Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 437

ตอนที่ 437 สังหารศัตรูหมดสิ้น กลับพร้อมชัยชนะเบ็ดเสร็จ

เสียงสุนัขเห่าเกรี้ยวกราด แม้ผ่านการต่อสู้ดุเดือดมาเมื่อกลางวัน แม้ว่าหนีทัพกันอลหม่านเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่ทุกคนในค่ายก็ตื่นขึ้น

หากก็สายไปเสียแล้ว รอบด้านนอกสุดส่งเสียงร้องตกใจและเสียงฆ่าฟัน ผู้ชายเผ่าหั่วเลยคำรามหยิบอาวุธวิ่งออกจากกระโจมมาสู้ แต่ทหารม้ามองโกลกลับไร้ความกล้าหาญสิ้นเชิง พากันสติแตก แม้ว่าทุกคนยังไม่ได้เห็นศัตรูด้านนอก แต่ก็รู้ได้เองว่าเป็นทหารหมิงจากค่ายรถศึก

เป็นกองทัพปีศาจอะไรกัน ถึงกับบุกเข้าโจมตียามค่ำคืน เสียงร้องโหยหวนด้านนอกยิ่งดังขึ้น แสงไฟลอดช่องกระโจมสาดแสงเข้ามา……

**********

ทหารราบกองกำลังหู่เวยจัดขบวนให้เรียบร้อยก่อนจะบุกต่อ แม้ข้างหน้ามีกระโจม ทุกคนก็ไม่หลบ หากใช้ทวนยาวตวัดเปิดออก ดูว่าข้างในมีสิ่งมีชีวิตก็จะใช้ทวนแทงใส่ จากนั้นก็เดินลุยต่อไป

กระโจมแต่ละหลังถูกตวัดทิ้ง บางกระโจมที่มีไฟยังไม่มอดหรืออะไรก็ตาม กระโจมทำจากพรมขนสัตว์หากตกใส่ไฟย่อมติดไฟยากดับ จึงต้องปล่อยให้ไหม้ไป

ผู้ชายเผ่าหั่วเลยถือดาบบุกออกมา แต่แรงคนเดียวไหนเลยจะสู้กับคนหลายร้อยได้ ตั๊กแตนขวางทางรถใหญ่ ก็คงได้แหลกเป็นผุยผงเท่านั้น

มีคนคว้าธนูวิ่งออกมา แต่ความมืดเจอแสง พักอยู่ข้างในกระโจมมานาน ไหนเลยจะยิงถูก พื้นที่สว่าง เขาสามารถยิงได้ กองกำลังหู่เวยเองก็ยิงได้ ก็มักถูกพลธนูกองกำลังหู่เวยที่ระวังตัวอยู่ก่อนยิงเข้าเป้าไปก่อน

ไฟโหมแรงขึ้น พวกทหารใช้ทวนยาวตวัดพรมติดไฟเข้าใส่กระโจมด้านหน้า แต่ละหลังเริ่มติดไฟ คนข้างในไม่อาจหลบซ่อนหรือต่อต้าน คิดแต่ว่าหากไม่อยากถูกเผาตาย ก็ต้องออกมา พอออกมาก็ตื่นตระหนกไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ถูกสังหารตายเท่านั้น

ในมือหวังทงมีทวนยาว กลับถูกทหารรับใช้และเด็กหนุ่มรั้งไว้ เข้าบุกไม่ได้ มันน่าเบื่อมาก

แม้ว่าเสียงสุนัขจะเห่าเตือนก่อน แต่พวกที่หลับอยู่ย่อมไม่ทันได้ตั้งสติหรือตอบสนองทัน พวกหวังทงใช้ยุทธวิธีกระจายกำลังเข้าประชิด ก็ย่อมไม่มีเสียงเคลื่อนไหวดังที่จะทำให้คนในเผ่าหั่วเลยรู้ตัว

ตอนนี้ทั้งสิบค่ายบุกเข้ามาในเผ่าหั่วเลย เผาสังหาร เห็นกระโจมแต่ละหลังติดไฟ มีเสียงคนร้องโหยหวนล้มตายไม่หยุด ถึงตอนนี้ก็ไม่อาจรวมตัวกันต่อต้านได้แล้ว

เพื่อไม่ให้บริเวณที่พักสกปรก คอกสัตว์ของชนเผ่ามองโกลก็จะแยกออกจากที่พัก มีระยะห่างพอควร ยามนี้เสียงร้องและเปลวไฟทำให้ม้าและสัตว์เลี้ยงอื่นเริ่มตื่นตกใจ แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น

