ตอนที่ 365 วงการขุนนางราวกับโรงละคร เชื่อหวังทง
หลังจากพบหน้า กล่าวกันไม่กี่ประโยค ยังไม่ทันเปิดโอกาสให้อวี๋จี้หย่งและสวี่กว่างตั้งตัว ทางนั้นก็ตะโกนว่า ‘ประหาร’
คนสนิทตนและบรรดาลูกพี่ลูกน้องญาติสนิทต่างอยู่ในกลุ่มคนเก็บภาษีพวกนี้ อีกฝ่ายลำบากลำบนมาขอพึ่งบารมี อยากจะพลอยร่ำรวยไปด้วย ไม่ใช่เอาชีวิตมาตายที่นี่
ในระยะเวลาอันสั้น อวี๋จี้หย่งกับสวีกว่างยังไม่อาจคืนสติตอบสนองได้ทัน รีบพากันกลับหลังหัน ด้านหลังเสียงดาบก็รวดเร็วเฉียบคม เสียงร้องอย่างตกใจของผู้ชมก็กรีดร้องขึ้นพร้อมกัน
หลังผ่านการฝึกมา การเคลื่อนไหวก็พร้อมเพรียงยิ่ง หลายสิบหัวร่วงลงพื้นในเวลาใกล้เคียงกัน เลือดสาดกระจายไปทั่วบริเวณ หลายสิบคนล้อมเป็นรูปครึ่งวงกลม
นาทีนี้ เหมือนว่าเลือดสดๆ กระเด็นโดนอวี๋จี้หย่งและสวีกว่าง สถานการณ์เช่นนี้ แม้คนใจกล้ามากเท่าใดก็ย่อมตกใจ นับประสาอันใดกับสองคนที่ไม่ได้กล้าหาญอันใด
ยามนี้ทั้งสองเหมือนว่ากรีดร้องขึ้นพร้อมกัน ผงะถอยหลังไปหลายก้าว สวีกว่างเหยียบเอาชุดขุนนางตนเองสะดุดล้มลง อวี๋จี้หย่งหวีดร้องดัง ถอยหลังจนไปชนโต๊ะด้านหลัง
ตามปกติหากได้เห็นการสังหารเช่นนี้ บรรดาคนมุงจะต้องรู้สึกตึงเครียด แต่พอเห็นขุนนางสองคนท่าทางทุลักทุเลเช่นนี้ ทุกคนกลับรู้สึกสนุก มีคนทนไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมา
หวังทงไม่สนใจ กระโดดขึ้นโต๊ะกล่าวเสียงดังกังวานว่า
“ที่ทุกท่านเห็น จุดจบของการขีดรูดหลอกลวงภาษีจากพ่อค้าเป็นเช่นนี้ ที่เทียนจินนี้ขอให้ทุกคนทำการค้าได้อย่างสบายใจ ขอเพียงปฏิบัติตามธรรมเนียม ก็ไม่ต้องกังวลอันใด พวกโง่เง่าไร้สมองพวกนี้ มีหนึ่งก็สังหารหนึ่ง ขอให้ทุกท่านวางใจได้”
จากนั้นหวังทงบนโต๊ะประสานมือคำนับ ขุนนางที่องอาจเรืองอำนาจถึงกับมีมารยาทเช่นนี้ พ่อค้าที่มุงดูอยู่ไม่น้อยไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน ต่างก็รู้สึกซาบซึ้งกินใจ มีบางคนถึงกับตะโกนเชียร์ดังขึ้น
**********
คนของตนถูกประหาร ยังต้องเสียหน้าเช่นนี้ นายกองตรวจการและขันทีสำนักเสบียงคนใหม่ต่างโมโหมาก เรื่องราวเป็นเช่นนี้ไปแล้ว หากหวังทงก็คงไม่สังหารเขาสองคน พวกเขาจึงไม่กลัว
หวังทงกระโดดลงจากโต๊ะ อวี๋จี้หย่งชี้หน้าหวังทงด่าว่า
“ขุนนางบู๊ไร้เดียงสา เจ้าคิดว่าเรื่องวันนี้จะจบลงเช่นนี้หรือ? อีกสองสามวันรอทางการมาถึง พวกเราได้เห็นดีกัน!”
สวีกว่างข้างๆ ก็กรีดเสียงสูงตวาดดังขึ้นว่า
“หวังทง เจ้าดาวหายนะ สมควรตายพันชิ้นหมื่นชิ้น ถึงตอนนั้นข้าจะเอาเรื่องเจ้าให้ถึงที่สุด!”
