ตอนที่ 40 เรื่องยากหากมีทางออก
เมื่อฮ่องเต้ว่านลี่แสดงฐานะ จางเฉิงผู้นั้นก็ไม่ได้นั่งลงต่อ พอได้ยินฮ่องเต้ทรงรับสั่งถาม จางเฉิงที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้างก็อดมองมายังหวังทงที่คุกเข่าอยู่ไม่ได้ จากนั้นก็ก้มหน้าต่อ
ทอดพระเนตรเห็นท่าทางลังเลของหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เสวยอิ่มแล้วก็ไม่รีบร้อน หากตรัสขึ้นว่า
“ไม่ต้องคุกเข่า ลุกขึ้นพูด”
หวังทงขอบพระทัยก่อนจะลุกขึ้น พลันกล่าวตอบเสียงเบาๆ อย่างไม่รอช้าว่า
“ฝ่าบาท ของที่ห้องเครื่องในวังปรุงนั้นรสชาติย่ำแย่มากหรือพะย่ะค่ะ เห็นทุกครั้งที่ฝ่าบาทเสด็จมาที่ร้านข้าน้อยจะเสวยอย่างพอพระทัยเช่นนั้น!”
เดิมคิดว่าจะขอตำแหน่งเงินทอง คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับถามออกมาเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงนิ่งไป ก่อนจะพรั่งพรูตอบว่า
“พวกห้องเครื่องหลวงคร่ำครึพวกนั้น ทำอะไรออกมาจืดชืดไร้รสชาติ ยกมาถึงเมื่อไรก็เย็นชืด บอกว่าทำกันไว้ตั้งนานแล้วอุ่นอยู่ในลังนึ่ง ทุกวันมีแต่เนื้อแพะ พอบอกไป ก็คุกเข่าลงกับพื้นกล่าวว่าเป็นธรรมเนียมบรรพชน กินได้ที่ไหนกัน!”
“ทูลฝ่าบาท อาหารของข้าน้อยที่นี่เป็นอย่างไรพะยะค่ะ?”
ไม่ทันรู้ตัว หัวข้อก็เบี่ยงกลับไปที่ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ว่านลี่เลียพระโอษฐ์ไปมา ยกตะเกียบขึ้นมาคีบกุ้งแห้งคลุกใจผักจานนั้นต่อ พยักพระพักตร์ตรัสว่า
“อย่างน้อยที่นี่ก็ทำได้หอม ทำได้สด ใช้ไฟเคี่ยวพอดี กินแล้วก็รู้สึกสบาย”
หวังทงก้าวเท้าขึ้นหน้าไปสองสามก้าว ยิ้มกล่าวว่า
“ฝ่าบาทก่อนเสด็จมายังร้านข้าน้อยคงไม่ได้เสวยมากระมังพะยะค่ะ?”
“ต้องออกว่าราชการ ต้องเรียนหนังสือ ช่วงอาหารเที่ยงยังต้องเรียนรู้การประหยัดมัธยัสธ์ ก็เลยมากินที่ร้านเจ้าเลยนี่ไง!”
หัวข้อที่จะทรงปูนบำเหน็จรางวัลกลายมาเป็นกินข้าวอย่างไม่รู้ตัว หวังทงยิ้มยอบกายกล่าวว่า
“พรุ่งนี้ทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จมาอีกครั้ง ข้าน้อยมีของใหม่ให้ทรงชิม ลองฝีมือของร้านข้าน้อยดู”
“ดี ดี พรุ่งนี้เราจะมาอีกแน่นอน!!”
แม้ว่าเป็นโอรสสวรรค์ แต่ก็เป็นโอรสสวรรค์ที่อายุเพียงแค่ 13 ปี นับประสาอะไรกับการเป็นโอรสสวรรค์ที่มีไทเฮา เฝิงเป่า จางจวีเจิ้งเหล่านี้คอยพิทักษ์ปกป้องและอบรมจนเติบใหญ่
ฮ่องเต้ว่านลี่ในยามนี้ยังไร้เดียงสาอยู่มาก นิสัยก็ยิ่งกว่าเด็ก ลืมเรื่องที่ตรัสจะปูนบำเหน็จรางวัลไปอย่างไม่ทันรู้ตัว ท่าทางดีใจคิดถึง ‘ของใหม่’ ในวันพรุ่งนี้ หลังจากเสวยซุปร้อนไปอีกคำก็อดตรัสถามขึ้นไม่ได้ว่า
“ของใหม่อันใด?”