ไม่มีม้า ไม่มีความเร็วและโอกาสหนีจากม้า พวกพลม้ามองโกลก็เท่านั้น พวกเขาได้แต่หยิบดาบโค้งและทวนสั้นตะโกนกันกรูออกมา ก็ได้แค่เท่านั้นจริงๆ

“ไม่ไว้ชีวิตผู้ใด คิดถึงพวกเชลยหมิงที่เราช่วยไว้ ถูกจับมาขายให้ที่นี่ร่วม 500 คน ไม่ถึงสองปีก็เหลือ 100 กว่าคน ยังถูกจับไปเป็นโล่มนุษย์ พวกเขาล้วนเป็นลูกหลานราษฎรหมิงเรา พวกเขาไม่เกรงใจเรา พวกเรายังต้องเมตตาอันใด!!”

หวังทงตะโกนคำรามดัง เขาให้คนในกระโจมวิ่งออกมาทิ้งอาวุธ คุกเข่าร่ำไห้ร้องขอชีวิต พวกทหารบางคนก็เริ่มลังเล

พอพูดจบ ด้านหน้าก็มีเสียงดังโหยหวนขึ้นเสียงหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงด่าทอด้วยความโมโห จากนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนดังต่อ ได้ยินคนตะโกนว่า

“พี่น้องเรา พวกผู้หญิงและเด็กก็มีอาวุธ หาจังหวะจู่โจมเราอยู่ ทุกคนอย่าหลงกล!!”

มีทหารวิ่งกลับมารายงาน เมื่อครู่กระโจมหนึ่งมีผู้หญิงกับเด็กโตสองคนร้องขอชีวิต ทหารหู่เวยลังเลครู่หนึ่ง สามคนก็หยิบมีดสั้นติดตัวแทงเข้าใส่ ที่เหลือสองคนถูกทหารที่ได้สติทันแทงตายไป แต่ก็มีทหารคนหนึ่งหลบไม่ทันถูกเด็กแทงตาย

“เมตตาพวกมองโกลก็เท่ากับแทงใส่ตัวเอง!!”

ผ่านเหตุการณ์สั่งสอนเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่ยั้งมือ

*************

เปลวไฟลุกทาบทาท้องฟ้า กระโจมชั้นในแน่นขนัดกว่ารอบนอก ทหารแต่ละค่ายไล่ล่าสังหารถึงชั้นในก็ไม่ต้องใช้ดาบทวนลงมือมากนัก ก็แค่เผากระโจมด้านนอก ใช้ทวนแทงเข้าไปก็พอ กระโจมติดไฟ คนวิ่งออกมาก็ย่อมโดนแทงตาย อยู่ด้านในก็ย่อมถูกเผาตาย

“ใต้เท้า พวกมองโกลที่สู้กับเราเมื่อกลางวันอยู่ทางนี้ เห็นพวกหลายคนสวมชุดเกราะแบบเดียวกัน”

หัวหน้าค่ายหลายคนเริ่มเข้ามารายงาน หวังทงพยักหน้า ออกคำสั่งง่ายๆ ไปว่า

“สังหารให้หมดก็แล้วกัน!”

แถวของแต่ละค่ายเริ่มไม่เป็นรูป ทหารถือดาบโล่เริ่มกระจายกำลังออกค้นหาว่ามีผู้ใดรอดชีวิตจากรอบนอกถึงด้านใน หากแกล้งตายบนพื้น หรือเจ็บหนักตายก็จะเข้าไปช่วยสงเคราะห์ดาบหนึ่ง

การโจมตีเมื่อกลางวัน ทหารราบไม่ได้เข้าร่วมเท่าไร จึงยังมีแรงกำลังมากอยู่ กลางวันพวกเขาเก็บกวาดสนามรบอาเจียนแทบแย่ แต่ตอนนี้ทุกคนเริ่มฮึกเหิมมีกำลังใจมาก

*************

การล่าสังหารจบลงอย่างรวดเร็ว ทหารแต่ละค่ายราวกับกระด้งเป็นรูที่ไม่ปล่อยให้เล็ดรอด เดินกวาดจากในออกมาหลายรอบ มั่นว่าไม่มีพวกเหลือรอดแล้ว จึงได้จัดแถวอีกครั้ง

“หัวหน้าค่าย นายกองร้อย นายกองธงใหญ่ นายกองธงเล็กทุกค่ายยังไม่ต้องนอน มารับคำสั่งก่อน ทหารที่เหลือพักผ่อนที่นี่!”

