ตอนที่ 398 การตรวจค้นที่แปลกประหลาด
ภาษิตว่าไม่ต่อยคนหน้ายิ้ม นายอำเภอเซียงซานประจำการที่แห้งแล้งกันดารนี้ลำบากอยู่มาก นอกจากข้าวของเงินทองแสดงความกตัญญูจากพวกโปรตุเกสในบางครั้งแล้ว ก็ไม่มีบรรณาการจากที่ใดอีก นี่ก็เพราะได้รับประโยชน์จากพวกนั้นมา
ใต้เท้าแม่ทัพใหญ่ก็น่าแปลก นำกำลังมามากมาย หากตนเองรับมาเยอะ จึงไม่กล้าทำอันใด ได้แต่วางท่าทางสูงส่งออกมา แต่ในใจนั้นก็รู้สึกกลัวว่าสองฝ่ายจะรบกันขึ้นมาจริงๆ
เมื่อเห็นนายกองร้อยชาวตะวันตกยังพอรู้งานอยู่ ก็อดถอนหายใจเฮือกไม่ได้ พยักหน้ากล่าวว่า
“อืม ตามธรรมเนียมแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้”
ขุนพลด้านหลังไม่มองหน้านายอำเภอและนายกองร้อยฝรั่งผู้นั้นแม้แต่น้อย หากหันกลับไปตะโกนสั่งการว่า
“นายกองพันนำกำลังไป นายกองร้อยปฏิบัติงาน แต่ละฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ตน คำสั่งใต้เท้าเฉิน ให้ตรวจค้นละเอียด ได้ยินชัดไหม!”
“ข้าน้อยรับทราบ!!”
ได้ยินเสียงตอบดังกังวานพร้อมพยักหน้ารับทราบ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพลางยกมือขึ้นโบกเรียก ทหารก็เริ่มก้าวตาม
ผู้พันสวาซีสีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรอย่างมาก ทุกกองที่เคลื่อนผ่าน เขาก็จะยกหมวกโบกเป็นการแสดงการทักทาย
แต่ละกองกำลังเคลื่อนเข้าไป เห็นว่าเคลื่อนกำลังเข้าไปใกล้หมดแล้ว ขุนพลหมิงผู้นั้นกับขุนนางอื่นก็จะเข้าไป ผู้พันสวาซีก็เตรียมจะตามเข้าไป บางทีอีกฝ่ายอาจต้องการคำแนะนำอันใด
คิดไม่ถึง ทหารสองกองสุดท้ายกลับไม่เดินเข้ามาเก๊า หากเข้าล้อมทหารโปรตุเกส 200 คนสองข้างทางเอาไว้
สวาซีตกใจหน้าถอดสี ยกมือคว้าด้ามดาบด้วยสัญชาตญาณ ยังไม่ทันขยับ ทหารข้างๆ ก็กรูเข้ามากดเข้าลงกับพื้นพร้อมปลดอาวุธเขาลง
เดิมทีทหารโปรตุเกสยืนแถวตรงยืดอกตั้งอาวุธท่าทางองอาจอยู่ริมสองข้างทาง ปฏิบัติการต้อนรับผู้ใหญ่คนสำคัญตามธรรมเนียมอยู่ดีๆ ทหารหมิงก็จ่ออาวุธมาตรงจุดอันตรายของตน ขณะกำลังลนลานไม่รู้จะทำเช่นไรอยู่นั้น ก็เห็นผู้พันตนถูกจับกดลงที่พื้นแล้ว
ทุกคนจึงสงบเรียบร้อย ไม่มีการต่อต้าน ทำตามอีกฝ่ายยอมทิ้งอาวุธอย่างว่าง่าย ถูกจับมัดอย่างไร้การขัดขืน มาดินแดนตะวันออกก็เพื่อเงินทอง ไม่ใช่มาตาย นับประสาอันใดกับการที่จะต้องสู้รบกับศัตรูที่ดูเก่งฉกาจกว่า
คนเดียวที่ตะโกนร้องก็คือนายกองพันสวาซี เขาตะเบ็งเสียงดังขึ้นว่า
“ในนามของรัฐบาลราชอาณาจักรโปรตุเกสขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อรัฐบาลราชวงศ์หมิง ขอประณาม นี่เป็นการละเมิดอธิปไตย นี่เป็นการลบหลู่ราชวงศ์โปรตุเกส……”
เสียงตะโกนดัง แต่ร่างกายไม่กล้าขยับ ได้แต่ตัวแข็งนิ่งอยู่กับที่ พอได้ยินล่ามแปลมา ทหารหมิงกล่าวอย่างไม่พอใจว่า
“เดิมก็เป็นแผ่นดินหมิง มีทหารเราดูแลก็พอแล้ว พวกเจ้าพบดาบพกทวนมาทำอะไรกัน เดินตามเข้าไปข้างในเสียดีๆ !!”
นายอำเภอหมิงพอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยจะเสี่ยงต่อ ได้แต่สะบัดเสียงเยียบเย็นสาดไปว่า
“ประเทศเล็กๆ กล้าเรียกตัวเองว่า ราชอาณาจักร น่าขันเสียจริง”
ตะโกนโหวกเหวกครู่หนึ่ง สวาซีและลูกน้องต่างก็มีสีหน้าดำคล้ำถูกคุมตัวเข้ามาเก๊าไป ทว่าสวาซีนั้นมีตำแหน่งสูงที่สุด ก็ให้หน้าเล็กน้อย ไม่ได้มัดรวมกันลากจูงไป แต่ให้ทหารคุมตัวเดินไป
เห็นทหารหมิงเดินเข้ามาในมาเก๊า แหล่งการค้าและโบสถ์ในมาเก๊าไม่มีปฏิกิริยาอันใด เดิมสองแห่งนี้เป็นอาคารตึกสูง ตึกเจดีย์ด้านบนสามารถเคาะระฆังใหญ่บอกข่าวศัตรูรุกรานเพื่อแจ้งข่าวไปทั่วเมืองได้
แต่พวกเขาทุกคนรู้ว่ากองทัพหมิงมาตรวจจับโจรสลัด หนีก็ไม่ทันแล้ว เพื่อไม่ให้ถูกจู่โจมเสียหาย ทั้งสององค์กรจึงเลือกที่จะพร้อมใจกันเงียบ
“ไม่ต้องตื่นตระหนก ทหารกวางตุ้งมาที่นี่เพื่อค้นหาโจรสลัด ไม่ทำร้ายราษฎร ทุกอย่างปกติๆ”
พื้นที่มาเก๊ามีขนาดเล็กเกินไปจริง ๆ และพื้นที่ตั้งถิ่นฐานก็ไม่ใหญ่นัก ทหารจำนวนมากนำกำลังเข้ามา ทุกอย่างจะปกติไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดประตู ได้แต่ฟังคำสั่งเท่านั้น ดีที่ทหารแม้จะหยาบกระด้าง แต่ก็รักษาระเบียบเคร่งครัด ไม่หยิบฉวยแย่งชิง
สวาซีกำลังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ด้านหลัง อ่าวท่าเรือมาเก๊านี้เป็นท่าเรือที่ราชสำนักหมิงไม่ค่อยได้ดูแลสักเท่าไร ชาวจีนจากทะเลใต้ ชาวผิวชาว และชาวจีนใต้จากฮกเกี้ยนและเจ้อเจียงต่างก็มาทำการค้าที่นี่ คนพวกนี้ไม่น้อยมีเบื้องหลังไม่สะอาดนัก
ในฐานะขุนนางดูแลความสงบสุขที่นี่ สวาซีย่อมรู้ว่ามีโจรสลัดทะเล และโจรสลัดวัวโค่วไม่น้อย ที่มาของสินค้าก็หลายแหล่ง แต่ที่มาของทรัพย์สินเขานั้นก็มาจากคนพวกนี้ ย่อมปิดตาข้างหนึ่ง
แต่ทว่าทหารหมิงที่ท่าทางเอาจริงเอาจริงเคร่งครัดพวกนี้บอกว่าจะจับโจรสลัด สวาซีก็ย่อมกินปูนร้อนท้อง คนที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดพวกนี้พักอยู่สองแหล่ง หนึ่ง สมาคมการค้า สอง โรงเตี๊ยม เวลากระชั้นชิด ไม่รู้ว่าหนีกันทันไหม
หากคนพวกนี้ออกไปลอยลำอยู่กลางทะเลได้ ทุกอย่างก็ไร้ปัญหา ขณะเดินอยู่บนถนน ทุกคนเห็นเขาคอตกตามมาด้านหลัง ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น คิดว่าเขาถูกจับไปด้วย
เมื่อครู่ผู้ติดตามที่ถูกเขาไล่ออกไปส่งข่าวก็เบียดตัวเข้ามามองอย่างระแวดระวัง เห็นทหารขี่ม้ามากัน พอเห็นก็เข้าไปหานายตน ทหารหมิงทำเสมองไปทางอื่น ไม่ออกไปขวางแต่อย่างใด
พอเห็นว่าเข้าไปกระซิบข้างหูของสวาซี สีหน้าสวาซีซีดเผือด ยืนนิ่งไปนาน กำลังคิดจะวิ่งไปหน้าขุนพลหมิงและนายอำเภอ ก็ถูกทหารขวางไว้ สวาซีตะโกนดังลั่นว่า
