Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 402

ตอนที่ 402 อวดเบ่งบารมี ข้ามีปืนใหญ่

บนคลองส่งน้ำอลหม่านอย่างที่สุด อยู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นราวอสุนีบาต คนด้านหน้าและด้านหลังรู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือน เรือเหมือนจะสะเทือนไปด้วย

ไม่ว่าทหาร เจ้าพนักงานบัญชีที่กำลังต่อสู้กัน หรือพวกคนมุงบนฝั่งต่างก็เงียบกริบ หันไปมองด้านหลังพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

ขันทีฉู่บนดาดฟ้าเรือก็รีบก้าวเดินไปหมอบหลบอยู่หลังราวกั้น แอบมองสภาพอเนจอนาถท้ายกองเรือ บนคลองส่งน้ำมีของบางอย่างลอยอยู่ มีคนกำลังโบกไม้โบกมือตะโกนบอก แต่ระยะห่างเกินไป ฟังไม่ชัด

ดูเหมือนว่าลมกระโชกแรงพัดมาจากปลายน้ำ พอลมพัดมา ที่เมื่อครู่เคลื่อนไหวจะขยับกัน คิดจะถือโอกาสผ่านด่านไปด้วย ตอนนี้ก็หัวหดสงบเสงี่ยม พวกพ่อค้าบนเรือที่ชมเรื่องสนุกกันอยู่ก็หดหัวหายไปด้วย

“ฉู่กงกง เรือสินค้าเราถูก……ถูก……ถูกปืนใหญ่ถล่ม!!”

ผู้ติดตามผู้หนึ่งที่เปียกปอนไปทั้งตัวขึ้นมาบนเรือตะโกนดัง หายใจหอบ วาจายังติดขัด สั่นเทำไปทั้งตัว

ฉู่จ้าวเหรินยืนอยู่บนดาดฟ้า ขยี้ตามอง รู้สึกมึนงงในทันที อึ้งไปก่อนจะด่าทอเสียงดังว่า

“บ้าแล้วหรือไง เกิดอะไรขึ้นกันแน่!!”

กลางวันแสกๆ ในช่วงเวลาสงบสุข เรือทางการแล่นอยู่ถูกปืนใหญ่ยิงเอาได้ ผู้ติดตามสีหน้าเหมือนร้องไห้เงียบไปหมด ได้แต่กล่าวเสียงสั่นเครือว่า

“กงกง เมื่อครู่พลทหารองครักษ์เสื้อแพรใช้ม้าลากรถปืนใหญ่มา ตะโกนสั่งให้พวกข้าน้อยลงจากเรือ จากนั้นก็ยิงทันที ข้าน้อยปีนขึ้นฝั่งได้ก็รีบวิ่งมารายงาน”

เมื่อได้ยิน ฉู่จ้าวเหรินก็กำราวระเบียงเรือแน่นจนนิ้วมือซีด ค่อยๆ หันหน้าไปมองบนผืนน้ำ เสียงลูกน้องด้านล่างดังสั่นเครือขึ้นมาว่า

“เรือลำนั้นเป็นเครื่องเคลือบ เกรงว่าคงเหลือแค่สามส่วน คนของเราไม่เป็นไร……”

วาจาต่อจากนั้น ฉู่จ้าวเหรินไม่ได้ยินอีก รู้สึกเพียงว่าเปลวไฟปะทุออกมาจากในอก พุ่งขึ้นศีรษะ ตนเป็นคนของไทเฮา เจ้าเป็นแค่นายกองพันเล็กๆ ถึงกับกล้าเพียงนี้ ในสายตาเจ้ามีกฎหมายอยู่หรือไม่

เสียงฝีเท้าม้าหลายตัวแน่นขนัดดังวิ่งมาบนสองฝั่ง เห็นทหารม้าร่วมร้อยในชุดองครักษ์เสื้อแพรบนฝั่ง ผู้เป็นหัวหน้ามองดูแล้วน่าจะอายุราวสิบกว่าปี แต่กลับสวมชุดนายกองพัน หวังทงมาแล้ว

**********

พวกหนิวเชียวเวยที่ยืนอยู่ส่วนหน้ากองเรือปิดเส้นทางสัญจรพอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็หยุดมือ พวกเขาอย่างไรก็ฝึกฝนที่หนานจิงมานาน รู้ว่าเสียงเมื่อครู่เป็นเสียงอะไร

