Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 39

ตอนที่ 39 เราพระราชทานให้เจ้า

ในกรมทหารของราชวงศ์หมิงก็ดูเหมือนจะถูกหักเงินมาตามลำดับอย่างไม่มีข้อยกเว้น แม้จะเป็นลูกหลานทหารองครักษ์วังหลวงก็ยังสวมชุดรบเก่าๆ ขาดๆ ไม่ค่อยได้เห็นชุดใหม่

ชุดเกราะที่สมบูรณ์งดงามหาได้ยากยิ่ง พวกเขาเดินมาทั้งหมด 12 คน คนเหล่านี้มองดูแล้วไม่เหมือนเป็นกองเดียวกันเพราะแยกกันเดินไปมาบนท้องถนน แต่หวังทงพอได้เห็นแล้วก็รู้สึกไม่ถูกต้องนัก องครักษ์ประจำพระองค์สวมชุดงดงามดูเหมือนมาเดินเที่ยวเล่นกัน แต่ที่เดินไปนั้นก็คือที่ๆ คนบนท้องถนนรวมกลุ่มกันมากๆ

พวกเขาเดินไปที่นั่น ก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง ขันทีและองค์รักษ์ที่รวมกันอยู่ก็เดินกระจายออกไปสองข้างถนน หวังทงรู้สึกได้ทันทีว่าผู้ใดกำลังจะมา

การรู้กับไม่รู้ จิตใจย่อมแตกต่างกัน ในร้านไม่มีลูกค้า หวังทงส่งคนงานในร้านออกไปรอจางซื่อเฉียงที่ทางปากทาง หากเขากลับมา ก็จะได้เอาของไปไว้ที่ร้านด้านข้างเลย ไม่ต้องเผชิญหน้าให้ต้องกระอักกระอ่วน เขาเดินไปดูที่นั่งที่เจ้าเด็กอ้วนมักจะนั่ง ตรวจสอบว่ามีคราบฝุ่นมันติดอยู่หรือไม่

คนงานในร้านทำงานกันอย่างมีระบบแล้ว งานปัดกวาดเช็ดถูกพวกนี้ก็ทำได้ละเอียดยิ่ง แต่ก็ยังรู้สึกไม่วางใจนัก

****

ผ้าม่านเปิดออก จางเฉิงที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเทากับเจ้าเด็กอ้วนก็เดินเข้ามาด้วยกัน

จางเฉิงร่างอ้วนครั้งนี้ใบหน้าไม่ติดหนวดเคราปลอมแล้ว ใบหน้ากลมอ้วน ขาวๆ ดูแล้วอ่อนโยนอย่างมาก เจ้าเด็กอ้วนก็ห่อหุ้มอย่างแน่นหนา ตอนเดินเข้ามานั้นก็ถอดหมวกวางไว้ด้านข้าง

ใบหน้ากลมเกลี้ยงของเจ้าเด็กอ้วนดูไม่ค่อยพอใจ จ้องมองมาที่หวังทงอย่างนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จางเฉิงกิริยาเนิบนาบพยักหน้าให้หวังทง

หวังทงในใจรู้สึกไม่ได้การแล้ว คิดว่าพวกขุนนางผู้ใหญ่พากันมามากมายและถามอะไรกันแปลกๆ จากนั้นก็ไม่เห็นบอกกล่าวอะไร ข้าควรทำอย่างไรต่อหน้าเจ้าเด็กอ้วนนี่ดี

สมองหมุนอย่างเร็ว หวังทงก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ในเมื่อยังไม่เปิดเผย เช่นนั้นก็ปฏิบัติต่อแบบไม่เปิดเผยละกัน สุดท้ายกัดฟันเอ่ยทักด้วยใบหน้าที่เต็มไปรอยยิ้มว่า

“อากาศหนาวอย่างนี้ ท่านทั้งสองดื่มน้ำซุปร้อนสักชามก่อน ซานเอ๋อร์รีบยกมา อย่าลืมใส่พริกไทยหน่อย…”

ซุปกระดูกแพะร้อนๆ สองถ้วยวางลงบนโต๊ะ น้ำแกงสีขาวราวหิมะ ดูก็รู้ว่าต้มมาได้ที่แล้ว อากาศหนาวๆ ดื่มซุปร้อนๆ ทำให้รู้สึกสบายอย่างยิ่ง

แม้ว่าเจ้าเด็กอ้วนผู้นั้นจะไม่พอใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบช้อนตักซดไปหนึ่งคำ พอซดไปแล้ว ก็ขมวดคิ้ว ใบหน้าแปลกใจ มองจ้องหวังทงถามว่า

“น้ำซุปรสชาติสดใหม่กลมกล่อมเช่นนี้ ทำได้อย่างไร?”