“ใต้เท้าทั้งสอง ขอให้เชื่อข้า ข้าเพิ่งมามาเก๊าได้ไม่ถึงปี เรื่องอันใดก็ไม่รู้เรื่อง บางทีก็อาจถูกปิดหูปิดตา……”
คนด้านหน้าไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย ยังคงเดินหน้าต่อไป ยามนี้เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ สองข้างทาง ว่ากันว่าเรือถูกคุมไว้หมดแล้ว ไม่อาจออกทะเลได้ และท่าเรือด้านนอกยังมีกองเรือเกือบร้อยลำปิดทางไว้ ไม่อาจเข้าออกได้
ตั้งแต่กองทัพหมิงเข้ามาเก๊ามา คนที่นำทางไม่ใช่ฝรั่งในพื้นที่ แต่เป็นคนงานสองคนกับพ่อค้าคนหนึ่ง ยังถึงขั้นมีขอทานริมทางด้วย เห็นดังนี้ก็รู้สึกตกใจ
สวาซีแก้ตัวเสียงดังอยู่ตรงนั้นไม่หยุด แต่ก็รู้สึกแปลกใจ ไม่ว่าโบสถ์หรือสมาคมการค้า ทหารหมิงไม่เข้าไปสักแห่ง ผ่านเลยไปถึงร้านผลิตอาวุธและเสื้อเกราะ รีบส่งทหารเข้าไปตรวจค้น ไม่นานก็จับคนกลุ่มหนึ่งออกมา
แม้แต่ค่ายทหารเล็ก ๆ ที่ประจำการอยู่ก็ไม่สนใจ ด้านในทิ้งทหารเฝ้าไว้แค่สิบกว่านาย ทหารหมิงส่งแค่คนเข้าไปดูๆ แล้วก็เดินหน้าต่อ
ตามดูอยู่ครู่หนึ่ง สวาซีกับชาวฝรั่งผู้ติดตามก็เริ่มมองออก ทหารหมิงมามาเก๊าก็เพื่อรวบรวมเอาช่างฝีมือในที่ต่างๆ ไป
โรงตีอาวุธเสื้อเกราะอะไรพวกนั้น ยังมีโรงซ่อม คนข้างในถูกกวาดต้อนออกมาหมดเกลี้ยง แม้แต่ข้าวของก็กวาดเอาไปด้วย
โปรตุเกสในเอเชียนอกจากทำการค้าปกติแล้ว ยังมีอาณานิคมหลายที่ แต่ก็ไม่ใหญ่นัก เช่น เมืองกัวที่อินเดีย มลายูที่ทะเลใต้ และยังมีมาเก๊าที่สถานะยังไม่ชัดเจน
อาณานิคมเหล่านี้เป็นท่าเรือทั้งนั้น นอกจากใช้ประโยชน์เพื่อเป็นท่าเรือการค้าแล้ว ยังใช้เพื่อเป็นจุดพักเปลี่ยนของเรือสินค้าโปรตุเกส ขบวนการค้าและชาวอาณานิคม
ดังนั้นที่เหล่านี้ล้วนมีช่างต่อเรือที่รู้จักการซ่อมเรือต่อเรือ และยังมีช่างทำอาวุธเสื้อเกราะ และช่างต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือและการทหารอยู่บ้าง
พอพวกคนเหล่านี้ถูกทหารหมิงขับไล่ออกมาจากที่พักและร้านต่างๆ หลังจากผ่านล่ามแปล ก็ให้พวกเขาเก็บอุปกรณ์และสัมภาระของตนเอง มีอันใดชิ้นใหญ่และหนัก ทหารก็จะเข้ามาช่วยขนด้วยตนเอง
“ใต้เท้าที่เคารพ พวกเขาเป็นเพียงช่างฝีมือธรรมดาที่สุด ไม่ใช่โจรสลัดหรือพวกคนชั่วอันใด ขอท่านอย่าได้ทำให้พวกเขาลำบากเลย”
พอเห็นสถานการณ์ดังกล่าว เจ้าพนักงานชาวโปรตุเกสที่ตามมาด้วยก็ทนดูไม่ได้ เสนอความเห็นอย่างใจกล้า ทหารกองจู่โจมบนหลังม้าไม่สนใจจะตอบ หากเป็นนายอำเภอที่สั่งการดุดันแทนว่า
“พื้นที่ห่างไกลรกร้าง คนชั่วหมอนหมิ่นจากทะเลปนเปมา พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าอาวุธพวกนี้ไม่ได้ผลิตให้พวกโจรสลัดวัวโค่ว พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเรือพวกนี้ไม่ใช่เรือโจรสลัด?!”
