Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 420

ตอนที่ 420 ราชโองการเคลื่อนกำลังฝึกซ้อมชายแดน

ในโลกก่อน หวังทงเคยคบหากับชาวต่างชาติ แต่พวกนั้นแม้ว่าจะจับจ้องเงินทอง หากยังมักร้องตะโกนดังเรื่องรักษ์สิ่งแวดล้อมอะไรพวกนั้น

แต่ตอนนี้ช่างฝีมือและลูกเรือพวกนี้ล้วนเห็นแก่เงินอย่างเดียว ความโลภบดบังสายตาไปหมด หวังทงให้พวกเขาอยู่รับใช้ก็ย่อมจ่ายหนัก แต่พวกช่างฝีมือไปจนลูกเรือ พออ้าปากก็เอ่ยราคาสูงลิ่ว คิดว่าหวังทงไม่รู้เรื่อง

เช่นช่างทำรถม้าพวกนั้น อ้าปากก็ว่าเอาเงินเดือนคนละ 500 ตำลึง ได้ยินแล้วทำเอาหวังทงโกรธจนหัวเราะออกมา

ยังดีที่เขาเตรียมการไว้แล้ว แม้ว่าไม่คุ้นเคย แต่บามองด์ที่อยู่มาเก๊ามานานก็ย่อมคุ้นเคยและรู้ดีกว่าเงินเดือนแต่ละอาชีพควรจะเท่าไร

ดังนั้นตอนเสนอเงื่อนไขจึงตรงไปตรงมา ให้เงินเดือน ให้ที่อยู่ที่กิน ให้สามเท่าของเงินเดือนที่มาเก๊า ผลิตอันใดออกมาก็นำมาขายได้ เทียนจินจะให้ราคามากว่าที่มาเก๊าสองเท่า แน่นอน พวกที่เชี่ยวชาญงานพวกนี้มากกว่าก็ย่อมได้ค่าตอบแทนที่มากเป็นพิเศษ

โรงตีเหล็กทางการและของพ่อค้าเองก็ส่งคนงานมาเรียนรู้งานกันมาก หวังทงเอ่ยปากออกไปว่า ผู้ใดสามารถเรียนรู้วิชาจากพวกตะวันตกมาได้ ก็จะให้ค่าแรงสูงกว่าอีกหนึ่งเท่า

ค่าแรงชาวต่างชาตินับว่าสูงแล้ว ยังได้เพิ่มอีกเท่าเช่นนั้นก็ย่อมก้อนโตมาก พอกล่าวออกไปเช่นนี้ทุกคนก็หวั่นไหว ล้วนตั้งอกตั้งใจพยายามเรียนรู้ให้ดี

หูอันกับลูกน้องแม้รับปากจะถ่ายทอดการแล่นเรือเดินเรือ แต่หวังทงยังหาคนที่พอไหวมาเรียนรู้ไม่ได้ในทันที

อย่างไรก็เป็นการเดินทะเล คนขึ้นเรือก็ย่อมต้องทนคลื่นลมได้ คนเช่นนี้ก็ย่อมเป็นชาวประมงหรือลูกเรือการค้า คนของหวังทงเช่นนี้มีทั้งหมดร้อยกว่าคน แต่ต่างก็มีงานของตนที่ต้องรับผิดชอบ

ยังดีที่อยู่ในฤดูหนาวที่ทะเลปิด ทุกคนก็ศึกษาถ่ายทอดกันบนฝั่งก่อน ปีหน้าเปิดทะเล ก็ค่อยคิดกันใหม่

ปืนใหญ่หลายกระบอกบนเรือต้องการลูกเรือปฏิบัติหน้าที่ ทหารปืนใหญ่ที่พอมีความรู้ หวังทงก็จัดให้ไปอยู่กับถานหั่วและมู่เอินแล้ว อยากให้สองฝ่ายแลกเปลี่ยนกัน ดูว่ามีอันใดสามารถเรียนรู้ได้อีก

โลกในสมัยหลังอาจกล่าวว่า การเรียนรู้ครั้งใหญ่และขบวนการผลิตจำนวนมากของเทียนจินเริ่มต้นขึ้นอย่างโหมกระหน่ำ ทุกคนเต็มไปด้วยความแข็งขันกระตือรือร้น ชาวหมิงขยันเรียนรู้การผลิต ชาวต่างชาติขยันหาเงิน

มีชาวโปรตุเกส 10 คนไม่ได้เข้าร่วมในการนี้ เพราะเฉินหลินจับจากมาเก๊ามาอีกสิบคนนั้นเป็นทหารโปรตุเกสสิบนาย

ตอนส่งมอบให้หวังทง นายกองพันผู้นั้นยังระบุว่า ชาวโปรตุเกส 10 คนนี้ค่อนข้างเก่งในกองทัพที่นั่น ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์ต่อหวังทงหรือไม่