หวังทงสั่งการลงไป บริเวณเผ่าหั่วเลยและพื้นที่ด้านในล้วนถูกเปลวไฟเผาร้อนระอุ หากนอนต่อที่นี่ย่อมไม่รู้สึกหนาว ทหารแต่ละค่ายต่างโห่ร้องยินดี จากนั้นก็เข้าไปจัดการเตรียมตัว

อย่างไรก็เร่งเดินทางมาท่ามกลางความเหน็บหนาว ยังเข้าสังหารระลอกใหญ่ ตื่นเต้นกันมานาน ทุกคนก็เหนื่อยล้าอย่างมาก ทหารย่อมรับคำสั่ง ทุกคนล้มตัวลงนอนในพื้นที่ ไม่นานก็กรนหลับไป

พื้นที่เผ่าหั่วเลย เปลวไฟยังคงลุกโชน ความร้อนแผ่ออกมาต่อเนื่อง คาดว่าฟ้าสางจึงดับ ทุกคนหลับหมดแล้ว หวังทงออกสำรวจรอบหนึ่ง เอ่ยว่า

“ไปที่คอกแกะจับแกะอ้วนมาให้ค่ายละสองตัว จัดการต้ม รอฟ้าสางก็ทหารพวกเจ้าได้กินกัน!”

ทุกคนร้องยินดี เผ่าหั่วเลยมีเครื่องมือหุงต้ม มีคนพลิกควานหาออกมาจากซาก ใช้หินก่อเป็นเตา ชนเผ่าพวกนี้จะอยู่รวมกันในฤดูหนาว ส่วนใหญ่จะติดแหล่งน้ำ มีคนไปที่แหล่งน้ำเก็บก้อนน้ำแข็งมาโยนลงหม้อ เริ่มหุงหาอาหารกัน

ฟ้าใกล้สางแล้ว ขอบฟ้าเริ่มขาว หวังทงสั่งให้ทหารทุกคนจัดทัพ ได้นอนบนพื้นอุ่นๆ ไปไม่ถึงสองชั่วยาม แต่นอนหลับลึก จึงได้ผลดีมาก

ตอนตื่นมา เนื้อแกะในหม้อก็ตุ๋นเสร็จ ใช้ไฟอุ่นอยู่ หาเครื่องมือในการกินที่ยังไม่ถูกไฟไหม้มาล้างให้สะอาด ทุกคนก็ร้องเฮโลกินกันอย่างดีใจ

“ใส่อานให้ม้าทุกตัว ให้ทหารสำรวจอีกรอบ เผ่าหลายพันคน ย่อมต้องมีเงินทองกันอยู่บ้าง”

หวังทงออกคำสั่ง หม่าซานเปียวเห็นม้าในคอกม้า ก็อดหัวเราะร่าไม่ได้ กล่าวว่า

“ใต้เท้า ทีนี้พลม้าเราก็ไม่ขาดม้าแล้ว”

“ใช่ ไม่ขาด แม้แต่เครื่องอานม้าก็ให้เจ้าเตรียมให้ดี หาม้าสักสองสามร้อยให้เราไว้ แม่ม้าก็เลือกกลับไป ถึงเทียนจินจะตั้งโรงม้า ม้าที่เหลือก็ขายให้พ่อค้าที่เทียนจินก็แล้วกัน ตอนนี้พวกเราทางนั้นยังขาดสัตว์พวกนี้ ขาดแคลนกันหนักมาก”

หวังทงยิ้มกล่าวขึ้น ตามคาด รายได้จากการขายม้าก็พอจะชดเชยควรามเสียหายค่าใช้จ่ายในการเดินทางซ้อมรบครั้งนี้ ยังมีเหลือเฟือ เผ่าหั่วเลยใกล้ชายแดนหมิง เป็นพื้นที่ทำการค้า ย่อมไม่ยากจน แต่หลังจากกองเพลิงและการสังหารนี้แล้ว ย่อมมีของมากมายสูญหาย

ที่รอบกระโจมของหัวหน้าเผ่าหั่วเลยมีทองคำราว 1,000 ตำลึงอยู่ในหีบเหล็ก เศษก้อนเงินอีกราว 3,000 ตำลึง ที่เหลือก็เป็นพวกอาวุธและเครื่องอานม้าที่ทำจากเพชรพลอยมีค่า มีไม่น้อยที่ถูกไฟเผา หวังทงเดิมไม่ได้คิดจะสู้เพื่อของ ดังนั้นจึงมิได้ให้เก็บกวาดอย่างละเอียด