“ฝ่าบาทโปรดอภัยที่ข้าน้อยไม่อาจกราบทูล พรุ่งนี้จะทรงทราบเองพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์อย่างตื่นเต้นดีพระทัย ไม่กี่คำก็กวาดกุ้งแห้งผักกาดขาวจานนั้นจนเกลี้ยง ลุกขึ้นเตรียมจะจากไป กลับมองมาที่หวังทงด้วยสายตาสงสัย ถามแปลกๆ ว่า
“หวังทง เจ้าปีนี้อายุเท่าไร?”
“ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยปีนี้อายุ 13 ปี 5 เดือนพะยะค่ะ”
“ยังน้อยกว่าเราหลายเดือน ทำไมตัวสูงใหญ่ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันๆ กว่าเสด็จแม่จะประทานอนุญาตให้เราได้ออกมา ตอนบ่ายยังต้องฟังหวังกั๋วกวงสอนประวัติศาสตร์…”
กระซิบคุยกันอีกสองสามประโยค ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงรับการประคองลงจากเก้าอี้ของจางเฉิง โบกพระหัตถ์เสด็จออกจากร้านไป หวังทงรีบคุกเข่าน้อมส่งเสด็จ
ก่อนออกไป จางเฉิงหันกลับมาพยักหน้าให้หวังทง ราวกับว่าไม่ได้ต้องการทักทายหากแต่มีจุดประสงค์อื่น
พอฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จจากไป หวังทงก็ลุกขึ้นไปนั่งที่มุมเดิม เริ่มคิดอย่างหนัก เดิมเขาไม่ใช่พ่อครัว ตอนนี้ก็เอาสิ่งที่สะสมไว้ออกมาไม่น้อยแล้ว จะคิดถึงของแปลกใหม่ออกมาได้ นั่นเป็นเรื่องยากยิ่ง
ตอนบ่ายหวังทงก็ไม่ได้อยู่ดูแลร้าน แต่กลับไปที่ห้องรับแขกในบ้านนั่งคิด พ่อครัวหอรุ่งเรืองเป็นพ่อครัวเก่ง จึงได้ให้คนไปเชิญมา
เอ่ยชื่ออาหารและของหวานที่จำได้ว่าเคยกินเคยเห็น หรือเคยได้ยินออกมา ดูว่าพ่อครัวผู้นั้นรู้หรือไม่ หากรู้ก็คัดทิ้งไป
พอฟ้ามืดลง หวังทงก็รู้สึกสิ้นหวัง เขารู้จักอาหารมากมาย หากไม่ใช่ของที่มีในยุคนี้เหมือนกัน ก็เป็นของที่หากขาดวัตถุดิบก็ทำไม่ได้ เช่นอาหารจำพวกที่ต้องการพริก พ่อครัวหอรุ่งเรืองที่แม้แต่พริกก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ไม่ต้องเอ่ยถึงพวกมันฝรั่ง มันเทศ หรือข้าวโพดพวกนี้ ทุกครั้งที่เอ่ยออกมาชื่อหนึ่ง แม้แต่ใช้ดินสอถ่านวาดรูปออกมา พ่อครัวผู้นั้นก็อึ้งเป็นใบ้ไปเช่นกัน
สุดท้ายหวังทงจึงได้แต่ก้มหน้าสลด รู้ว่าของเหล่านี้น่าจะยังไม่แผ่หลายมายังเมืองหลวง สัตว์น้ำจากทะเลหรือจากแม่น้ำตอนนี้ในเมืองหลวงก็ยังไม่มีน้ำแข็ง หรือแม้แต่ของตากแห้ง จึงไม่อาจทำอะไรแปลกๆ ออกมาได้
ตอนอาหารเย็น นางหม่ามาตามหวังทงไปกินข้าว หากหวังทงปฏิเสธ เพราะพรุ่งนี้หากไม่มีของใหม่ การรักษาความแปลกใหม่ของฮ่องเต้น้อยไว้ไม่ได้นั้นไม่เท่าไร หากรนหาโทษหลอกลวงเบื้องสูงมาใส่ตนเองด้วยนั่นก็ไม่คุ้มค่าแล้ว
กว่าจะกรุยทางมาสู่สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่ง่ายนัก หากจะทิ้งไปเช่นนี้ก็วางไม่ลงเช่นกัน ทำอย่างไรดี
