นมา รอคำสั่งจากข้า!”
คนด้านหลังรับคำ หวังทงสั่งการออกไปทีละเรื่องไม่หยุด
บนคลองส่งน้ำติดแออัดผิดปกติ เมื่อครู่เจ้าหน้าที่นั่งเรือลอยออกไปขับไล่ พอเห็นบนฝั่งเกิดการล่าสังหาร ก็คิดว่าหนีไม่พ้นแล้ว ซ้ายก็เรือ ขวาก็เรือ จะขยับไปไหนได้
การลงมือดุเดือดบนฝั่งเมื่อครู่ทำให้บรรดาเรือจากซานตงเหล่านั้นไร้คนช่วยเหลือ ทหารจากกองกำลังหู่เวยปล่อยเรือลงคลองส่งน้ำ ใช้ตะขอเกี่ยวทั้งคนเป็นคนตายขึ้นมา ใช้ทวนยาวกับธนูคุมตัวไว้ ทุกคนได้แต่ยอมมอบตัวให้จับแต่โดยดี
บนคลองและริมคลองส่งน้ำได้ยินแต่เสียงคนของหวังทงเสียงดัง
“พี่ป้าน้าอาทุกท่าน เมื่อครู่โจรร้ายปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ หลอกลวงพ่อค้า นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรได้รับแจ้งก็รีบมา จึงได้นำกำลังมาขจัดภัยร้าย เทียนจินยินดีต้อนรับทุกท่านมาทำการค้า ทำการค้าตามธรรมเนียม ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกขูดรีดหรือหลอกลวง มีองครักษ์เสื้อแพรรับประกันให้ทุกท่าน”
“ภาษีเส้นทางน้ำสองส่วนเหมือนเดิม เมื่อครู่ที่จ่ายมามากเกิน ขอให้ขึ้นฝั่งมารายงาน ดำเนินการตามขั้นตอน ที่จ่ายเกินมาจะคืนให้ทั้งหมด!”
มีหลายคนแบกเรือลำเล็กเข้ามาซ้อนกันหลายชั้นทำเป็นเวทีไม้ หวังทงยืนอยู่บนนั้น กล่าวเสียงดังว่า
“พี่ป้าน้าอาทุกท่านมาค้าขายทีนี่ ข้ามาช้าไป ทำให้ทุกคนต้องตกใจ ข้าขอใช้ศีรษะเป็นประกัน ใช้ตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรเป็นประกัน วันหน้าจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก เมื่อครู่พ่อค้าที่ถูกขูดรีดไป เทียนจินเราวันนี้เก็บภาษีแค่ส่วนเดียว อีกหนึ่งส่วนนั้นเป็นการปลอบขวัญครั้งนี้”
พอหวังทงพูดจบ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังกระหึ่มขึ้น ได้ยินนายกองพันหนุ่มน้อยท่าทางดุร้ายกล่าวเช่นนั้น ทุกคนแม้ว่าจะยังตื่นตระหนก แต่ในใจก็สงบลงมาก ในเมื่อมีคนรับประกัน การค้าเทียนจินยังคงทำต่อไปได้
“ขอทุกท่านอีกสองชั่วยามไปที่ประตูด้านใต้ของเมืองเทียนจิน วันนี้ข้าจะต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกท่านในทุกเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้!!”
