Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 391

ตอนที่ 391 บรรดาขุนนางหัวเราะ ฟังไม่เข้าใจ

ก่อนที่จางหงจะเข้ามา บรรยากาศในที่ประชุมนั้นเคร่งเครียด แม้ทุกคนจะพูดกันด้วยรอยยิ้ม แต่ก็แอบปะทะกันเงียบๆ

คิ้วของจางจวีเจิ้งขมวดแน่น หม่าจื้อเฉียงและหลี่โย่วจือก้มหน้าจิบชา ไม่กล้าเอ่ยแทรก จางซื่อเหวยกับเซินสือหังเป็นอันดับหนึ่งในคณะ เป็นขุนนางผู้นำ เกิดเหตุปะทะกันก็ย่อมไม่อาจวางตัววงนอก

จางหงมาได้เวลาพอดี สิ่งที่กล่าวถึงตอนเข้ามา ก็สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้

แต่งตั้งเฉินหลินเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือกวางตุ้งเข้าตรวจสอบพื้นที่มาเก๊า ว่ากันตามจริงแล้วนับเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง หากฝ่าบาทเปลี่ยนแปลงอันใด คณะเสนาบดีใหญ่ย่อมไม่อาจเห็นชอบ

จางหงเข้ามา บรรดาขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่ต่างก็ให้เกียรติไม่น้อย จางจวีเจิ้งและทุกคนก็ลุกขึ้นทักทาย

“จางกงกง มีอันใดไม่เหมือนกันหรือ?”

จางจวีเจิ้งเอ่ยถามขึ้นก่อน จางหงคำนับตอบก่อนจะกล่าวว่า

“ท่านจาง ฝ่าบาทตรัสในที่ประชุมแค่ให้ตรวจสอบโจรสลัดที่มาเก๊า แต่งตั้งเฉินหลินไป แต่จางเฉิงกงกงทางนั้นกลับมีราชโองการจากฝ่าบาทไม่เหมือนกัน เช่นว่า มาเก๊าเป็นพื้นที่การค้า มีทั้งช่างทำปืน ช่างตีมีดดาบ ช่างตีชุดเกราะ ช่างเรือและช่างอื่นๆ แต่กลับทำการค้ากับพวกนอกมหาสมุทร การค้าเหล่านี้เป็นประโยชน์กับพวกโจรได้ง่าย ราวกัยเสริมเกราะเหล็กให้พยัคฆ์ร้าย เฉินหลินไปมาเก๊าครานี้ให้กำจัดคนอาชีพวกนี้ให้เด็ดขาด”

หลายคนในคณะเสนาบดีสบตากัน จางจวีเจิ้งพยักหน้า กล่าวว่า

“ฝ่าบาททรงพิจารณาได้รอบด้าน เป็นพวกเราที่หละหลวม ก็ควรเป็นเช่นนี้ กรมทหารก็มีหนังสือเห็นชอบไปตามนี้ก็พอ!”

หลายคนในคณะเสนาบดีพากันพยักหน้า จางหงส่ายหน้ากล่าวต่อว่า

“ช่างฝีมือเหล่านี้มาที่แผ่นดินหมิงเราก็เพื่อทำการค้าหากำไรเลี้ยงชีพ หากถูกขับไล่ เนรเทศออกนอกทะเลไป ก็ย่อมเป็นโอกาสของพวกโจรสลัดและพวกวัวโค่วมาจับตัวไป จึงให้ทหารเรือคุมตัว ส่งไปเทียนจินให้มด ส่งให้นายกองพันหวังแห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพรคุมตัว รอให้ปราบโจรสลัดหมด ชายแดนทะเลสงบแล้วค่อยส่งคืน……”

ทุกคนพากันอึ้งไป หลี่โย่วจือหลุดหัวเราะออกมา ทุกคนส่งสายตามองไป ก็รีบก้มหน้าลง หลายคนสบตากัน จางจวีเจิ้งส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะตามเช่นกัน

ทุกคนในที่ประชุมอดไม่ไหวพากันส่ายหน้าส่งเสียงหัวเราะดัง แม้แต่จางซื่อเหวยเองก็ยิ้มเฝื่อนๆ อาลักษณ์หลายคนในที่ประชุมก็ปิดปากหัวเราะจนแทบกลั้นไว้ไม่อยู่

“เห็นชัดๆ ว่าหวังทงนั้นหาคนอยู่ พูดเรื่องหลักการมากมายใหญ่โต ฝ่าบาทก็ช่าง……”

หากเป็นเมื่อก่อน จางจวีเจิ้งก็ย่อมถอนหายใจกล่าวว่า “ยังไม่ทรงเจริญชันษา……” แต่วันนี้คิดแล้วก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวหลักการใหญ่โตในที่ประชุม ทุกคนเห็นคล้อยตาม ไม่ได้เอ่ยถึงการพระราชทานความชอบแก่หวังทงสักเรื่อง ดังนั้นที่ประชุมจึงเห็นชอบให้มีราชโองการตามนั้นได้