กระทืบเท้าอยู่ตรงนั้น หากหวังทงกลับใช้มือยันโต๊ะโดดข้ามมา สองคนยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็ยกเท้าถีบไปที่ท้องสวีกว่าง ทำเอาสวีกว่างกลิ้งเป็นลูกน้ำเต้า ตามมาด้วยฝ่ามือฟาดใบหน้าอวี๋จี้หย่ง
อวี๋จี้หย่งผงะถอยไปหลายก้าว ยังไม่ทันได้กุมหน้า หวังทงก็เข้ามาประชิดกระชากเสื้อดึงเข้าใกล้ สีหน้าถมึงทึง กล่าวว่า
“เรื่องวันนี้ข้าเองก็ไม่ได้คิดจะจบเช่นนี้ สิ่งที่พวกเจ้าทำนั้น ข้าจะส่งม้าเร็วไปเมืองหลวง ดูว่าการแตะต้องด่านภาษีนี้เป็นความต้องการของท่านจางหรือเฝิงกงกงกัน เหตุใดพวกเขาจึงคิดจะแย่งก้อนเงินจินฮวาของฝ่าบาท”
กล่าวจบก็มองอย่างเหยียดหยาม สะบัดหน้าจากไปทันที
คิดไม่ถึงว่าพอปล่อยมือ อวี๋จี้หย่งก็ตัวอ่อนพับลงกับพื้น สวีกว่างกุมท้องลุกขึ้นยืนไม่ทันได้ส่งเสียงด่า พอได้ยินวาจาหวังทง ไม่รู้ว่าทำไมเข่าจึงอ่อนยวบ ถึงกับล้มพับลงกับพื้นทันที
ทหารเริ่มเข้าเก็บกวาดศพและทำความสะอาด กลุ่มคนมุงแตกฮือ ศีรษะพวกนั้นอย่างไรก็ต้องแขวนไว้บนกำแพงเมืองสักระยะหนึ่ง คิดแล้วน่าจะมะรืนนี้ที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจะมาถึง หวังทงต้องเตรียมรับมือแล้ว
หวังทงเพิ่งจะเดินไปถึงม้า ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลัง ทหารหลายนายต่างขยับหากยังไม่ชักอาวุธ พอหันไปมอง ก็เห็นอวี๋จี้หย่งและสวีกว่างวิ่งมาอย่างเร็ว
สองคนยังคิดทำอะไรอีก พวกเจ้ากล้าทำอันใดอีก หวังทงรู้สึกงงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าสองคนมาถึงเบื้องหน้า ไม่ทำอันใดทั้งสิ้น หากคำนับลงก่อนจะเงยหน้าขึ้น เมื่อครู่สีหน้ายังโมโหหน้าดำหน้าแดง แต่ตอนนี้กลับหวาดกลัวผสมรอยยิ้มแหย
“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวัง……เรื่องวันนี้……ล้วนเข้าใจผิด ล้วนเข้าใจผิด……”
ขู่ฟ่อกันอยู่นาน อวี๋จี้หย่งกลับกล่าวเช่นนี้ออกมาได้ หวังทงอึ้งไป ตามมาด้วยหันหน้าไปทางพวกเขากล่าวว่า
“เข้าใจผิดอันใด!?”
“ดูศีรษะเมื่อครู่นี้แล้ว ไม่มีคนของข้าสองคนเลยสักคน เป็นเพราะข้าสองคนได้ยินข่าวแล้วใจร้อน จึงได้เข้าใจใต้เท้าผิดไป”
สวีกว่างข้างๆ กล่าวขึ้นแทน อวี๋ต้าหย่งเค้นรอยยิ้มออกมากล่าวว่า
“สวีกงกงกล่าวได้ไม่ผิด พูดไปแล้วเรื่องวันนี้ต้องขอบคุณใต้เท้าหวังถึงจะถูก โจรชั่วพวกนี้ปลอมตัวเป็นคนของข้า ทำลายชื่อเสียงข้าและสวีกงกง หากไม่ใช้ใต้เท้าออกหน้าจัดการ หากเรื่องนี้ไปถึงเมืองหลวง ไม่รู้ว่าจะรายงานใต้เท้าทั้งหลายอย่างไร”
ในวงการขุนนางแล้วต้องรู้จักรุกรู้จักถอย เห็นเรื่องท่าไม่ดีแล้ว สีหน้าต้องเปลี่ยนให้เร็วเหมือนกับพลิกหน้าหนังสือ หวังทงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจ
“เรื่องวันนี้ใต้เท้าหวังช่วยเอาไว้มาก ข้าและสวีกงกงจะต้องตอบแทนท่าน……”
“เงินทองริมคลอง ริมแม่น้ำทะเลและนอกเมืองในเมืองราวกับสายน้ำไหล ใต้เท้าทั้งสองต้องมองตาเป็นมัน ครั้งนี้เมืองหลวงส่งคณะตรวจสอบมาก คิดว่าใต้เท้าทั้งสองคนคิดว่าโอกาสมาถึงแล้วกระมัง!”