จางเฉิงที่อยู่ด้านข้างพอได้ยินเจ้าเด็กอ้วนถามอย่างประหลาดใจก็อดที่จะชิมไปคำหนึ่งไม่ได้ ปฏิกิริยาของเขาก็ตกตะลึงไปเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะมองมาที่หวังทงด้วยแววตาประหลาดใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรยากาศอึดอัดเล็กน้อยในร้านเมื่อสักครู่นี้ก็คลายลงไปไม่น้อย จางเฉิงลิ้มลองไปอีกคำ จับรสชาติในปากแล้วก็แยกแยะออกว่า

“รสซอสเปรี้ยวกับพริกไทยบวกกับกระดูกแพะ รสชาติดีเพราะตุ๋นออกมา แต่ความสดใหม่นี่ทำได้อย่างไร แม้แต่ห้องเครื่อง…ที่นั่น”

คำพูดถูกตัดไป กลืนคำว่าห้องเครื่องในวังลงไป เจ้าเด็กอ้วนพอได้ยินสีหน้าก็อึมครึมลง หวังทงได้แต่ทำเป็นไม่เห็น ยิ้มอธิบายว่า

“กระดูกแพะอย่าเลาะสะอาดมากไป ตอนต้มใกล้เดือดก็ใส่หางปลาที่ต้มสุกแล้วลงไป จะไม่คาวแต่กลับดึงรสชาติสดใหม่ออกมา”

ในสมัยยุคปัจจุบัน หวังทงใช้ชีวิตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแม้ไม่นับว่ามีชีวิตที่ดีอะไร หลังทำงานจึงดีขึ้นได้ นอกจากงานเลี้ยงในวงการงานแล้ว ยังชอบออกไปหาความบันเทิงข้างนอก ยามว่างที่บ้านก็ทำอะไรกินไปเรื่อย

ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีฝีมือทำครัว แต่ก็ได้เห็นได้ยินมามาก หอเลิศรสก็มีพ่อครัว ก็ทำตามคำแนะนำของหวังทง

วิธีการทำน้ำซุปมาจากกวางตุ้งที่ใช้ปลามาปรับรสชาติ เป็นเทคนิคพื้นฐานตอนตุ๋นน้ำซุป หวังทงยามนี้จึงได้ลองดู ผลก็ไม่เลว

จางเฉิงผู้นั้นได้ยินก็พยักหน้ารับรู้ เจ้าเด็กอ้วนพอเข้าใจแล้ว ก็ดวงตาเป็นประกายตบลงบนโต๊ะ กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า

“อักษรคำว่าแพะกับอักษรคำว่าปลารวมกัน ก็เป็นคำว่า ‘สด’ ใช่ไหม?”

ท่าทางเงียบขรึมไปเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นดีใจยิ้มแย้ม สำหรับคนที่อยู่สูงที่สุดแล้ว เหตุเห็นความสุขก็ง่ายมาก

น้ำซุปกระดูกแพะไม่ใช่อาหารหม้อใหญ่ แต่เห็นของที่หวังทงปรุงพิเศษ เห็นเจ้าเด็กอ้วนดีใจ สามชั้นน้ำแดง ไชเท้าตุ๋นเนื้อวัว ยังมีกุ้งแห้งคลุกผักกาดขาวก็ทยอยยกมา

กลิ่นหอมอบอวลของอาหารไม่ต้องพูดถึง กุ้งแห้งที่ว่าคือกุ้งตัวใหญ่อบแห้ง ใจผักกาดหั่นฝอย กินแล้วสดชื่นลื่นคอ สองคนตรงหน้าก็ยังไม่ได้กินข้าว จางเฉิงกินอย่างระวัง แต่เจ้าเด็กอ้วนกลับกินคำโตๆ อย่างเอร็ดอร่อยมาก

หวังทงคิดไปคิดมาก็คิดว่ากลับไปนั่งที่มุมร้านดีกว่า ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เปิดเผย เช่นนั้นก็แกล้งไม่รู้ละกัน พยายามแสดงออกให้เป็นธรรมชาติหน่อย