การวางหมากและยอมอ่อนให้เช่นนี้ รวมทั้งการเอ่ยอ้างเรื่องอื่นก็ดึงความสนใจไปก่อน ไม่อาจเรียกได้ว่าเด็กน้อยแล้ว เห็นได้ว่าพระองค์เติบใหญ่และรู้จักบริหารราชกิจแล้ว

จางจวีเจิ้งรับราชโองการจากมือจางหงมา หันไปถามว่า

“ทุกท่านเห็นเช่นไร”

“เรื่องใหญ่ของแผ่นดินจะหละหลวมได้อย่างไร สำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์และสำนักโยธาก็มีอยู่ที่เทียนจิน ในมือมีช่างตั้งมากมาย กลับยังคิดมาถึงตัวพวกต่างชาติไป หวังทงช่างเป็นเด็กน้อยไม่เปลี่ยน……”

จางซื่อเหวยส่ายหัวถอนหายใจ แต่ไม่ได้พูดขัดอันใด เซินสือหังลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า

“ท่านจาง ปราบโจรสลัด สร้างกองทัพเรือใหม่ กวาดล้างมาเก๊า และจัดการการผลิตอาวุธที่มาเก๊านี้ เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เรื่องเล็กน้อยอย่าได้เอามาใส่ใจ หวังทงเองก็สามารถสร้างอันใดออกมาได้อยู่”

หม่าจื้อเฉียงข้างๆ ก็ออกมากล่าวเสริมว่า

“มีเรื่องหนึ่งอยากเรียนท่านจางให้ทราบว่า เงินทองในวังหลวงตอนนี้ส่งมาถึงรัชสมัยว่านลี่ที่ 8 แล้ว ทั้งหมดส่งมาแล้ว หนึ่งล้านสี่แสนตำลึง กรมอากรส่งคนไปตรวจที่เทียนจินว่าหวังทงมีความสามารถหามาได้อย่างไร!”

วาจาสรรเสริญแต่กลับทำให้ทุกคนเงียบไป เสนาบดีกรมขุนนางหลี่โย่วจือกระแอมไอขึ้น หม่าจื้อเฉียงจึงได้รู้ตัวว่าหลุดปากไปแล้ว ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก้มหน้าลง จางจวีเจิ้งเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบขึ้นว่า

“หวังทงอายุยังน้อย ยังเป็นขุนนางที่โปรดปรานของฝ่าบาท ย่อมทำอะไรได้ตามใจ หากเห็นข้าทำบ้าง ขุนนางนับพันย่อมชี้ความผิดให้แหลกเป็นผุยผงเป็นแน่ เลียนแบบไม่ได้ เลียนแบบไม่ไหว!”

************

ต้นเดือนเจ็ดเทียนจินก็เริ่มร้อน หวังทงตอนนี้พักอยู่ที่ริมเขตการค้าแม่น้ำทะเล เพราะว่าเป็นสิ่งก่อสร้างใหม่ ดังนั้นห้องโถงจึงใหญ่โตมโหฬารอย่างมาก

แต่ทว่า เช้าตรู่วันที่ 5 เดือนเจ็ด ที่นี่ก็กลายเป็นที่ที่คึกคักที่สุดในเทียนจิน นอกเมืองในเมือง ริมแม่น้ำริมทะเล พ่อค้าที่มีทรัพย์สินมากกว่า 3,000 ตำลึงก็ล้วนได้รับเชิญมาที่จวนหวังทง พ่อค้าที่มีไม่ถึง 3,000 ตำลึงคิดจะมาก็ต้องห้าคนร่วมกันส่งตัวแทนหนึ่งคน

ริมแม่น้ำทะเล ริมคลองส่งน้ำ ตระกูลใดบ้างไม่ร่ำรวย 3,000 ตำลึงระดับนี้เกรงว่าจะต่ำไปอยู่บ้าง นับประสาอันใดกับการที่หวังทงนำกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรออกสังหารโจรสร้างความยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างหาใดเทียน พอแจ้งไปย่อมไม่ผู้ใดกล้าไม่มา

แม้ว่าจวนหวังทงจะมีขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถรองรับผู้คนเกือบหนึ่งพันคนได้ ปรากฎว่าเบียดเสียดกันอยู่ในห้องโถงกลาง ลานบ้านก็เต็มไปหมด ถึงกับมีออกไปยืนนอกถนน