คำถามนี้ทำเอาใบ้กินจริงๆ หากมีคนใช้มีดหั่นผักสังหารคน ก็ใช่ว่าไปเอาเรื่องกับคนตีมีด แต่ทหารเบื้องหน้าถืออาวุธจ้องมาด้วยสายตาเย็นชา ไหนเลยจะมีอันใดให้กล่าวต่อได้อีก
ไม่แตะต้องชาวบ้าน ไม่แตะต้องพ่อค้า ลงมือเพียงช่างฝีมือและลูกมือในร้าน พอขับไล่ออกมา พื้นที่ในมาเก๊าก็เริ่มวุ่นวาย แต่ก็ยังไม่เสียการควบคุม มีชาวจีนและชาวต่างชาติไม่น้อยยืนมุงดูอยู่อย่างสนใจ
ตลอดทางไปถึงชายหาด สิ่งที่แตกต่างเพียงสิ่งเดียวก็คือในร้านช่างตีเหล็กที่ค่อนข้างเก่าทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ทหารสองนายเข้าไปเชิญนายช่างตีเหล็กผู้หนึ่งออกมาจากในร้านด้วยท่าทีค่อนข้างสุภาพนอบน้อม
ช่างตีเหล็กนี้ไม่ใช่ช่างฝีมือที่ดีที่สุดในมาเก๊า เป็นเพียงช่างตีอาวุธง่ายๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น การค้าก็ธรรมดา แต่เป็นคนมีน้ำใจ แม้ว่าเป็นชาวโปรตุเกส แต่ไม่ว่าชาวจีนหรือชาวโปรตุเกสมีเรื่องลำบาก เขาก็จะช่วยเหลือด้วยความกระตือรือร้น ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เลว
หากบังคับเขามา ไม่แน่ว่าฝูงชนอาจโกรธแค้น คิดไม่ถึงว่าทหารหมิงจะมีท่าทีนอบน้อมเพียงนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจ ไม่ต้องพูดถึงคนที่ล้อมวงดูอยู่ แม้แต่ช่างตีเหล็กผู้นั้นก็ยังรู้สึกงงและไม่เข้าใจเช่นกัน
เมื่อเดินไปถึงชายหาด สวาซีและชาวโปรตุเกสทั้งหมดก็ต้องตกตะลึงงันทันทีที่ได้เห็นสถานการณ์ที่ท่าเรือ ไม่ว่าเรือตะวันตกหรือว่าเรือหมิงเอง ก็ล้วนลดใบเรือลง ท่าทีเรียบร้อยจนไม่รู้จะเรียบร้อยอย่างไรได้อีก
สวาซีไม่เข้าใจอย่างนิ่ง ท่าเรือนี้อย่างน้อยมีสามลำที่เข้มแข็งมาก เรือพวกนี้มีปืนใหญ่ 30-40 กระบอก กองเรือรบหมิงย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ เรือพวกนี้ทำไมจึงสงบเสงี่ยมอยู่ได้ เห็นชัดๆ ว่าเขาได้มาแจ้งข่าวพวกเขาแล้ว
เดินไปที่ท่าเรือจึงได้เข้าใจในทันที สองข้างลำเรือแต่ละลำมีเรือเล็กหลายลำประชิดอยู่ เรือเล็กเต็มไปด้วยกองฟืนและกองฟาง ทหารหมิงหลายนายถือคบไฟยืนอยู่บนเรือ
บนดาดฟ้าของเรือแต่ละลำยังเห็นทหารกองทัพหมิงพร้อมอาวุธ ท่าเรือที่ไกลออกไป ก็มีกองทัพเรือปิดปากอ่าวแน่นขนัด เรือแบนแบบเรือกวางตุ้งลำใหญ่สุดมีธงใหญ่โบกสะบัด บนธงใหญ่มีอักษร ‘เฉิน’ ตัวใหญ่