ตอนท้องหิวก็กระวนกระวาย พอกินอิ่มแล้วก็พอใจ พอเจ้าเด็กอ้วนกินข้าวหมดไปสองชามก็ถอนหายใจยาว สีหน้ามีความสุขอย่างมาก เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น

“จางปั้นปั้น[1] ให้คนในร้านออกไป เหลือแต่หวังทงไว้”

จางเฉิงที่นั่งเอียงตัวอยู่ด้านข้างรีบลุกขึ้น โบกมือให้คนงานที่กำลังยุ่งอยู่ในร้าน หวังทงจึงได้แบ่งคนออกไปช่วยงานร้านด้านข้างทั้งสองด้าน

พอในร้านมีแค่สามคน สีหน้าเจ้าเด็กอ้วนนั้นก็ขรึมลง จ้องมองหวังทงถามว่า

“หวังทง เจ้ารู้ไหมว่าเราเป็นใคร?”

วาจากล่าวถึงขั้นนี้ หวังทงรีบลุกขึ้นยืนก้มตัวกล่าวว่า

“ข้าน้อยพอเดาได้ แต่ไม่มีใครบอกข้าน้อยให้ชัดเจน ดังนั้นจึงไม่กล้าคาดเดาไปเอง”

“เราก็คือโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน มหาขันทีเฝิงและท่านจางต่างก็มาดูเจ้าที่นี่ คาดว่าในใจเจ้าก็คงเดาได้แล้วว่าเราคือใคร!”

วาจาเยิ่นเย้อจบลง หวังทงก็ไม่อาจแกล้งไม่รู้ได้อีก จึงรีบลุกมาคุกเข่าถวายคำนับกล่าวว่า

“ข้าน้อยหวังทงถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

เรื่องที่เปิดเผยออกมาไม่มีผลดีอะไรกับตนแม้แต่น้อย ในใจหวังทงรู้ดี แต่สถานการณ์มาถึงขั้นนี้ ก็ได้แต่ถวายบังคมแบบเจ้านายกับขุนนางเช่นนี้

ใบหน้าฮ่องเต้ว่านลี่ที่นั่งอยู่เต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย หันไปทางจางเฉิงที่คอยรับใช้อยู่ด้านข้างบ่นว่า

“จางปั้นปั้น กว่าจะมีที่ให้ ‘แต่งกายแบบสามัญชน’ ก็ยากอย่างนี้ เขาไม่รู้จักเรา เรื่องน่าสนุกเช่นนี้ เจ้ายังให้เสด็จแม่ทรงทราบ เจ้าดูสิ เฝิงกงกงก็รู้ ท่านจางก็รู้ หวังทงยังนอบน้อมเช่นนี้ หากวันหน้ามาที่นี่อีกจะมีอะไรให้น่าสนใจ!”

ได้ยินคำบ่นของฮ่องเต้ว่านลี่ ในใจหวังทงก็รู้สึกร้อนใจอย่างมาก โอกาสยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้าตน หากไม่อยากมีชีวิตที่เรียบง่ายไปตลอด ก็ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ แต่สถานะที่แตกต่างราวฟ้าดิน ทำให้ตนเองไม่มีโอกาสได้ออกตัวเลย ทำอย่างไรดี!?

ฮ่องเต้ว่านลี่บ่นจบ มองหวังทงที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลนิ่งเรียบว่า

“วันที่เจ้าเสียงดังถามขึ้นนั้น กลับทำให้เราได้คิดเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง เห็นเสด็จแม่พอพระทัย ยังได้รับคำชมจากท่านจาง ความดีพระทัยของเสด็จแม่ก็คือความดีใจของเรา ว่ามา เจ้าต้องการสิ่งใด เราจะพระราชทานให้เจ้า?”

โอรสสวรรค์เอ่ยปากถามว่าเขาต้องการปูนบำเหน็จใด นี่เป็นสิ่งที่คนปกติไม่อาจคิดฝันว่าจะมีโชคใหญ่เช่นนี้ได้ แต่หวังทงรู้ดีว่า หากตัวเองต้องการการปูนบำเหน็จขึ้นมา เกรงว่าก็คงจบแค่นี้ สูญเสียฮ่องเต้ที่ชอบความแปลกใหม่และความท้าทายไป และจะไม่มาที่นี่อีก ทุกอย่างก็จะไม่เหลืออะไรเลย

……………

[1] ในสมัยราชวงศ์หมิง ฮ่องเต้จะเรียกขานขันทีคนสนิทว่า ปั้นปั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version