ตอนที่ 384 แค่พี่น้องเท่านั้น ไม่อาจกล่าวได้ว่าสนิท
ซุนไห่จากวังหลวงไปหนึ่งเดือนแล้ว วังหลวงก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ
ทุกวันฮ่องเต้ว่านลี่ก็จะไปถวายคำรับไทเฮาฉือเซิ่งและไทเฮาเหรินเซิ่งที่ตำหนัก จากนั้นก็จะเสด็จยังหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อเพื่อประชุมขุนนาง พอเสร็จจากประชุมก็มักจะมีเวลาเรียนอีกราวหนึ่งชั่วยาม มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง จางซื่อเหวยแห่งกรมทหารและเซินสือหังแห่งกรมพิธีการก็มาสอนความรู้ด้วย
ตอนบ่ายก็ไปห้องทรงอักษรจัดการฎีกาต่างๆ ตามปกติ จากนั้นพอเวลาพระกระยาหารค่ำก็จะเสด็จยังตำหนักฉือหนิงกงเสวยกับไทเฮาฉือเซิ่ง หากอ๋องลู่ไม่อยู่ ก็จะต้องพาฮองเฮาไปด้วย พอเสวยเสร็จ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็จะกลับไปทรงงานที่ห้องทรงอักษรอีกสักพักก่อนจะเสด็จเข้าบรรทม ณ ตำหนักฮองเฮา
ชีวิตประจำวันเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นนี้ สีพระพักตร์ว่านลี่เองมีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คำถามใฝ่รู้ก็มีไม่น้อย การแสดงออกถึงการ ‘กลับเนื้อกลับตัว’ ของฮ่องเต้ว่านลี่ ทำให้ในวังนอกวังสรรเสริญอย่างมาก
แต่จางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์กลับรู้ดีกว่า ยามอยู่กับฮ่องเต้ว่านลี่ในห้องทรงอักษรสองคน มักจะไม่ทรงอ่านฎีกา แต่กลับประทับนั่งเหม่อลอย
หลังจากเจ้าจินเลี่ยงกล้าทูลยับยั้งที่อุทยานปัจจิม สถานะก็ไม่เหมือนเดิม ในวังต่างกล่าวกันว่าไทเฮาฉือเซิ่งและเฝิงกงกงต่างชื่นชม
ประเด็นสำคัญก็คือฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกผิดกับเจ้าจินเลี่ยง เรื่องถึงที่สุด พิสูจน์ว่าเจ้าจินเลี่ยงทำได้ถูกต้อง ยังต้องถูกตีจนบาดเจ็บไปทั้งตัว
ทุกอย่างผ่านไปอย่างไม่ทันรู้ตัว เจ้าจินเลี่ยงได้เลื่อนเป็นขันทีระดับสองในสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ ตำแหน่งนี้ไม่มีอำนาจในมือ แต่ก็เป็นตำแหน่งที่มียศเท่าขุนนางระดับหก เจ้าจินเลี่ยงทุกวันก็ยังทำหน้าที่เดิมก็คือเฝ้าหน้าประตูห้องทรงอักษร ติดตามรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ว่านลี่ คนมีสายตากว้างไกลก็มองออกว่าได้ถูกวางตัวไว้ใช้งานในวันหน้าแล้ว
***********
วันที่ 6 เดือนห้า เทศกาลบะจ่างในวังไม่มีกิจกรรมพิเศษอันใด มีเพียงออกเก็บใบต้นเฮา ผูกด้ายแดงและกินบะจ่าง เทศกาลบะจ่างก็ผ่านไปอย่างเรียบง่าย
คืนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ฮ่องเต้และอ๋องลู่ต่างก็เสวยพระกระยาหารค่ำกับไทเฮาฉือเซิ่งที่ตำหนักฉือหนิงกง ตั้งแต่อภิเษกไป ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ค่อยได้กลับมาที่พระตำหนักฉือหนิงกงบ่อยนัก
แต่หลังจากเกิดเรื่องที่อุทยานปัจจิม ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เริ่มกลับมาเป็นแบบเมื่อก่อน แรกเริ่มนั้นดูเก้กัง แต่เมื่อพบว่าไทเฮายังคงเหมือนเดิม เช่นนั้นก็เป็นดังเดิมที่เคยเป็นมา