พอหวังทงพูดจบ ก็โดดลงจากเวทีขึ้นม้ามุ่งไปในเมือง ทหารด้านหลังก็เข้ามานำตัวคนร้ายไปทันที
เห็นเจ้าหน้าที่กลับเข้าประจำด่านภาษี เริ่มดำเนินการเก็บภาษี เหตุปะทะยามเช้าและเหตุสังหารที่เพิ่งเกิดขึ้น เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว แต่โลหิตที่อาบชโลมทั่วกลางแม่น้ำยังไม่จางหาย บริเวณริมฝั่งล้วนเป็นสีดำแดงผสมปนเป
**********
ผู้คนใต้หล้าต่างรู้ว่ามหาอำมาตย์จางกับเฝิงเป่ากงกงเป็นพันธมิตรกัน ลูกศิษย์เขาทั้งสองคนก็ย่อมสนิทสนมกัน
โดยเฉพาะยามมาแปลกถิ่นอย่างเทียนจินนี้ สองฝ่ายต่างก็ช่วยเหลือกัน ประสานกำลังกัน ปรากฎว่าอวี๋จี้หย่งที่มารับตำแหน่งนายกองตรวจการคนใหม่และขันทีสวีกว่างนายกองสำนักเสบียงคนใหม่จึงสนิทกันเช่นเดียวกับฟานต๋าและว่านเต้า ทั้งสองสนิทสนมกลมเกลียวกันอย่างมาก มักจะไปเยี่ยมเยือนจวนกันและกันอยู่เสมอ
เช้านี้ที่เทียนจิน สองคนกำลังนั่งจิบชากันอยู่ในห้องหนังสือ สวีกว่างเป็นชายวัยกลางคนร่างอ้วน ยิ้มร่ากล่าวว่า
“ไม่ต้องไปสนใจแม่น้ำทะเลนั่น แค่ด่านภาษีคลองส่งน้ำนี้หากทำได้ดี วันหนึ่งหลายพันตำลึงคงได้ แต่ก็แค่ไว้ให้ลูกน้องเป็นเศษเงินเท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไร”
อวี๋จี้หย่งกลับร่างผอมเกร็ง ยกจอกชาขึ้นจิบก่อนจะเอ่ยด้วยความพึงพอใจว่า
“ได้ยินว่าข้าถูกส่งออกมาเทียนจินนี่ บรรดาญาติมิตรก็มาขอพึ่งพาไม่น้อย อยางไรก็ต้องหาที่ทางให้พวกเขาพักอาศัย ให้พวกเขาได้กันดังใจ ริมคลองส่งน้ำนี่เป็นทำเลที่ดีมาก!”
“ใต้เท้าอวี๋ช่างเป็นผู้รักมิตรสหาย ข่าวจากเมือหลวงมาว่า หน่วยงานแต่ละหน่วยในราชสำนักส่งเจ้าหน้าที่ออกเดินทางมาแล้ว สิ่งที่เจ้าหวังทงสั่งสมเอาไว้นั้น พวกเขาคงได้เข้าครองทีละสิ่ง วันหน้าคงได้เหน็ดเหนื่อยกันเป็นแน่!”
“วาจานี้ไว้ก่อนเถอะ เราต่างรับพระบัญชาปฏิบัติหน้าที่แทนท่านจางและเฝิงกงกง เจ้าและข้าลำบากเหน็ดเหนื่อยก็สมควร ขอเพียงวันหน้ารักษาธรรมเนียมให้ดี เงินทองของผู้ที่ไม่ควรเก็บก็อย่าได้แตะต้อง……”
ยังพูดไม่จบ เสียงเอะอะด้านนอกดังเข้ามาขัดจังหวะ อวี๋จี้หย่งขมวดคิ้ว ยิ้มให้กับสวีกว่างกล่าวว่า
“สวีกงกง ลูกน้องหลายคนเป็นพวกที่เพิ่งติดตามข้ามาจากเมืองหลวง ไม่รู้จักธรรมเนียม ขอท่านอย่าได้ถือสา”
ขุนนางเมืองหลวงได้ตำแหน่งออกมาจากเมืองหลวง ก็มักมีคนมาขอพึ่งพา เพื่อจะได้ติดตามออกมาวางอำนาจด้วย นี่ก็เป็นประเพณีของวงการขุนนาง สวีกว่างสีหน้ายังคงยิ้มแย้ม เอ่ยขึ้นว่า
“ใต้เท้าอวี๋เห็นข้าเป็นคนนอกไปได้ อย่าว่าแต่ทางใต้เท้าเลย แม้แต่ข้าเองก็พา……”
คำพูดถูกขัดจังหวะอีกครั้ง แต่คราวนี้มีคนกระแทกประตูห้องหนังสือเข้ามา พอเห็นพ่อบ้านล้มลุกคลุกคลานเข้ามา ดูแล้วน่าจะสะดุดธรณีประตู
ในที่สุดอวี๋จี้หย่งก็เก็บสีหน้าเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ตบโต๊ะเสียงดัง กำลังคิดจะด่า แต่กลับเป็นทหารกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามา
แต่ละนายสวมชุดมัจฉาเวหา ถืออาวุธครบมือ หลายคนตามร่างกายยังมีคราบโลหิต ดูแล้วแม้ว่าอายุน้อย แต่รังสีสังหารนั้นแผ่ซ่านรุนแรง ใต้เท้าอวี๋รู้สึกลำคอแห้งผากขึ้นมากะทันหัน ร่างกายอ่อนยวบ จอกชาในมือสวีกงกงลื่นหลุดจากมือร่วงลงพื้นแตกเป็นเสี่ยง
“เจ้า……พวกเจ้า……อะไรกัน……ผู้ใด ถึงกับ……กล้าบุกเข้ามาในจวนข้า!!”
