Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 403

ตอนที่ 403 ฉู่จ้าวเหริน ที่ข้าจะยิงคือท่าน

รถปืนใหญ่ที่หวังทงใช้ตอนนี้ไม่ใช่ปืนประเภทที่เขาเห็นในภาพยนตร์ในโลกก่อน แต่เป็นรถเทียมม้าเทียมวัวดัดแปลงมา ไม่อาจตั้งวิถียิง ได้แต่ยิงแนวราบ

ปืนใหญ่ที่วางอยู่บนรถคันใหญ่นั้นเมื่อยิงไปลูกหนึ่งก็จะกระเด้งถอยหลังระยะไกล ทหารปืนใหญ่จำเป็นต้องตรวจฐานปืนรถให้ละเอียด มีอันใดเสียหายก็ต้องรีบซ่อมแซมให้แน่นหนา และเพราะยิงแนวราบ ระยะยิงไกล ระยะแม่นยำก็ต้องราวหนึ่งร้อยก้าว

แต่การยิงจากบนฝั่งใส่เรือกลางแม่น้ำนั้นก็เป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง โดยเฉพาะเรือลำใหญ่ขนาดนี้

พอเห็นดูปืนใหญ่ถูกทหารปืนใหญ่เข็นมาชิดริมฝั่งเบนหัวมาทางเรือ ทุกคนบนผืนน้ำก็มองกันอ้าปากค้าง

ขันทีฉู่บนดาดฟ้าเรือก็มองปืนกระบอกใหญ่ที่ถูกเข็นมา เมื่อครู่เพื่อให้ดูการลงมือได้ชัดเจน เขาสั่งการให้คนของตนแล่นเรือเข้าใกล้อีก ปืนใหญ่ไม่ได้เข็นออกไปไกลนัก

ฉู่จ้าวเหรินราวกับอัมพาตไปทั้งตัว ตนเองได้แจ้งชื่อยิ่งใหญ่ออกไปแล้วแท้ๆ เหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่สนใจแม้แต่น้อย เจ้าหวังทงก็แค่ขุนนางคนสนิทที่ถูกขับออกจากเมืองหลวง เหตุใดจึงกล้าเพียงนี้

ปืนใหญ่ถูกเข็นมา มีคนตอกไม้ใต้รถเพื่อยึดให้แน่น จากนั้นก็ทำความสะอาดปากประบอกปืน ก่อนจะบรรจุดินปืน หลังปืนใหญ่ยิงออกไปย่อมกระเด้งถอยหลัง พื้นที่ด้านหลังก็ต้องเก็บกวาดให้เรียบ ทหารเดินถอยหลังไปหลายสิบก้าวเพื่อตรวจดูอีกรอบ คนไม่เกี่ยวข้องถอยห่างไปหมดแล้ว

เรืออื่นๆ ที่เทียบท่าอยู่ด้านหน้าปืนใหญ่ เรือพวกนี้ไม่มีความผิด ย่อมถูกไล่ให้ออกห่างรัศมี ทหารหวังทงสาละวนกันการจัดการอยู่ เรือที่เทียบท่าก็รีบร้อนออกจากแนวยิงกันราวกับนกแตกรัง

“หวังทงเจ้าตัวซวย เจ้ายังเห็นกฎหมายบ้านเมืองในสายตาหรือไม่ ยังเห็นไทเฮาและฝ่าบาทในสายตาหรือไม่ ถึงกับกล้าลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้กับข้า!!”

ลูกเรือ นางกำนัลและขันทีน้อยที่อยู่บนเรือต่างกลัวกันจนหน้าซีดเผือด ผู้หญิงหวาดกลัวจนร้องไห้เสียงดังออกมา พวกผู้ชายขี้ขลาดก็สั่นเทำไปทั้งตัว มีเพียงขันทีฉู่ที่ตะโกนเสียงแหลมดังอยู่ผู้เดียว

หวังทงไม่สนใจแม้แต่น้อย เอาแต่จ้องดูการเตรียมการของทหารปืนใหญ่ พอได้ยินว่ามีคนต่อต้านการเก็บภาษี หวังทงก็รีบนำคนออกมาจากจวน แต่ปืนใหญ่นี้ไม่ใช่ กำลังหลักหวังทงอยู่ที่แม่น้ำทะเล คลองส่งน้ำไม่ได้มีการป้องกันอันใดมากนัก แต่หากมีเรื่องก็ย่อมต้องเคลื่อนกำลังมา หากเร่งด่วน การจะเคลื่อนย้ายอาวุธปืนไฟมาก็ย่อมไม่สะดวก จึงได้จัดโกดังริมคลองแห่งหนึ่งไว้เก็บยุทโธปกรณ์