นางหม่าที่ดูแลรับรองด้านในไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ให้ทหารจัดลำดับตามเงินทอง มากอยู่ด้านใน น้อยอยู่ด้านนอก จากนั้นก็ให้ร้านอาหารในเมืองมาจัดโต๊ะและที่นั่ง ยังต้องยืมถ้วยชามาด้วย วันนี้หอสุราอาหารก็เปลี่ยนเป็นโรงน้ำชา พ่อครัวคนงานต่างก็มาจัดชา จากนั้นส่งมาที่นี่

หลังจากวันนี้ ประเพณีบางอย่างก็กลายเป็นธรรมเนียม เช่นมีคนแอบพูดกันว่า “มีเงินใช่ว่าได้ ได้ยืนห้องโถงจวนนายกองพันหวังจึงนับว่าแน่” ยังมีคำพูดอีกว่า “ลำบากมาสิบปี ต้องได้ยืนในห้องโถงนายกองพันหวังสักครั้ง” เป็นต้น พ่อค้าทั้งใหม่และเก่าต่างก็ทักทายกันเสียงดังท่ามกลางบรรยากาศเบียดเสียด คุยไปหัวเราะไป ทำให้บรรยากาศคึกคักอย่างมาก

“ทุกท่านโปรดเงียบๆ ใต้เท้ามาแล้ว!!”

ทหารตะโกนเสียงดัง ผู้คนเสียงดังอื้ออึงอีกพักก็เงียบลง หวังทงในชุดองครักษ์เสื้อแพรเดินเข้ามาให้ห้อง ด้านหลังมีทหารอารักขาอีกกองหนึ่ง ทหารสองคนแบกลังไม้เข้ามาใบหนึ่ง

เมื่อเห็นผู้คนมากมาย หวังทงก็อึ้งไป ไม่รู้ว่าใครเป็นคนนำ ประสานมือคำนับกล่าวว่า

“พวกข้าน้อยคำรับใต้เท้าหวัง”

ผู้คนคลาคล่ำมืดฟ้ามัวดินก้มกายคำนับ หวังทงเขย่งเท้ามองไป นอกประตูยังมีคนอีก จึงได้แต่ยิ้ม ยกชายเสื้อขึ้นเหน็บเอวก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะตัวหนึ่ง ตะโกนดังว่า

“ทุกท่าน โจรสลัดบุกมา แม้ว่าข้าจะปกป้องเต็มที่แล้วก็ยังมีร้านค้าสองร้น พ่อค้าอีกสิบกว่ารายได้รับความลำบาก ริมทะเลและริมแม่น้ำมีเรือพ่อค้าถูกปืนใหญ่เสียหาย นี่เป็นเพราะข้าปกป้องบกพร่อง หวังทงขอขมาทุกท่านด้วย ขอคำนับรับผิดกับทุกท่าน”

เบื้องล่างเงียบลง ทุกคนจับจ้องมองมาครู่หนึ่ง ผู้มีอำนาจที่สุดในเทียนจินกำลังคำนับทุกคน หวังทงลุกขึ้น เบื้องล่างก็ยต่อไปนี้เป็นความเงียบภายใต้สายตาของประชาชนผู้มีอำนาจมากที่สุดในเทียนจินเว่ยบูชาลงวังตองลุกขึ้นไม่มีเสียงดั้งเงียบไร้สำเนียง แต่เสียงอื้ออึงก็เริ่มดังขึ้น เสียงจอกแจกจอแจ หวังทงเองก็ได้ยินไม่ชัด พยายามแยกแยะ ได้ยินแค่เบื้องล่างตะโกนขึ้นมาว่า

“ใต้เท้าหวัง ท่านมีความชอบใหญ่แล้ว!”

“หากได้ใต้เท้าออกสู้กับโจรอย่างกล้าหาญ พวกเราไหนเลยจะมีโอกาสมายืนอยู่ที่นี่ได้!”

“ที่ไหนกันใต้เท้า พวกข้าน้อยร่ำรวยมาถึงวันนี้ได้ก็ด้วยใต้เท้า ยังได้รับการปกป้องจากใต้เท้าอีก ไหนเลยจะเป็นใต้เท้ามาขอขมาพวกข้าน้อย!”

พ่อค้าเบื้องล่างโบกมือตะโกนขึ้น ความหมายมีเพียงหนึ่งก็คือ ใต้เท้าหวังไม่ผิด หวังทงยืนตรงขึ้นยกมือปราม แต่เสียงด้านล่างก็ยังดังไม่หยุด ได้แต่ให้ทหารตะโกนให้ทุกคนเงียบจึงเงียบลงได้

“ขอบคุณทุกท่าน แต่ทุกท่านเดินทางรอนแรมมาไกลถึงเทียนจิน ต้องมาเสียทรัพย์เจ็บตัวที่นี่ อย่างไรก็เป็นความผิดของทหารเทียนจินเรา โจรสลัดบุกครั้งนี้ จับตัวเชลยได้จำนวนมาก พวกมันมีเงินทองติดตัวมามากมาย อาวุธก็ไม่น้อย จึงได้ขายเป็นเงิน รวมแล้วก็ราวหนึ่งหมื่นหนึ่งพันกว่าตำลึง ข้าตัดสินใจนำมาเป็นเงินชดเชยให้พวกที่สูญเสียและบาดเจ็บ ถูกทำลายร้านและเรือ ทุกท่านเห็นเช่นไร!”