ประโยชน์ย่อมมี ทั้ง 10 คนนี้ยังมีมีจิตใจหนักแน่น นายกองพันนั้นพาเดินทางจากมาเก๊ามาถึงเทียนจิน ตลอดทางที่มาทั้ง 10 คนคิดจะยึดเรือ แต่ถูกเพื่อนร่วมชาติที่มาด้วยกันฟ้องเสียก่อน ต่อมานายกองพันจึงได้ให้ล่ามไปด่าว่า ‘พวกเจ้าถูกหัวหน้าส่งมา คิดว่าถูกจับตัวมาหรือไง’ ด่าเสร็จ คนเหล่านี้จึงได้สงบเสงี่ยมขึ้น

แต่ขณะที่คนอื่น ๆ มีความกระตือรือร้นที่มีโอกาสได้เงินดี พวกเขากับอยู่ในค่ายกักกันอย่างเจียมตัว กินข้าวแล้วนอนเงียบๆ ออกมาออกกำลังตามเวลาที่กำหนดเท่านั้น

พวกเขาเงียบ แต่หวังทงไม่รีบร้อน หากมีความคิดซื่อสัตย์ภักดีนายเดียวอันใด ตอนอยู่บนเรือโดดทะเลตายไปใช่ว่าจบเรื่องหรอกหรือ มาถึงนี่อาจอดอาหารฆ่าตัวตายก็ไม่ใช่เรื่องยาก ไยต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบ ๆ ค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรย่อมมีหนทาง

************

วันที่ 2 เดือนสิบสอง ราชโองการจากราชสำนักมาถึงเทียนจิน หวังทงแห่งกองกำลังหู่เวยประจำเทียนจิน สังกัดสำนักอาชาหลวงรับพระบัญชา……

ขันทีที่ประกาศราชโองการก็มีท่าทีเกรงอกเกรงใจเหมือนปกติ หวังทงรับราชโองการมาก็มอบอั่งเปาให้ไป ขันทียิ้มกว้างจากไป หากหวังทงกลับไม่มีรอยยิ้ม ส่งคนไปตามนายกองร้อย หัวหน้าค่ราย และหัวหน้าหน่วยทุกคนในสังกัดเขาให้มารวมตัวกันที่จวน มีเรื่องที่ต้องหารือกัน

“สำนักอาชาหลวงใช้การออกรบเพื่อฝึกซ้อมกองกำลัง ตอนนี้แต่ละกองกำลังกำลังผลัดเปลี่ยนกัน กองกำลังหู่เวยเราเองก็ต้องไปหาที่ออกสนามรบเพื่อฝึกซ้อมเช่นกัน วันที่ 29 เดือนสิบสองออกเดินทางได้ ไปที่ป้อมจางเจียโข่ว เมืองเซวียนฝู่”

หวังทงกล่าวน้ำเสียงราบเรียบถึงราชโองการ ลูกน้องพากันเงียบกริบ ก่อนจะเอ็ดตะโรขึ้น หม่าซานเปียวยืนขึ้นกล่าวเสียงดังว่า

“ตอนนั้นก็รู้สึกอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องดีอันใด วันที่ 29 เดือนสิบสอง ฉลองปีใหม่ให้พวกเราไปเมืองเซวียนฝู่ทรมานทำไมกัน นี่ย่อมเป็นแผนชั่วเจ้าฉู่เจ้าเหริน ใต้เท้า เรื่องนี้ไม่อาจรับปาก……”

หยางซือเฉินกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“เมืองเซวียนฝู่ในเดือนสิบสองเดือนหนึ่งกำลังหนาวที่สุด ยังมีพวกนอกด่านออกปล้น อยู่ๆ ให้นำกองทัพไปเช่นนี้ คนก็ไม่คุ้นชิน อากาศก็หนาวเหน็บ เกรงว่าจะสูญเสียไม่น้อย ราชสำนักเดิมให้เรารักษาดูแลเทียนจิน แต่ฉู่เจ้าเหรินกลับคิดแผนนี้ออกมา ช่างลึกล้ำยากหยั่งจริง!!”