อวี๋จี้หย่งราวกับใช้กำลังบีบเค้นเสียงออกมาทีละเสียง พลหทารหลายนายไม่ก้าวเข้าประชิด หากประสานมือก้มกายคำนับกล่าวว่า
“ใต้เท้าอวี๋ ท่านนี้คงเป็นสวีกงกงกระมัง ข้าน้อยรับคำสั่งใต้เท้าหวังมาเชิญใต้เท้าทั้งสองไปดูการลงทัณฑ์ที่ประตูเมืองทิศใต้”
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเหล่านี้แสดงความเคารพ วาจายังนับว่าสุภาพเกรงใจ ทำให้ทั้งสองเริ่มอารมณ์สงบลงไม่น้อย ใจกล้าข้นอีกเล็กน้อย อวี๋จี้หย่งบังคับตนเองให้นิ่งลงก่อนจะกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า
“ดูลงทัณฑ์อันใดกัน กลับไปเรียนใต้เท้าหวัง ข้ามีงานมาก ทิ้งไปไม่ได้จริงๆ ขอโปรดอภัย”
วาจายังคงสุภาพ เพราะพลทหารเหล่านี้ไว้หน้าอยู่ ทว่าพลทหารองครักษ์เสื้อแพรกลับตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า
“เหตุกะทันหัน ขออภัยจริงๆ แต่อย่างไรก็ขอเชิญใต้เท้าอวี๋และสวีกงกงไปสักครา หากไม่สะดวก พวกข้าน้อยจะประคองไปเอง”
เห็นทหารเริ่มก้าวเข้ามาบีบคั้น อวี๋จี้หย่งกับสวีกว่างก็ตัวสั่นเทา ไม่กล้ากล่าวปฏิเสธ ได้แต่กล่าวซ้ำไปมาว่า
“ให้ข้าเปลี่ยนชุดขุนนางก่อน เปลี่ยนชุดขุนนางก่อน”
*************
ประตูทิศใต้ของเมืองเทียนจินมีผู้คนไปมาขวักไขว่ ทุกคนเห็นร่างสิบกว่าศพวางอยู่ที่นั่น และยังมีอีกหลายสิบคนหน้ำตาดูไม่ได้ถูกมัดอุดปากไว้คุกเข่าอยู่ตรงนั้น ด้านหลังยังมีพลทหารองครักษ์เสื้อแพรในชุดเต็มยศอาวุธครบมือคุมตัวไว้
บริเวณใกล้ประตูเมืองได้เก็บกวาดให้เป็นพื้นที่กว้างก่อนจะตั้งโต๊ะเก้าอี้หลายตัว หากมีเพียงนายกองพันอายุน้อยนั่งอยู่ผู้เดียว
ราวใกล้เที่ยง ประตูเมืองที่ปิดไปแล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งมาถึง หัวหน้าสองคนในชุดขุนนาง สามารถมองเห็นสีหน้าท่าทางของทั้งสอง สามารถมองเห็นท่าทางเอาเรื่องของพลหทาร ดูอย่างไรก็เหมือนว่าองครักษ์เสื้อแพรกำลังส่งนักโทษออกนอกเมือง
ไม่เพียงแต่คนมุงจะคิดเช่นนี้ แม้แต่อวี๋จี้หย่งและสวีกว่างเองก็คิดเช่นนี้ แม้ว่าองครักษ์เสื้อแพรพวกนี้จะท่าทางเย็นชาเข้มงวด หากไม่ลงมือทำร้ายอันใด ความกล้าของพวกเขาก็ค่อย ๆ ฟื้นคืนมา