อ๋องลู่ปีนี้อายุใกล้จะ 12 ชันษา หลายเดือนมานี้ก็ร่าเริงกว่าเมื่อก่อนมาก บนโต๊ะอาหารก็จะชวนคุยสรวลเสเฮฮา ไทเฮาฉือเซิ่งก็มักทรงฟังไปยิ้มไป
“เสด็จแม่ เสด็จพี่ วันก่อนหม่อมฉันไปเที่ยวจวนท่านตา ท่านตาให้กำไลเก้าห่วงที่มาจากซูโจวมาให้หม่อมฉันเล่น สนุกมากเลยทีเดียว”
อ๋องลู่พูดอย่างตื่นเต้น ไทเฮาฉือเซิ่งก็ยิ้มพยักหน้า ว่านลี่กลับเอาแต่ถือชามข้าวกินข้าวไปอย่างเซ็งๆ กินไปไม่กี่คำก็หมด วางชามลง ขันทีด้านหลังก็จะเข้ามาเติม ว่านลี่โบกมือปฏิเสธ ขันทียังส่งน้ำแกงมาให้อีกชาม ว่านลี่หยิบช้อนค่อยๆ ซด
“เสด็จแม่ สองวันก่อนหย่งเซิ่งป๋อส่งของมาให้ลูก คนส่งของบอกว่า พ่อบ้านที่จวนถูกคนรุมทำร้ายที่เทียนจิน ยังถูกปรับเงินอีกก้อนโตด้วย……”
ขณะยังกล่าวไม่จบก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่ขัดขึ้น ทรงวางช้อนลงในชามเสียงดังเคร้ง ว่านลี่ตรัสว่า
“เรื่องนี้เราก็รู้ พ่อบ้านนั่นสร้างสถานการณ์คิดต้มตุ๋นร้านค้าผู้อื่น หวังทงพบเข้า ตอนกล่าวกันด้วยเหตุผลยังเอ่ยชื่อหย่งเซิ่งป๋อมาข่มผู้อื่น ปรากฎหวังทงจับส่งไปศาลชิงจวิน รับสารภาพหมด ยังบอกว่าการกระทำของพ่อบ้านผู้นี้ใช่ว่าทำมาแค่ครั้งเดียว”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เรียบเฉย ตรัสน้ำเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไร้เดียงสาของอ๋องลู่ค่อยๆ จางหายไป ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสต่ออีกว่า
“อ๋องลู่ ไม่ช้าไม่นานก็ต้องออกจากวังหลวงแล้ว เรื่องบางเรื่องก็ต้องรู้ไว้ ต้องระวังเครือญาติเอาชื่อเสียงราชวงศ์ออกไปวางอำนาจ ทำเสียเกียรติราชวงศ์ คนของหย่งเซิ่งป๋อทำเกินไปจริงๆ ตระกูลอยู่ที่ซานซีทำการค้ากับนอกด่าน ราชสำนักยังมอบเบี้ยรายปีให้อีก หรือว่าขัดสนเงินทอง ยังต้องแย่งชิงกับราษฎรกัน!? เขียนจดหมายไปปรามบ้าง”
อยู่ๆ ก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่ขัดขึ้นและอบรมไปยกใหญ่ สีหน้าอ๋องลู่ก็ไม่สู้ดี อย่างไรก็เป็นเด็กอายุแค่ใกล้จะ 12 ไม่ได้ผ่านประสบการณ์อันใดมามากนัก การบังคับอารมณ์ก็ย่อมไม่อาจทำได้ดี พอได้ยินตอนสุดท้ายก็เบ้ปากโดดลงจากเก้าอี้ คุกเข่าทูลว่า
“เสด็จพี่ฮ่องเต้สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว น้องจะกลับไปเขียนจดหมายเดี๋ยวนี้”
สีพระพักตร์ว่านลี่เผยรอยยิ้ม เอื้อมพระหัตถ์ดึงอ๋องลู่ขึ้นมาตรัสว่า
“ครอบครัวกินข้าวกัน ไยต้องคุยเรื่องพวกนี้ด้วย หากยังคุกเข่าต่อ เสด็จแม่ก็จะไม่พอพระทัยแล้วนะ รีบลุกขึ้นๆ”
อ๋องลู่ลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง พยักหน้าอย่างนอบน้อม กลับไปนั่งที่ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารต่างไปจากเมื่อครู่ สีพระพักตร์ไทเฮาแม้ว่าจะมีรอยยิ้ม แต่ก็ค่อยๆ เริ่มจางลง
ฮ่องเต้ว่านลี่หรี่ตามองรอบๆ ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นดื่มน้ำแกงไปอีกสองคำ ตรัสว่า