หวังทงโต้ตอบน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าสองคนนิ่งค้างไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะกล่าวออกมาตรงๆ เช่นนี้ หวังทงโดดขึ้นหลังม้า กล่าวบนหลังม้าลงมาเบื้องล่างว่า
“พื้นที่เทียนจินเป็นกิจการที่ข้าทุ่มเทฟันฝ่ามา พวกเจ้าสองคนหน้ามืดตามัวในทรัพย์สินคิดแตะต้อง สมองพิการก็แล้วไป หากตอนทำทำไมไม่รู้จักคิด ตั้งแต่ข้ามาที่นี่จนถึงตอนนี้ ใต้เท้าจางกล่าวอันใดหรือไม่ เฝิงกงกงกล่าวอันใดหรือไม่? ไทเฮากับฝ่าบาทตรัสอันใดหรือไม่? เรื่องพวกนี้คิดไม่ออกยังคิดแตะต้อง วันนี้เป็นศีรษะพวกนั้นที่ร่วงหลุดจากบ่า หากมีครั้งหน้า!!”
หวังทงถามกลับ น้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะกระแทกม้าจากไป ไม่สนใจเขาสองคนที่สีหน้าบัดเดี๋ยวดำบัดเดี๋ยวแดงแม้แต่น้อย อวี๋จี้หย่งกำมือแน่น สั่นเทำไปทั้งตัว แต่สีหน้ายังคงเก็บท่าทีเป็นปกติ เพราะรอบกายยังมีองครักษ์เสื้อแพรรายล้อมอยู่ สวีกว่างกระซิบขึ้นเบาๆ
“ใต้เท้าอวี๋ อดทนไว้ก่อน อดทนไว้ก่อน เจ้าหายนะนี้อีกไม่กี่วันหรอก มะรืนนี้คณะตรวจสอบก็มาถึงแล้ว ถึงนอนนั้นค่อยเห็นดีกัน ดูว่ามันจะยังวางท่าไปได้อีกถึงเมื่อไร!!”
***********
“คลำหินข้ามแม่น้ำ แม่น้ำมีหินที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าหนาม!”
หวังทงมุ่งกลับจวนทันที ระหว่างทางกลับอยู่ๆ ก็เอ่ยภาษิตประโยคนี้ขึ้นมา หลี่หู่โถวได้ยินก็รู้สึกงง กำลังคิดจะถามก็ได้ยินหวังทงพูดเสียงดังขึ้นว่า
“แม้เป็นหนามเหล็ก ข้าก็จะงอมันและย่ำให้ราบ……”
วาจานี้ราวกับตบหน้า หลี่หู่โถวข้างๆ ได้แต่ตื่นเต้นตาม
ไม่นานก็มาถึงจวนข้างหอกลอง หวังทงโดดลงจากม้า พอก้าวขึ้นบันไดหน้าประตูก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ออกคำสั่งไปว่า
“รีบถ่ายทอดคำสั่งข้า พวกที่ด่านภาษีนอกจากเจ้าพนักงานบัญชีที่เชิญมาใหม่ ทุกคนไปที่ค่ายรับโทษโบยคนละห้าที หักเงินเดือนเดือนนี้ เจอข่มขู่กลับหัวหดไม่สู้ ครั้งหน้าจะลงโทษหนัก!!”