กวาดไปเก็บมา นอกจากวัวราวร้อยกว่า ม้าหลายพันแล้ว ก็ยังมีทองคำ 1,200 ตำลึง เงินอีกราว 4,000 ตำลึง เครื่องประดับเพชรพลอยอีกร้อยกว่าชิ้น ราคานั้นต้องนำกลับไปถึงแผ่นดินหมิงแล้วจึงจะรู้ได้

ที่ทำให้หวังทงคาดไม่ถึงก็คือ ที่นี่ก็มีรถใหญ่ 80 กว่าคัน บนทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ร่อนเร่ไปตามทุ่งหญ้า จึงมีกระโจมและสมบัติอื่นกองอยู่บนรถ รถพวกนี้เป็นเครื่องใช้ทั่วไป

รถใหญ่จอดอยู่ที่คอกสัตว์ ย่อมสะดวกสำหรับกองกำลังหู่เวย ทหารเข้าไปจับวัวและม้าเทียมรถ จากนั้นข้าวของที่เก็บกวาดมาได้ก็วางบนรถ ทหารราบที่ขี่ม้าเป็นนั้นมีน้อยมากจริงๆ แต่ม้ามากมายเพียงนี้ ยังมีรถอีก ทิ้งไว้ที่นี่ก็น่าเสียดาย

ได้แต่ผูกม้าเข้าด้วยกัน จากนั้นก็มัผูกโยงข้างรถสองด้าน ให้เดินตามรถไป และยังให้พลม้าไปส่งข่าวที่ค่ายรถศึกให้ส่งคนมา

“ใต้เท้า ในเมื่อเรามีรถใหญ่พร้อมม้าแล้ว หัวมองโกลพวกนี้ตัดไปด้วยละกัน จะได้ขอปูนบำเหน็จ!”

ได้ยินทหารออกความเห็น หวังทงก็ส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล กล่าวว่า

“มี 2,000 หัวแล้ว มากกว่านี้ คงเป็นที่สะดุดตาให้คนอิจฉาหาเรื่อง ไยต้องลำบากด้วย ไม่ต้อง”

**************

กองกำลังหู่เวยออกจากป้อมจางเจียโข่วไปสองวันยังไม่กลับมาก นายกองพันเลี่ยวเฉวียนจงแห่งป้อมจางเจียโข่วก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข หากเกิดเรื่องใดกับกองกำลังหู่เวย เขาก็ไม่สน ทว่าในกองทัพนั้นมีคุณชายลี่เทาของรองแม่ทัพเราอยู่ด้วย ก็ย่อมนิ่งนอนใจไม่ได้

กลางวันพบปะกันยิ้มแย้ม หรือว่าเผ่าหั่วเลยทางนั้นใจกล้า กล้าลงมือทำร้ายคุณชายลี่ ทหารเมืองเซวียนฝู่ย่อมไม่เลิกราแน่

เลี่ยวเฉวียนจงรู้สึกกลัวและกังวล หากไม่ยอมให้ผู้อื่นมองออก รอต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ทุกคนที่ป้อมจางเจียโข่วผู้ใดบ้างไม่เห็นกองกำลังหู่เวยออกไป ทุกคนล้วนไม่กล่าวอันใด หากมีคนไม่น้อยที่รอหัวเราะเยาะเลี่ยวเฉวียนจง

พอถึงเช้าวันที่สาม เลี่ยวเฉวียนจงเฝ้าอยู่ที่ป้อมมาทั้งคืน ยังไม่เห็นผู้ใดกลับมา เขาก็ไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป ได้แต่เรียกทหารรับใช้ตนเข้ามาด้วยสีหน้าสลด เตรียมส่งคนไปรายงานยังเมืองเซวียนฝู่ ใจคิดว่าตำแหน่งนายกองพันนี้คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว ขอเพียงไม่โดนลงโทษก็โชคดีเหลือหลายแล้ว

ตอนเช้าคนที่ส่งไปแจ้งข่าว ตอนกลางวันก็มีทหารรักษาป้อมรีบมาขอเข้าพบเลี่ยวเฉวียนจง หอบหายใจตะโกนดังว่า

“กองกำลังหู่เวยกลับมาแล้วกองกำลังหู่เวยกลับมาแล้ว!!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version