“เสด็จแม่ วันนี้กรมทหารกับกรมอากรมีฎีกามาว่าเมืองต้าถง เมืองเซวียนฝู่ เมืองจี้โจวและเมืองเหลียวโจวขาดแคลนเสื้อกันหนาว ยามนี้ก็ต้องกำหนดจำนวน ถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ต้องส่งไปแล้ว”
ไทเฮาฉือเซิ่งวางตะเกียบลงพยักหน้าตรัสว่า
“ชายแดนยากลำบาก เรื่องนี้ก็สมควรอยู่ ฮ่องเต้สั่งการไปก็แล้วกัน ไม่ต้องถามแม่”
ตรัสจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เผยรอยยิ้มมุมพระโอษฐ์ ตรัสต่อว่า
“เสื้อกันหนาวจำนวนมาก กรมอากรก็ต้องไปจัดหาเอาจากพ่อค้าหลายแห่ง กิจการฝ้ายของอู่ชิงโหวเองก็ไม่เล็ก ลูกว่าให้อู่ชิงโหวดำเนินการก็แล้วกัน เช่นนี้ทุกอย่างจะได้ราบรื่นดี”
อู่ชิงโหว หลี่เหว่ยเป็นบิดาไทเฮาฉือเซิ่ง เป็นตาของฮ่องเต้และอ๋องลู่ ย่อมเป็นพระญาติ พระดำรัสก่อนหน้าอาจทำให้ทรงเข้าใจผิดไปได้
อย่างไรก็ตามการจัดซื้อเสื้อผ้าฤดูหนาวของทั้งสี่เมืองนี้ก็เป็นจำนวนหลายแสนตัว ไม่รู้ว่าต้องใช้ฝ้ายและผ้าเท่าไร คิดดูแล้ว เงินทองก็ต้องไหลไปราวกับสายน้ำ ไม่ว่าผู้ใดรับไปดำเนินการ ตั้งใจค้าขายไม่เท่าไรก็ย่อมได้เงินกำไรก้อนโต เงินทองที่ฟ้าประทานโอกาสมาให้เช่นนี้
ฮ่องเต้ว่านลี่เป็นผู้หยิบยื่นงานนี้ให้อู่ชิงโหว ก็เท่ากับส่งเงินก้อนโตให้อู่ชิงโหว ไทเฮาอย่างไรก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นบุตรสาวอู่ชิงโหว เห็นลูกชายตนดูแลบิดาอายุมากของคน ในใจก็ย่อมยินดี
“ฮ่องเต้มีใจ แต่เรื่องเสื้อกันหนาวชายแดนเป็นเรื่องใหญ่ ให้อู่ชิงโหวไปดำเนินการ จะเหมาะหรือ!”
“เสด็จแม่กังวลไปแล้ว มีอันใดไม่เหมาะ เรื่องนี้ต้องดำเนินการ ใช่ว่าต้องให้พวกขุนนางหกกรมหรือชนชั้นสูงคนอื่นไปจัดการแบ่งกันหรอกหรือ อู่ชิงโหวทำงานรอบคอบ ได้ท่านตาดำเนินการเอง ลูกก็วางใจ”
ฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวอย่างมั่นใจ ไทเฮาฉือเซิ่งเองก็พยักหน้าเห็นด้วย อ๋องลู่หรี่ตาขวามองมา ยกชามข้าวบดบังใบหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงกินเอากินเอา
*************
“จางปั้นปั้น เอาผ้าร้อนมาหน่อย เมื่อยหน้ามาก”
หลังพระกระยาหารค่ำ ก็กลับมาที่ห้องทรงอักษรตามปกติ พอปิดประตู สีพระพักตร์ว่านลี่ก็ไม่มีรอยยิ้ม เย็นชาไร้อารมณ์ดังเดิม รับผ้าเช็ดหน้าจากจางเฉิงมาเช็ดหน้าไปมา ก่อนจะกุมพระพักตร์ตรัสอย่างไร้อารมณ์ว่า
“ข้างนอกบอกว่าอ๋องลู่ปรีชาและมีคุณธรรมมากกันหลายเดือนแล้ว นอกจากสำนักรักษาความสงบแล้ว สำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่เห็นรายงาน ศาลซุ่นเทียนก็นิ่ง หรือว่าคาดหวังให้เกิดอันใดกัน?”
จางเฉิงรีบคำนับทูลทันทีว่า
“ฝ่าบาท เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็แค่วาจาเหลวไหลของพวกโง่เง่าบ้านนอก เฝิงกงกงสองเดือนก่อนก็ตรวจสอบแล้ว ก็แค่พวกที่มาสอนหนังสืออ๋องลู่แอบคุยกัน จึงได้แพร่ขยายในวงกว้าง ไม่มีเรื่องน่าสนใจอันใด เป็นเรื่องเล็กมาก ฝ่าบาทไม่ต้องทรงสนพระทันก็ได้”
ว่านลี่วางผ้าเช็ดมือไว้บนพระพักตร์ สีพระพักตร์เย็นชา ตรัสเสียงเยียบเย็นว่า
“เราฟังแล้วไม่ชอบใจนัก เราไม่อยากได้ยิน พรุ่งนี้สั่งการลงไปจัดการละกัน!”