ทหารรับคำ หวังทงก้าวยาวๆ เข้าไปในจวน
แต่ละคนกำลังทำงานของตน ซุนต้าไห่ยังคงจับตาดูเงินเข้าออก หยางซือเฉินกำลังวิ่งรอกตรวจดูการจดบัญชี
ห้องหนังสือของหวังทงมีทหารอารักขาหกคน เฝ้าทั้งวันทั้งคืน ไม่รู้ว่าทำไม หวังทงจัดเวรยามที่นี่แน่นหนา และยังให้ผลัดเวรกันอย่างเคร่งครัด พวกทหารย่อมทำตามอย่างไม่กล้าโต้แย้ง ทว่าก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ห้องหนังสือก็เป็นห้องหนังสือห้องเดิม มีแต่ไช่กงกงเข้าออก หรือว่ามีอะไรผิดปกติงั้นหรือ
************
กลางห้องหนังสือมีโต๊ะขนาดใหญ่วางเรียงกันสองตัว ด้านบนมีเอกสารวางอยู่หลายตั้ง ไช่หนานอยู่ที่นั่นในชุดรัดกุมกำลังทำงานหัวหมุน โต๊ะน้ำชาอีกด้านหนึ่งยังวางสำรับอาหารเย็นอยู่ ไช่หนานมองไปมองมาก็หันไปหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนข้อความลงบนกระดาษตัดเป็นเส้น จากนั้นก็หยิบเม็ดข้าวขึ้นแปะแผ่นกระดาษตัดเส้นเข้ากับกระดาษอื่นอีกสองสามแผ่น
พอเห็นหวังทงเข้ามาก็รีบก้าวเข้ามาทักทาย สองตาไช่หนานแดงก่ำด้วยเพราะอดหลับอดนอนมา หวังทงเห็นสภาพแล้วก็อดถอนหายใจกล่าวขึ้นไม่ได้ว่า
“ไช่กงกง ลำบากท่านแล้ว ข้าเองก็ไม่มีเวลา อ่านได้รอบหนึ่งก็ต้องไปวุ่นกับงานอื่น”
ไช่หนานยิ้มอย่างเหนื่อยล้ากล่าวว่า
“ไม่อาจกล่าวว่าลำบาก นี่เป็นการเหน็ดเหนื่อยกับงานของข้าเอง หากใต้เท้าอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็คงผ่านไปไม่ง่ายนัก!”
หวังทงไม่รับคำ เดินไปที่โต๊ะหนังสือ หยิบเอกสารที่แปะกระดาษตัดขึ้นมาซ้อนกัน เอ่ยว่า
“หลายวันก่อนเมืองหลวงมีจดหมายมา จางกงกงบอกว่าได้ทูลกับฝ่าบาทว่าหากจะปกป้องข้า ไม่ควรอนุญาตให้ตรวจสอบ ฝ่าบาทตรัสว่าเทียนจินชัดเจนทุกเรื่อง ตรวจไม่พบอันใดเป็นแน่ ให้ตรวจไปก็แล้วกัน ไยต้องโต้เถียงกับพวกขุนนางให้เหนื่อยด้วย……หึๆ ฝ่าบาททรงเชื่อมั่นในตัวข้ายิ่งนัก!”
ไช่หนานลังเลครูหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ใต้เท้าหวัง ทางเราไม่มีข้อผิดพลาด แต่ทางเมืองหลวงเกรงว่าแม้ไม่มีข้อผิดพลาดก็จะหาข้อผิดพลาดให้ได้ พวกทำงานไม่ได้เรื่องจะตรวจหาข้อผิดพลาดเก่งอันดับหนึ่ง ทนไม่ได้ที่คนอื่นทำงานได้ดี ต้องระวังให้ดี”
หวังทงกำลังสนใจเอกสารหนึ่งอยู่ อ่านไปครู่หนึ่งก็กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบขึ้นว่า
“พวกบุคคลเช่นหมูหมากาไก่พวกนี้ ไม่รู้ว่าใครบงการเบื้องหลัง คิดจะมาตรวจสอบข้า ฝันไปเถอะ”
“ไช่กงกง ว่ากันว่าตอนแรกโจวกงกงลังเลอยู่มาก คิดว่าครั้งนี้ข้าคงจบสิ้นแล้ว หากไช่กงกงกลับระงับตนไว้ได้ ยังเชื่อมั่นในตัวข้างั้นหรือ?”
ไช่หนานขยี้ตาตนเอง กล่าวอย่างหนักแน่นว่า
“โจวกงกงเสียท่าไป แต่ยังอยู่แต่ในวังต่อ เรื่องพวกนี้เกรงว่าคงยากที่จะคิดได้ สำหรับข้าน้อยสุขทุกข์และชีวิตขึ้นกับใต้เท้า ไม่เชื่อมั่นในใต้เท้าแล้วจะเชื่อมั่นในผู้ใด”
หวังทงตะลึง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ พอหัวเราะจบก็กล่าวเพียงแค่ว่า
“เจ้าเชื่อคนไม่ผิด!”
***************
วันที่ 17 เดือนสาม กรมทหาร กรมอากร สำนักองครักษ์เสื้อแพรและสำนักส่วนพระองค์กับสำนักอาชาหลวงในวังก็ร่วมมือกันมาเทียนจินตรวจสอบหวังทง นายกองตรวจการอวี๋จี้หย่งและขันทีสวีกว่างออกไปต้อนรับนอกเมืองระยะห่างสามสิบลี้