ปืนใหญ่นี้ก็อยู่ในนั้น วันนี้เอาพวกมู่เอินมาด้วย ก็สะดวกรวดเร็วยิ่ง ไม่เสียเวลาชักช้าอันใด

ยามนี้พานหมิงก็นำกำลังนาวาสุคนธ์หลายร้อยตามมาด้วย หวังทงให้พวกเขาประจำการแค่ที่คลองส่งน้ำเท่านั้น ในเวลานี้หวังทงมีกำลังเกือบหนึ่งพัน คนของฉู่จ้าวเหรินไม่ถึง 300 เทียบกันแล้ว ทางนั้นก็ย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหว

ขันทีผู้นั้นตะโกนดังมาว่า ‘ไทเฮา’ ‘ฝ่าบาท’ แม้แต่คนของหวังทงยังเริ่มลังเล แต่หวังทงเอาแต่จับจ้องการเคลื่อนไหวของแต่ละคน ใครชักช้าเพียงเล็กน้อยก็จะจ้องอย่างเอาเรื่องทันที

การฝึกฝนหลายวันมานี้ ทำให้ทุกคนรู้ดีว่าคำสั่งทหารเสมือนขุนเขา ไม่กล้าฝ่าฝืน แม้ว่าลังเล แต่การเคลื่อนไหวก็ไม่อาจชักช้า

เมื่อมองไปยังปืนใหญ่ที่เตรียมพร้อม ขันทีฉู่ข้างบนดาดฟ้ายกองค์เทพในวังมากล่าวกันหมดแล้ว ยังด่าทอไปสาปแช่งไป พอเห็นเรือที่ฝั่งตอนเหนือถอยออกห่างไปหมด มีเพียงปืนใหญ่กระบอกเดียวเล็งมา เห็นปากกระบอกปืนมันปลาบ ยังมีสายตาฝูงชนจับจ้อง ก็รู้สึกวาจำที่อยากกล่าวถูกกลืนหายลงไปจนหมดสิ้น เริ่มสั่นเทำไปทั้งตัว

ทหารเตรียมปืนใหญ่เสร็จ ก็มองไปทางนายกองร้อยมู่เอิน มู่เอินหันไปทางหวังทง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่กล้าลงมือพลการ

ยิ่งไปกว่านั้น ใต้เท้าตนแค่บอกให้เตรียมยิง ไม่ได้สั่งให้ยิง ยังต้องรอใต้เท้ามีคำสั่งก่อน หวังทงเดินเข้ามากล่าวว่า

“เอาคบไฟมาให้ข้า ข้าจะยิงเอง”

เมื่อได้ยิน มู่เอินก็รีบส่งคบไฟในมือให้หวังทง หวังทงจ้องไปทางฉู่จ้าวเหรินที่ไม่อาจกล่าวอันใดออกมาได้อีก คลี่ยิ้มกว้างก่อนจะกล่าวว่า

“นับถึงร้อยก็จะยิง!”

วาจานี้กล่าวออกมาได้ง่ายดายยิ่ง หากคนได้ยินถึงกับตะลึงงัน หวังทงหันไปบอกทหารข้างกายว่า

“นับ!”

ฉู่จ้าวเหรินกำราวระเบียงแน่น จ้องมองหวังทงเส้นเลือดปูด สีหน้าดุร้ายอย่างมาก ทหารเบื้องล่างตะโกนนับไปเรื่อยๆ

เมื่อได้ยินว่านับถึงร้อย หลายคนก็ผ่อนคลายลง มองไปทางฉู่จ้าวเหริน รอให้นายตนออกคำสั่ง พอนับถึง 20 ฉู่จ้าวเหรินก็ยังคงนิ่งไม่ขยับ จ้องมองคนของหวังทง..นับถึง 30 ก็ยังคงไม่ขยับ คนรอบๆ เริ่มลนลาน

นับถึง 40 ลูกเรือทั้งด้านหน้าด้านหลังต่างก็ทนไม่ไหว ทยอยโดดลงน้ำไป มีบางคนกระโดดขึ้นไปหลบบนเรือลำอื่น