แต่ทุกคนไม่อยากจะเชื่อ กลางวันแสกๆ ถึงกับกล้าเคลื่อนปืนใหญ่ออกมายิงเล่น ยังมีธรรมเนียมอีกหรือไม่กัน ในเมืองหนานจิง กองกำลังทุกกองล้วนมีนายตน แต่ละกองก็มีเรื่องกัน ต่อสู้กันในเมืองเป็นเรื่องปกติ แต่ทุกคนต่างก็มีขีดจำกัด การใช้อาวุธถือเป็นการละเมิดธรรมเนียม ยังไงกัน? มาถึงเทียนจินถึงกับใช้ปืนใหญ่เลยหรือนี่

ผู้คนบนฝั่งที่ชมความสนุกอยู่ก็ดูเหมือนว่ามีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวโผล่ออกมา เมื่อครู่ยังส่งเสียงเชียร์อยู่ ตอนนี้จู่ๆ ก็หายเข้ากลีบเมฆไปหมด

ทหารม้าองครักษ์เสื้อแพรร่วมร้อยคนมุ่งมาจุดเปิดเส้นทาง ทุกคนลงจากหลังม้า หวังทงมองไปรอบด้าน เอ่ยขึ้น

“คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไปยุ่งเรื่องของตัวเอง อย่ามามุงดู”

เขากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทหารรอบด้านตะโกนดังส่งข้อความออกไป ร้านค้าแต่ละจุดบนท่าเรือก็ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นหน้ายื่นตาออกมาดูอีก ล้วนหดหัวเข้าด้านในไปกันหมด เจ้าพนักงานบนกองเรือปิดเส้นทางก็รีบกระจายออกสองแถวเดินลงมา

หวังทงมองไปยังพวกหนิวเชียนเวย ขมวดคิ้ว กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“นี่คือด่านเทียนจิน พวกไม่เกี่ยวข้องมาร้องตะโกนโหวกเหวกอันใด มาลงมือกับเจ้าหน้าที่ทางการ นี่มันโทษสถานใด รีบไสหัวลงมา!”

พวกหนิวเชียนเวยยิ่งใหญ่ที่หนานจิงจนเคยตัว พวกองครักษ์เสื้อยังต้องหลีกทางให้ ที่นั่นก็มีหัวหน้าใหญ่องครักษ์เสื้อแพร ก็มองข้ามไม่เห็นหัว นับประสาอันใดกับนายกองพันแค่นี้ที่เทียนจิน

หวังทงมีสถานะอันใด ขันทีฉู่รู้ดี แต่พวกทหารในสังกัดตนนั้นไม่ต้องรู้มาก ได้ยินนายกองพันกล่าวเช่นนี้ แต่ละคนก็โมโหมาก

คนข้างหลังหนิวเชียนเวยก็ยกมือชี้หน้าหวังทงด่าเสียงดังว่า

“นกกระจอกจากไหนกัน กล้ามาพ่น……”

กล่าวไม่ทันจบ ก็เห็นคนผู้หนึ่งด้านหลังนายกองพันหนุ่มยกคันธนูขึ้นอย่างรวดเร็วและยิงลูกธนูพุ่งมาดอกหนึ่ง ลูกธนูดอกนั้นแม่นมาก ยิงโดนข้อมือคนผู้นั้นอย่างจัง

ชายผู้นั้นไม่ทันระวัง เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น กุมข้อมือแน่น ลูกธนูถูกแฉลบลงพื้น มองให้ดีจะเห็นว่าไม่มีหัวแหลมคม แม้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่สองฝ่ายห่างกันไม่กี่สิบก้าว แรงที่ยิงมาก็มากอยู่ ข้อมือชายผู้นั้นบวมช้ำไปทั้งแถบ ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

“ไว้หน้ากลับไม่รับ พลม้าเข้าไปจัดการพวกนั้นให้ลงน้ำไปซะ!”