“น้อมรับพระบัญชา พรุ่งนี้เช้าจะส่งโจวอี้ไปจัดการอย่างรวดเร็ว”
**************
วันที่ 18 เดือนห้า ณ เทียนจิน เริ่มเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวันๆ พื้นที่ริมแม่น้ำทะเลและริมทะเลที่ยังไม่บุกเบิกก็ถูกวาดแผนที่แบ่งออกมา ให้นักวาดภาพมาวาดแผนที่ บนภาพวาดมีถนน มีร้านค้า มีโกดังและลานกว้าง ยังมีสิ่งก่อสร้างต่างๆ
พื้นที่ใหญ่น้อยล้วนมีภาพกระดาษร่างเช่นนี้ มีภาพหลายแผ่นที่พ่อค้าทางใต้มากมายยอมจ่ายเงินซื้อกระดาษร่างเหล่านี้ เพื่อเช่าร้านค้าและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ตนเองถูกใจ
พอได้วางเงินมัดจำแล้วก็จะไปที่ริมแม่น้ำทะเล ไปที่ริมคลองส่งน้ำ ไปในเมืองเทียนจินเพื่อเจรจาการค้ากับพ่อค้าในวงการ ดูสภาพการตลาดกับภาพคนมากมายทะลักเข้าสู่เมืองเทียนจินเพื่อจะหางานทำเลี้ยงชีพน่าจะไปได้ดี
เทียนจินและบริเวณโดยรอบ ทั้งโรงเตี๊ยม ร้านอาหาร หอคณิกา บ่อนพนันและร้านค้าต่างๆ ก็ผุดขึ้นราวกับหน่อไม้หลังฝนตกในฤดูใบไม้ผลิ
ภาพรอบด้านเผยต่อสายตาผู้คนใต้หล้า เทียนจินรุ่งเรืองใหญ่ เป็นความเจริญรุ่งเรืองที่ราวกับแตะหินก็กลายเป็นทองคำ ปรากฎการณ์มหัศจรรย์ที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง
หากจะกล่าวว่ามีความขัดเคืองอยู่บ้าง ก็คงเป็นนักล้วงกระเป๋า ขอทานและนักตุ้มตุ๋นจำนวนมาก ยังมีพระภิกษุนักบวชและแม่ชีปลอม พวกนี้มารวมตัวกันที่เทียนจิน ในเมื่อเป็นดังพื้นที่ทองคำ พวกทั้งหลายก็คิดจะมาหาทางกอบโกยกันที่นี่
หลักการของหวังทงก็คืออย่าได้กระทบความมั่นคง อย่าได้กระทบการค้าของบรรดาพ่อค้า ดังนั้นหน้าที่ของทหารลาดตระเวนก็คือ หากมีการต้มตุ๋นหลอกลวง ไม่ว่าเรื่องใดที่ทำให้ประชาไม่เป็นสุขก็จับกุมให้หมด
เทียนจินตอนนี้ไม่ขาดคนงาน งานก่อสร้างถนนอาคารและทางน้ำ ก็ล้วนต้องการใช้แรงงาน คนหลายพันจากสำนักนาวาสุคนธ์เดิมไม่พอใช้นานแล้ว
วันที่ 18 เดือนห้า อากาศมืดครึ้ม หลังอาหารเช้า ถนนหนทางก็คึกคักดังปกติ พลลาดตระเวนสองนายเดินอยู่บนท้องถนน กวาดตามองคนเดินผ่านไปมาไม่หยุด
กวาดตามองไปมาบนท้องถนนหลายครั้ง ริมแม่น้ำทะเลสงบเรียบร้อยดี ไม่มีเหตุใดต้องเข้าจัดการ ขณะกำลังรู้สึกไม่มันใดทำอยู่นั้น ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งเดินออกมาจากร้านหนึ่ง
พระภิกษุรูปนี้แต่งกายด้วยจีวรสีน้ำตาลออกเหลืองชุดใหม่ สวมรองเท้าผ้าป่าน ด้านหลังแบกกระบุงใบหนึ่ง ในมือถือไม้กระบองสีดำ
พระภิกษุนักบวชออกเรี่ยไรเป็นเรื่องต้องห้าม พวกเขาเกาะหนึบเรี่ยไรขอเงินพ่อค้าเป็นที่น่ารำคาญยิ่ง ทหารสองนายกำลังจะเข้าไปสอบถาม ก็เห็นเถ้าแก่ในร้านวิ่งออกมาส่งหน้าประตู ล่ำลากันอย่างเกรงอกเกรงใจ พระภิกษุรูปนั้นประนมมือตอบกลับ น่าแปลกยิ่ง……