เสียงระฆังดังมาจากนอกหน้าต่าง เป็นสัญญาณปิดประตูวังจากที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เป็นเวลาดึกมากแล้ว หวังทงตบหน้าผากคิด ให้พ่อครัวหอรุ่งเรืองไปห้าตำลึง กล่าวขอบคุณเสร็จก็ให้กลับไป
หวังทงนั่งนิ่งถอนหายใจอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงคนตบประตู บางทีนางหม่ากับจางซื่อเฉียงและคนอื่นๆ อาจจะมา หรือว่าควรจะบอกเรื่องที่อาจเกิดขึ้น หวังทงรู้สึกกลุ้มใจอยู่บ้าง เห็นทีควรเตรียมการณ์สำหรับเหตุเลวร้ายที่สุดแล้ว
หลังจากพ่อครัวและคนงานหอเลิศรสยุ่งกับการงานมาทั้งวันแล้วก็กลับไป ในร้านเก็บกวาดเรียบร้อย เงียบสลัด หวังทงหยิบไม้ปิดประตูออกก็ต้องตะลึงอึ้งไป
นอกประตูมีคนเพียงคนเดียว เขาก็ไม่รู้จัก คนผู้นี้สวมเสื้อกั๊กสั้นบุใยฝ้ายและหมวกปิดหู แต่งกายแบบชาวบ้าน อายุราว 30 ในมือถือโคมไฟ อีกมือถือห่อผ้า
ในยุคนี้ไม่มีกิจกรรมค่ำคืน นอกจากพวกมีสิทธิพิเศษเท่านั้น นอกนั้นกลางคืนห้ามออกมาเพ่นพ่าน โดยเฉพาะบริเวณใกล้วังหลวงเช่นนี้ เวลานี้หากไม่มีบ้านเรือนบนถนนเส้นนี้แล้วเพ่นพ่านไปมาก็จะถูกทหารม้าลาดตระเวนพบเห็น อาจถึงกับสังหารทิ้งได้โดยไม่ต้องซักถาม แต่คนด้านนอกผู้นี้เห็นชัดว่าไม่ใช่คนที่อยู่บนนถนนทักษิณนี้
“ใต้เท้าหวัง ข้างนอกลมหนาวพัดแรง ให้ข้าน้อยเข้าไปเรียนด้านในได้หรือไม่?”
เสียงแหลมเล็ก หวังทงทงหรี่ตามมองใบหน้าอีกฝ่าย พบว่าไม่มีหนวดเครา ในยุคนี้ผู้ชายต่างไว้ผมไว้หนวด ที่แท้ก็เป็นขันที
หวังทงรู้สึกลังเล แต่ก็ยังหลีกทางให้ เชิญเข้ามาแล้ว ขันทีผู้นั้นพอเข้ามาก็ถอดหมวกหนาออก อาศัยแสงโคมริบหรี่มองการตกแต่งหอเลิศรส ยิ้มกล่าวว่า
“กลางวันแต่ละท่านนัดกันมากินที่ร้านนี้ มาดูของแปลกใหม่ ซึมซับบารมี ข้าน้อยพอดีติดงานจึงได้พลาดไป ใครจะคาดคิดว่าคืนนี้จะถูกส่งมา”
คนผู้นี้พูดจาเนิบนาบ หวังทงกำลังวุ่นวายใจพอดี จึงไม่อยากรับคำ ขันทีผู้นี้หยิบโคมส่องดูในร้านรอบหนึ่ง พอหาตะเกียงเจอก็จุดตะเกียงเอง จากนั้นก็ประสานมือคารวะยิ้มกล่าวว่า
“ข้าน้อยโจวอี้ ขันทีวังใน รองหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์ จางกงกง มีวาจากล่าวแก่ใต้เท้าหวัง!!”
“จางกงกง?”
หวังทงตกใจไปครู่หนึ่ง เขาไม่รู้จักว่าจางกงกงคือผู้ใด ขันทีวัยกลางคนผู้นั้นก็กระแอมไอสองสามที่ อธิบายอย่างกระอักกระอ่วนใจขึ้นว่า
“ก็กงกงท่านนั้นที่มากับฮ่องเต้ในตอนกลางวันผู้นั้น เป็นขันทีประจำพระองค์ในตำหนักบูรพา ตอนนี้เป็นรองหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์”
ไม่รู้เลยจริงๆ แต่ทุกคนก็ทำท่าทางว่าควรรู้อยู่เช่นนั้น หวังทงกล่าววาจาละอายแก่ใจ โจวอี้ก็กล่าวขึ้นอย่างตรงไปตรงมาว่า
“จางกงกงกล่าวว่า ร้านท่านเป็นแค่ร้านเล็กๆ จะมีอาหารแปลกใหม่สักเท่าใดกัน แต่สามารถทำให้ฮ่องเต้เสด็จกลับมาอีกได้ก็ดี คืนนี้จางกงกงให้ข้าน้อยมาบอกวิธีให้ใต้เท้าหวังทราบ!”