หวังทงออกคำสั่งเสียงเยียบเย็นอีกครั้ง ทหารหลายนายด้านหลังก็รีบโดดขึ้นหลังม้า ถือกระบองยาวควบลงขบวนเรือปิดเส้นทาง เรือเดิมทีก็ต่อกันโดยไม่มีห้องเรือด้านบน ด้านบนเป็นแผ่นไม้เรียบ บนกองเรือสัญจรก็เหมือนสะพานที่ลอยบนผืนน้ำ พวกฝีมือขี่ม้าดีก็ย่อมขึ้นวิ่งบนนั้นได้

ทหารม้าสามนาย หน้าสอง หลังหนึ่ง ควบไปบนกองเรือสัญจรพร้อมเพรียง ด้านหน้าสองคนยกกระบองวางแนวราบ ด้านหลังวางแฉลบเฉียงลง วิ่งเข้าไปเช่นนี้

ไม่ว่าบนกองเรือที่ต่อกันจะกว้างเพียงใด แต่ก็เป็นเรือต่อกัน ย่อมมีที่จำกัด พอเห็นม้าอีกฝ่ายควบมาด้านหน้า ในมือยังมีทวนทั้งยาวและสั้น เมื่อครู่กระจัดกระจายกันอยู่ ตอนนี้เห็นม้าควบมา หลบก็หลบไม่พ้น ก็ได้แต่ยอมโดดลงน้ำไปแทน

พวกที่พุ่งเข้าชน ก็อาจเพราะหนีไม่ทัน ถูกม้ากับไม้กระบองดีดกวาดไปหมด แรงคนผสมแรงม้า ไหนเลยจะต้านทานได้ สภาพย่ำแย่กว่าพวกที่ยินยอมโดดลงไปเองมาก ทุกคนราวกับปลิวกระเด็นลอยลงน้ำไป

ม้าสามตัวในชั่วพริบตาก็จากฝั่งทางนี้วิ่งไปฝั่งทางนั้น คนบนเรือปิดเส้นทางก็กวาดทิ้งไปหมด มีคนลอยคออยู่บนผืนน้ำ ชุลมุนวุ่นวายเป็นอันมาก

ทหารมาจากทางใต้ย่อมว่ายน้ำเป็น ตอนนี้น้ำในคลองส่งน้ำก็ไม่หนาวเหน็บอันใด จึงไม่มีปัญหาอันใด หนิวเชียนเวยกลับว่องไวกว่า ตอนทหารม้าวิ่งขึ้นมา เขากระโดดคว้าขอบเรือ พอม้าวิ่งมา ก็กระโดดข้ามไปทันที

ความวุ่นวายเช่นนี้ ทำเอาหนิวเชียนเวยสีหน้าดำคล้ำ หันไปมองขันทีฉู่ด้านบน สีหน้านายตนก็ย่อมไม่สู้ดีนัก การแสดงความสามารถครั้งนี้มีผลต่อสถานะในเมืองหลวงในวันหน้า ขันทีฉู่ให้เขาเป็นหัวหน้ากองกำลัง หากทำได้ย่ำแย่เช่นนี้ ยังไม่รู้จะโดนอะไร?

หนิวเชียนเวยได้แต่กัดฟันชักดาบที่เอวออกมา คมดาบวิบวับ ใจกล้าฟาดฟันไปด้านหน้า ทหารติดตามด้านหลังต่างก็ชักดาบออกมา

เมื่อครู่มีเรื่องแต่ไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก ไม่ได้ใช้อาวุธลงมือ ยังนับว่าวิวาทธรรมดา หากตอนนี้ชักดาบออกมา หากมีเรื่องขึ้นมา ก็จะเป็นเรื่องใหญ่

ขันทีฉู่ประจำเมืองหนานจิงมานาน ย่อมรู้หลักการนี้ดี ยามนี้สีหน้าเคร่งเครียด ไม่พูดอันใด วันนี้เสียหน้ามากไปแล้ว หากไม่กู้หน้าคืนมา วันหน้าในเมืองหลวงจะมองหน้าผู้ใดได้

เมื่อเห็นกองกำลังพวกนั้นชักอาวุธออกมาท่าทางเอาจริง หวังทงก็มีสีหน้าไม่พอใจ หัวหน้ากองออกคำสั่งให้ทหารนำทวนยาวและโล่ออกมาเรียงแถวเบื้องหน้าหวังทง หวังทงขมวดคิ้วตะโกนดังว่า

“ถอยไป พวกกระจอกแค่นี้ ถึงต้องใช้ยุทธวิธีราวกับเผชิญศัตรูใหญ่หรือ?”