พวกหนิวเชียนเวยห่างไปอีกลำเรือ ก็มองฉู่จ้าวเหรินอึ้งไปเช่นกัน มองไปทางปืนใหญ่บนฝั่ง ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่า ปืนใหญ่บนฝั่งจะกล้ายิงมาจริงๆ หรือว่าฉู่จ้าวเหรินกำลังเดิมพัน

นับถึง 60 ฉู่จ้าวเหรินหันไปส่งสายตาดุร้ายให้กับพวกหนิวเชียนเวย พวกเขาไม่ขยับกันอยู่นานแล้ว พอสายตาหันมาจ้องมอง ก็ได้สติทันที

สายตาที่จ้องมาทำเอาหนิวเชียนเวยได้สติ รีบโยนดาบในมือทิ้ง ตะโกนดังขึ้นว่า

“ฉู่กงกง อย่าได้ไปปะทะกับคนชั่วเช่นนี้ ทำลายร่ายกายดังทองคำของท่าน!”

“อย่ามาดึงข้า ข้าจะรออยู่บนเรือดูว่าเจ้าหวังทงบัดซบนั่นจะกล้ายิงหรือไม่ แน่จริงเจ้าก็ยิงเลยสิ!!”

เมื่อหนิวเชียนเวยตะโกนไป ฉู่จ้าวเหรินก็เกิดอาการคลั่ง ตะโกนเสียงแหลมดังขึ้น แต่ตอนนี้คนที่มีประสาทรับรู้ไว้ย่อมรู้ในใจแล้วว่า วาจาของฉู่กงกงก็คือ จะยิงแล้ว พวกเจ้าบัดซบรีบมาดึงข้าลงไป

หากลูกน้องตนกลับคิดช้า มีเพียงขันทีน้อยบนเรือที่กำลังหวาดกลัวสุดขีดกลับเข้าใจได้ในทันที รีบวิ่งเข้าไป ร้องไห้ตะโกนดังว่า

“กงกงอย่าได้กล่าววาจามากความกับโจรพวกนี้ รีบลงไปเถอะ!”

“อย่ามาดึงข้าๆ จะดูซิว่าเจ้าหวังทงนั่นจะกล้ายิงไหม!!”

ขันทีฉู่ดิ้นรนสุดชีวิต ส่งเสียงด่าทอดัง ทำทีผลักไสไปมาก่อนจะถูกลากลงจากดาดฟ้า หนิวเชียนเวยก็รีบหาเรือเล็กเข้าเทียบ ขนบรรดาขันทีนางกำนับและคนที่เหลือบนเรือลงไป ห่างออกจากเรือใหญ่ลำนั้น

ขันทีฉู่บนเรือด่าทอเสียงดังชี้มือชี้ไม้ขึ้นฟ้า แต่หลายคนที่ดึงเขาไว้กลับรู้สึกว่าแรงดิ้นไม่มากเท่าไร……

“หนึ่งร้อย ~ ~ ~”

ในที่สุดการนับจำนวนก็จบลง บนเรือใหญ่ไม่มีคนแล้ว หวังทงใช้ผ้าอุดหูก่อน จากนั้นก็จุดไฟ

เสียง ‘ตูม’ ดังขึ้น ปากกระบอกปืนเล็งยิงเปิดรูขนาดใหญ่ด้านข้างของเรือ เศษไม้ปลิวกระจาย กระสุนปืนใหญ่ทะลุไปถึงกำแพงชั้นหนึ่งของเรือ ก่อนจะทะลุไปออกอีกด้าน

ลูกเหล็กหลายชั่งลอยปลิวไปด้วยความเร็ว เรือที่ทำจากไม้ก็ย่อมต้านไม่อยู่ แต่ก็ยิงแค่เป็นรูเท่านั้น พอยิงไปแรงก็ส่งผลให้ปืนกระเด้งถอยหลัง เชือกเส้นใหญ่ที่รั้งไว้ก็ทิ้งตัวไปยาว ห่างออกไปราว 20 กว่าก้าว ทหารเก็บเชือกขึ้นมา ออกแรงดึงรั้งให้กลับมาที่เดิม

“ปากกระบอกปืนปรับต่ำลง เติมใหม่!!”