ทุกคนในห้องโมโหกันยกใหญ่ หากไม่ใช่ว่าไช่หนานอยู่ในห้องด้วย เกรงว่าทหารทุกคนคงได้ด่าคำหยาบเช่นว่า ‘พวกไร้อัณฑะ’ กันออกมาแล้ว

หลังก่อตั้งกองกำลังหู่เวย ไช่หนานก็ย่อมเป็นผู้ควบคุม หากเขากลับไม่ได้ออกอาการเป็นเดือดเป็นแค้น ทว่าก็กล่าวออกอาการเล็กน้อยว่า

“เข้าสังกัดสำนักอาชาหลวง หากทางนั้นสั่งการมาก็ต้องฟังคำสั่ง ในวังยังออกราชโองการมาด้วย นับว่านั่งอยู่ในที่แจ้งสั่งการโดยแท้ ใต้เท้า หากไม่ปฏิบัติ เกรงว่าคงมีฎีกาไปถึงฝ่าบาท”

ทันทีที่ได้ยิน ทุกคนก็เริ่มเอะอะ ทุกคนมองมาที่หวังทงด้วยความคาดหวัง ทุกคนรู้ว่านายท่านตนนั้นเป็นขุนนางคนโปรดของฮ่องเต้

หากเรื่องใต้หล้าบนแผ่นดินหมิง ใช่ว่าเป็นการจัดการของฮ่องเต้ว่านลี่เพียงผู้เดียว หวังทงกล่าวจบ ก็มองแววตาของทุกคน ทุกคนบ้างก็โมโห บ้างก็ร้อนใจ ทว่าขุนพลตระกูลถานและเด็กหนุ่มที่มาจากลานฝึกก็ไร้ปฏิกิริยา นิ่งเงียบอย่างยิ่ง

หวังทงยกมือกดลงเป็นสัญญาณให้เงียบ เอ่ยว่า

“แม้ว่าไม่ใช่กองกำลังหู่เวยสังกัดสำนักอาชาหลวง พวกเราก็ไม่ใช่กองทหารงั้นหรือ?”

การย้อนถามเช่นนี้ทำให้ทุกคนเริ่มงง หวังทงขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ ถามอย่างเคร่งเครียดว่า

“วันนั้นที่ทูลลากับฝ่าบาทที่ลานฝึก ข้าทูลว่าจะสร้างกองกำลังเพื่อฝ่าบาทกองหนึ่ง ชื่อว่ากองกำลังหู่เวย เรื่องนี้พวกเจ้าก็รู้ใช่ไหม!!”

ที่หวังทงพูดมาเป็นเรื่องเล่าที่ทุกคนในกองกำลังหู่เวยต่างรู้กันดี เป็นวิธีการสร้างขวัญกำลังใจให้เข้มแข็งภาคภูมิใจ หวังทงประกาศหลายครั้ง เห็นทุกคนยังคงมีสีหน้าไม่เข้าใจ น้ำเสียงหวังทงก็เริ่มเข้มยิ่งขึ้น

“เป็นทหารในพระองค์ เป็นทหารแห่งแผ่นดินหมิง เหตุใดกองกำลังหู่เวยจึงควรได้สิทธิพิเศษ ทั้งวันเสพสุขแต่ในเทียนจินเล่า ปิดประตูฝึกซ้อมงั้นหรือ?”

พอกล่าวออกไป ทุกคนเริ่มก้มหน้านิ่ง ถานเจียงพยักหน้าน้อยๆ น้ำเสียงหวังทงเริ่มรุนแรงขึ้นอีก

“เมืองเซวียนฝู่มีทหารเกือบแสน แต่ละด่านก็มีทหารรักษาการณ์ อากาศหนาวเหน็บ ทำไมพวกเขาทนได้ พวกเรากลับต้องสูญเสียด้วย อยากกินดีอยู่สบายจะเป็นทหารทำไม คลานกลับไปเป็นคุณชายไม่ดีกว่าหรือ!!”

“ใต้เท้า ข้าไม่ได้กลัวการออกรบ แต่รู้สึกว่าเห็นอยู่ว่าฉู่เจ้าเหรินเล่นงานพวกเรา……”

หวังทงตำหนิอย่างหนัก มีแต่หม่าซานเปียวที่พอมีสถานะแก้ตัวด้วยท่าทีเหมือนโดนรังแกได้ คนอื่นๆ ไม่กล้าออกเสียงอันใด หวังทงส่ายหน้า เสียงดังขึ้นอีกว่า

“สำนักอาชาหลวงตั้งใจเช่นไรพวกเราไม่ต้องสนใจ ข้าต้องบอกทุกคนไว้ก่อนว่า เหล็กดีย่อมไม่กลัวสนิม กองกำลังหู่เวยเราทุกคนล้วนเป็นชายชาตรี ทุกคนฝึกฝนกันแข็งขัน แต่ไม่ได้พบเจอโลหิต ไม่ได้ออกสังหารศัตรู ก็ไม่อาจเรียกว่ากองทัพทหารที่แท้จริงได้ ในห้องนี้ทุกคน ยังมีขุนพลทหารแต่ละค่าย ล้วนติดตามข้าฟาดฟันหลั่งโลหิตมา พวกเจ้าก็มีประสบการณ์ จึงมีสถานะเช่นวันนี้ได้ ลูกหลานกองกำลังหู่เวยเราหากไม่มีประสบการณ์นี้ จะเป็นกองกำลังที่เก่งกล้าได้อย่างไร”