ทหารของหวังทงเมื่อได้ยินคำสั่ง ก็กระจายตัวเป็นสองแถว ได้ยินล้อไม้เสียดสีมากับพื้นดังเอี๊ยดอ๊าด ม้าสี่ตัวลากปืนใหญ่ที่ติดตั้งแน่นหนาบนรถมากระบอกหนึ่ง

นายกองร้อยรูปร่างเตี้ยกำยำผู้หนึ่งก็เข้ามารายงานหวังทงว่า

“ใต้เท้า ทุกอย่างเตรียมการเรียบร้อย ขอใต้เท้ามีคำสั่ง”

“มู่เอิน หากคนบนกองเรือปิดเส้นทางสัญจรไม่ยอมถอยลงไป ก็ยิงใส่มารดามันเลย!!”

หวังทงตะโกนดัง มู่เอิน นายกองร้อยคนใหม่ก็รับคำสั่งเสียงดัง หันไปรีบตะโกนบอกลูกน้องให้เริ่มเตรียมยิง ปลดม้าออก จัดการทำความสะอาดช่องกระสุน ก่อนจะหัวปืนใหญ่เตรียมยิง

ตอนที่เห็นทหารถือหอกและโล่เรียงแถวอยู่หน้าหวังทง หนิวเชียนเวยก็สีหน้าซีดเผือดแล้ว นี่มันกองกำลังธรรมดาที่ไหนกัน นี่มันกองทัพชัดๆ รอจนปืนใหญ่มาถึง ขันทีฉู่และทหารของเขาต่างก็อึ้งสนิท ทำไมเอาปืนใหญ่ออกมายิง นี่มันไร้ธรรมเนียมไปแล้ว

พอเห็นปืนใหญ่ดำมันปลาบถูกเคลื่อนย้ายมา เช็ดไปมาสองสามที บรรจุดินปืนและกระสุนขึ้นเชือกเตรียมจุด หนิวเชียนเวยก็ร้องเสียงดังว่า

“ใต้เท้าท่านนี้ เราเป็นทหารทางการเหมือนกัน อย่าเล่นปืน อย่าใช้ปืนใหญ่ ไยต้องถึงเพียงนี้!!”

คราวนี้หวังทงไม่พูด มู่เอินถือคบไฟอยู่ ตะโกนด่าไปว่า

“ใต้เท้าเราให้พวกเราไสหัวลงไป ไม่ลงก็ต้องยิง ยังไม่ลงไปอีก!!”

บอกว่าจะใช้ปืนใหญ่ก็บรรจุดินปืนทันที แม้ว่ายังไม่พร้อมยิง แต่ทุกการเคลื่อนไหวก็ทำให้พวกหนิวเชียวเวยหวาดกลัวถึงขีดสุด ไม่กล้ากล่าววาจาโอหังอันใดต่อ สบตากัน จากนั้นไม่ว่าขันทีฉู่จะโมโหหรือไม่ก็ไม่อาจสนใจ ได้แต่พากันหนีลงจากกองเรือปิดเส้นทาง

อย่างไรก็เรือเขาก็อยู่หน้าสุดติดกับกองปิดเส้นทาง รีบวิ่งกลับไปที่เรือของตัวก่อน

“เจ้าหวังทงตัวน้อย เจ้ารู้ไหมว่าข้าคือใคร!!”

คนที่มุงดูอยู่ไม่วิ่งหนีก็ออกไปแอบหลบดูอยู่ไกลๆ ทหารมีระเบียบบังคับได้แต่สงบนิ่งอยู่ที่เดิม ขันทีฉู่ตะโกนเสียงแหลมเล็กดังขึ้น ทุกคนต่างได้ยินชัดเจน

หวังทงเงยหน้าขึ้นมอง ขันทีฉู่มองมาพอดี สบตากันอย่างเอาเรื่อง หวังทงไม่สนใจแม้แต่น้อย ออกคำสั่งทันทีว่า

“หันปากปืน เล็งไปทางเรือนั่น!!”

พอได้ยินคำสั่ง มู่เอินก็รีบสั่งทหารให้เคลื่อนรถปืนใหญ่หันไปทางเรือ มู่เอินแม้ว่าอยู่ข้างกายหวังทง แต่หวังทงก็ยังตะโกนดัง ฉู่จ้าวเหรินย่อมได้ยินชัดเจน

ฉู่จ้าวเหรินอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ตะโกนดุดันดังมาว่า

“ข้าเป็นผู้ช่วยหัวหน้าสำนักอาชาหลวงที่ไทเฮาและฮ่องเต้ทรงเลือกด้วยพระองค์เอง เจ้ากล้าหรือ!!?”

“ตั้งปืนพร้อม!”

หวังทงออกคำสั่งน้ำเสียงเย็นเยียบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version