เดิมคิดว่ายิงไปลูกหนึ่งเสร็จก็พอ คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะออกคำสั่งอีก ทหารปืนเริ่มตั้งปืน ขุดพื้นดินด้านหน้าปืนให้ลึกลงไป เข็นล้อรถลงไปอยู่ในหลุม จากนั้นก็ขัดไม้ฐานให้แน่น ปากกระบอกปืนเล็งต่ำ

พอจัดการเสร็จ คราวนี้ไม่รอนับ หวังทงยิงทันที……

‘ตูม!!!’ ดังสนั่นติดกันไปทั่วคุ้งน้ำ ไม่ว่าเรือหรือคนรอบๆ ออกไปนอกรัศมีแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะทำผู้ใดบาดเจ็บ เสียงปืนดังแต่ละนัด ทำเอาคนที่ได้ยินต้องสะดุ้งตัวสั่นไปทั้งตัว

“ใต้เท้า ปืนร้อนไปแล้ว ต้องพักครึ่งชั่วยามค่อยยิง!”

นายกองร้อยปืนใหญ่มู่เอินเข้ามาตะเบ็งเสียงรายงาน หวังทงพยักหน้า โยนคบไฟลงน้ำไป ยามนี้ก็ได้ยินเสียง “ครืน” ดังมา เรือลำนั้นที่ถูกยิงไปสิบลูกก็ต้านทานไม่ไหว ในที่สุดก็แตกออกจากกัน

ลำเรือถูกยิงสองรูใหญ่ ค่อยๆ จมลง เรือลำนั้นเสียหายหมดทั้งลำแล้ว……

หวังทงตบมือพูดว่า

“เชิญฉู่กงกงมาเจรจา”

ลูกน้องประคองฉู่กงกงขึ้นฝั่งมาถึงก็ตะโกนด่าทอเอาเรื่องว่า

“หวังทง ที่เจ้าทำทุกอย่างในวันนี้ อย่าได้โทษข้าใจร้าย เจ้าคิดว่าเป็นขุนนางที่ฝ่าบาทโปรดปรานแล้วจะวางอำนาจเช่นนี้ได้ ถูกขับออกจากเมืองหลวงมาแล้วยังกล้าเหิมเกริม รอให้ข้ากลับเข้าวังก่อน จะไปเข้าเฝ้าไทเฮา ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ให้ทั้งสองพระองค์ให้ความเป็นธรรม ถึงตอนนั้นต้องทรงให้ความเป็นธรรมแก่ข้า”

ทางหวังทงมีคนมากกว่า คนของขันทีฉู่มีไม่กี่ร้อยย่อมไม่กล้าทำอันใด ได้แต่ตะโกนด่าทอวางอำนาจ เรื่องวันนี้ คนที่พอวิเคราะห์ได้ก็ย่อมรู้ว่า มีเรื่องไปถึงในวัง ไทเฮาย่อมทรงกริ้วหนัก

หวังทงไม่รับคำ กลับชี้ไปยังกองเรือบนผืนน้ำกล่าวว่า

“ฉู่กงกง ผ้าแพร เครื่องเคลือบ ของอื่นๆ กับเงินทองของมีค่า บนเรือท่านน่าจะราวสองแสนตำลึงได้ จัดซื้อให้ในวังหรือไม่ หากใช่ ก็เอาเอกสารมา ข้าจะชดใช้ให้สามเท่า และขอขมาด้วยตนเอง”

พอถามเช่นนี้ ฉู่จ้าวเหรินก็อึ้งไป ข้าวของเงินทองที่ตนสั่งสมมาไหนเลยจะส่งเข้าวังหลวง จะแอบอ้างก็ไม่กล้า หากหวังทงเอาจริง ของพวกนี้คงได้ปลิวหายไปหมด เขาจึงเงียบไป หวังทงเอ่ยต่อว่า

“ไม่ใช่สินค้าทางการ เช่นนั้นข้าก็จะเก็บภาษีปกติ ท่านรู้หรือไม่ว่าด่านภาษีนี้เก็บเงินให้ผู้ใด? จะบอกท่านให้ว่า ถวายให้ฮ่องเต้! ถวายให้ไทเฮา! ท่านกล้าดีอย่างไรไม่จ่าย หากปล่อยท่านไป วันหน้าคนนี้ไม่ให้คนนั้นไม่ให้ ข้าจะเก็บเงินไปถวายได้อย่างไร ท่านใช้กำลังต่อต้านภาษี คิดจะผ่านไปด้วยกำลัง ทำร้ายเจ้าพนักงานบาดเจ็บ ทำลายกฎ ละเมิดธรรมเนียม……”

เสียงสูงขึ้นเรื่อย ๆ หวังทงหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ไปยังอีกฝ่ายคำรามเสียงดังว่า

“……ฉู่จ้าวเหริน!! วันนี้ที่ข้าจะยิงคือท่าน!!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version