บรรยากาศในที่นั้นราวกับถูกจุดประกายขึ้น บรรดาพ่อค้าเคยมีความคิดเห็นไม่แน่ใจในหวังทงมาก่อน บัดนี้คิดไม่ถึงว่านายกองพันหวังจะกล่าวเช่นนี้ ทางการยอมจ่ายเงินชดเชยให้ชาวบ้าน ใต้หล้าไหนเลยมีเรื่องดีเช่นนี้ ไหนเลยมีพื้นที่เหมาะแก่การทำการค้าเช่นนี้

พ่อค้าด้านหน้าตะโกนดังขึ้นก่อน ด้นหลังยังได้ยินไม่ชัด รอจนด้านหน้าส่งต่อมาถึง จึงได้ตะโกนดังตามๆ กัน

วาจาอันใดก็ล้วนมี ที่ตะโกนดังมามากที่สุดก็คือ “ใต้เท้าหวังช่างมีคุณธรรม!!”

หวังทงไม่ได้กล่าวต่อ แต่โบกมือขึ้น ทหารด้านหลังก็ตะโกนเรียกชื่อทีละชื่อท่ามกลางเสียงจอกแจกจอแจ หากไม่ใช่ชื่อเจ้าทุกข์ที่ร้านค้าและเรือเสียหาย ก็จะเป็นญาติของผู้ที่ประสบเคราะห์ ทุกคนรู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหลอาบใบหน้า แต่ละคนได้รับแจกเงินจากลังไม้

บางคนได้รับเงินชดเชยก็ทั้งซายซึ้งและเศร้าโศก ได้แต่คุกเข่าโขกศีรษะคำนับขอบคุณปล่อยเสียงร้องไห้โฮ ทำให้บรรยากาศยิ่งจอกแจกจอแจ

รอจนคนพวกนี้ถอยออกไป บรรยากาศก็เงียบเสียงลงไม่น้อย หวังทงตะโกนตามอยู่บนโต๊ะว่า

“ทุกท่าน เห็นเมื่อครู่ไหน พวกท่านเคยคิดไหมว่า ออกเดินทางรอนแรมต่างเมือง ทำมาหากินยากลำบาก รู้สึกตนเองก็อาจจะเป็นเช่นนี้ได้!”

หลังจากถามคำถามนี้ คนเบื้องล่างก็นิ่งไป มีหลายคนพยักหน้า หวังทงตะโกนต่อว่า

“ครั้งนี้ข้าออกเงินให้ หากครั้งหน้ามีเหตุเภทภัยอันใด ข้าเองก็ออกให้ไม่ได้ทุกครั้ง โจรสลัดวันหน้ายังไม่แน่ว่าอาจมาอีก หากร้านในประสบปัญหาเจอคลื่นพายุบนท้องทะเลหรือโจรสลัดปล้นชิง ใช่ว่าเป็นภัยใหญ่หรอกหรือ ใช่ว่าเสียเลือดเนื้อไปไม่ได้คืนเช่นกันหรอกหรือ?”

ความเจริญรุ่งเรืองของแม่น้ำทะเลพึ่งพาการค้าทางทะเลเป็นหลัก หวังทงกล่าวมานั้นก็เป็นเรื่องที่ทุกคนคิดอยู่ รอบด้านเงียบกริบ หวังทงกระแอมไอก่อนจะตะโกนดังว่า

“การชดเชยครั้งนี้ หากทุกคนออกเงิน แต่ละครอบครัวก็ไม่เกินสิบตำลึง ข้าขอเสนอว่า ในเมืองมีความเสี่ยง และความเสี่ยงเพียงครั้งเดียวอาจทำให้ทุกคนต้องหมดเนื้อหมดตัว คลื่นลมทะเลข้าเองก็ควบคุมไม่ได้ โจรสลัดบนท้องทะเลข้าเองก็ตามจับไม่ได้ ไม่สู้ทุกคนออกเงินตั้งร้านขึ้น ร่วมกันรับประกันความเสี่ยงดีหรือไม่!?”

จากด้านหน้าไปด้านหลัง ทุกคนเงียบสนิท ออกเงินร่วมทุนตั้งร้าน กับการประกันความเสี่ยงเกี่ยวอันใดกัน ฟังไม่เข้าใจ……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version