ในใจคิดว่าหวังทงก็เป็นเพียงตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วง มีชีวิตได้อีกไม่กี่วันแล้ว ทำพวกข้าต้องอับอายถึงเพียงนี้ จะต้องเอาเรื่องให้ได้
พอออกนอกประตูเมืองมา มองเห็นร่างไร้ลมหายใจสิบกว่าศพ มองไปยังกลุ่มคนที่เห็นพวกเขามาถึงก็ดิ้นรนกันสุดชีวิต ในใจก็โมโหถึงขีดสุด สองคนลงจากหลังม้า อวี๋จี้หย่งแค่นเสียงฮึ เดินตรงไปหาทันที สวีกว่างตามมาด้านหลัง
เมื่อมาถึงหน้าโต๊ะ หวังทงนั่งกางขาท่าทางองอาจอยู่ที่นั่น ไม่ขยับแม้แต่น้อย อวี๋จี้หย่งคิดจะเอ่ยตำหนิ หวังทงกลับชิงเอ่ยขึ้นก่อนว่า
“ใต้เท้าอวี๋ ได้ยินว่าท่านอยู่เมืองหลวงครอบครัวมี 6 คน สาวใช้คนงาน 12 คน ชีวิตความเป็นอยู่ไม่เลว แต่อย่างมากก็แค่พวกพอมีฐานะเท่านั้น แต่ตั้งแต่ได้ตำแหน่งนายกองตรวจการมา พอมาถึงเทียนจิน ก็มีคนในครอบครัวเพิ่มเป็น 46 คน คนงานสาวใช้อีก 150 คน มีคนติดตามมามากมายเพียงนี้ ย่อมต้องคิดหาทางร่ำรวยใช่หรือไม่ รอนแรมมารับตำแหน่งก็เพื่อเงินทอง ข้าเองก็เข้าใจ แต่เงินบางก้อนไม่อาจแตะต้อง เรื่องบางเรื่องไม่อาจแตะต้อง ก่อนจากเมืองหลวงมา อิ๋วชีไม่ได้สอนท่านหรือ?
ที่ว่าได้ยินมานั้น จำนวนที่ว่าก็ตรงเกินไปแล้วกระมัง อวี๋จี้หย่งยังคงโมโห หากสีหน้าเริ่มซีดเผือด สวีกว่างข้างๆ ก็แค่นหัวเราะดังขึ้น ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด หวังทงก็ยกมือชี้หน้าเขากล่าวว่า
“ข้าตั้งด่านภาษี ก็เพื่อหาเงินส่งเข้าวัง สวีกว่างเจ้าตัวบัดซบ ละโมบเงินทองจนหน้ามืดตามัว เงินนี้เจ้ากล้าแตะต้องงั้นหรือ กลับไปถามเฝิงกงกงว่ายอมหรือไม่”
สีหน้าสวีกว่างแปรเปลี่ยน ตัวเริ่มงองุ้ม หวังทงแค่นเสียงเย็นกล่าวต่อว่า
“พวกตัวชั่วนี้แต่งกายเป็นขุนนาง ลักลอบรีดภาษี ขูดรีดพ่อค้า ข้าสอบสวนแล้ว จึงได้ตัดสินตัดหัวประหารชีวิต จึงได้เชิญท่านทั้งสองมาดูการลงทัณฑ์ นั่งลงชมเถิด!”
กล่าวจบก็ยกมือขึ้นโบก ทหารด้านหลังก็ตะโกนดังขึ้นทันทีว่า
“ใต้เท้ามีคำสั่ง ประหาร~~~~~!!”