ตอนมารับตำแหน่งที่เทียนจิน ถูกตามล่าสังหารระหว่างทาง หวังทงนำคนในปกครองออกสังหารล่าถอยกลับไป หัวหน้านาวาสุคนธ์ก่อจลาจล ยังมีกองทหารที่อื่นลงมือเองอีก ยังมีโจรสลัดบุกยามค่ำคืน ที่เรียกได้ว่าการต่อสู้แท้จริง หากโจรสลัดพวกนั้นตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับมือทางการได้ เป็นทหารม้าและทหารปืนใหญ่ที่สร้างความชอบใหญ่

ขุนพลในกองกำลังหู่เวยจะได้เลื่อนตำแหน่ง หรือพลทหารเองก็ตาม ก็มีมาตรฐานหนึ่ง นั่นก็คือเข้าร่วมการศึกที่แท้จริง เคยสังหารศัตรู ทหารส่วนใหญ่ล้วนเข้าร่วมการต่อสู้แท้จริงตอนโจรสลัดบุก แต่หวังทงกับถานเจียงเห็นว่า การสู้ศึกครั้งนั้นไม่น่านับได้ โจรสลัดไม่ชำนาญบนบก และตอนนั้นก็ไม่ได้ระวังทางการ จึงไม่นับว่าออกศึกอย่างกล้าหาญอันใด

หวังทงกล่าวถึงตรงนี้ ทุกคนก็พร้อมใจกันยืนตรงยืดอก หวังทงกวาดตามอง พยักหน้ากล่าวว่า

“สำนักอาชาหลวงต้องการเปิดโอกาสให้พวกเราได้เจอกับการศึกแท้จริง นับว่าเป็นการเปิดทางแห่งประโยชน์ใหญ่ให้ทุกคนในกองกำลังเรา ทุกคนกลับไปฝึกทหารตนเองให้ดี เตรียมเดินทางไปเมืองเซวียนฝู่!!”

ทุกคนตอบรับพร้อมเพรียง หวังทงโบกมือ ทุกคนกลับไปยังค่ายตน หัวหน้าคนสำคัญอยู่ต่อ

“นายกองไช่ ท่านรีบเขียนสารตอบกลับไป บอกว่ากองกำลังเรากำลังเร่งเตรียมการ จะปฏิบัติหน้าที่ตามกำหนด รีบเขียนให้เร็วที่สุด จากนั้นก็ให้ม้าเร็วส่งไปเมืองหลวง สถานีพักม้าเราสร้างเสร็จแล้วใช่ไหม? ใช้ช่องทางนี้ส่งข่าวไป!! จะต้องเร็ว อย่าให้ผู้ใดกล่าวหาจนเป็นเรื่องเอาได้!!”

ในเมื่องทุกเรื่องจัดการเรียบร้อย หวังทงพูดมา ไช่หนานก็ย่อมเข้าใจอย่างมาก รีบพยักหน้ารับคำ ไปหยิบกระดาษกับพู่กันและหมึกบนโต๊ะในห้องมาเตรียมเขียน

“ท่านหยาง ช่วยร่างหนังสือ เรื่องที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่ให้เป็นเอกสารรายงาน จะต้องทำให้ทหารกองกำลังหู่เวยเราทุกคนไม่กลัวความหนาวและความลำบาก เขียนให้รู้สึกฮึกเหิม ตั้งใจฝึกฝนเพื่อฮ่องเต้และแผ่นดินหมิงเรา เรื่องนี้ก็อย่าได้รอช้า ข้าอ่านก่อนค่อยส่งออกไป!!”

หยางซือเฉินอึ้งไป หวังทงยิ้มอธิบายว่า

“เรื่องที่เราควรทำก็ย่อมต้องทำให้สำเร็จอย่างไม่ให้มีข้อผิดพลาด แต่ก็ต้องให้ฝ่าบาทรู้ว่าพวกเราปฏิบัติภารกิจอย่างตั้งใจ รู้ว่าพวกเราปฏิบัติภารกิจอย่างยากลำบาก เช่นนี้ความจงรักภักดีของพวกเราจึงจะเป็นที่ประจักษ์”

วาจาล้ำลึก ทำเอาหยางซือเฉินต้องคิดอยู่นานกว่าจะเข้าใจ อุทานดัง ก่อนจะรีบไปปฏิบัติ หวังทงหันกลับมากล่าวกับซุนต้าไห่ จางซื่อเฉียงและพวกขุนพลตระกูลถานว่า

“สิ่งของเครื่องป้องกันและอาวุธใดของกองกำลังหู่เวย และของอื่นๆ ที่ต้องซื้อหา ขอทุกท่านช่วยรีบจัดการด้วย!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version