Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 452

ตอนที่ 452 คำถามประหลาด ขุนพลเลื่องชื่อจากไป

ได้ยินเสียงรายงานด้านนอกดังมา หวังทงก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที รีบหันไปผงกศีรษะอำลาเป้าเสี้ยวจือ ก่อนจะก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว

“……ไม่ไหวแล้ว” คำนี้กล่าวออกมา ย่อมไม่ต้องสนใจว่าเสียมารยาทหรือไม่แล้ว

หวังทงออกไป ก็เห็นทหารรับใช้อวี๋ต้าโหยวสีหน้าตื่นตระหนก พอเห็นหวังทงออกมาก็รีบเข้ามารายงานว่า

“นายท่าน รีบไปเร็ว!”

“ตอนเช้าไปเยี่ยมยังว่าสบายดีไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้จึงได้เป็นเช่นนี้ไปได้?”

หวังทงรีบเร่งฝีเท้าตามไป พลางเอ่ยถามไปด้วย ทหารผู้นั้นรีบร้อนตอบว่า

“เมื่อเช้าดื่มโจ๊กเสร็จ ก็ให้คนประคองออกมาเดินไปไม่กี่ก้าว กลับไปยังนอนสลึมสลืออยู่บนเตียง คิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่นี้อยู่ๆ ก็มีสติกระปรี้กระเปร่าขึ้น แต่หมอบอกว่าไม่ค่อยดี ให้ข้าน้อยมาตามใต้เท้าไป!”

เห็นชัดๆ ว่าเป็นปฏิกิริยาแสงสุดท้าย ใจหวังทงกระตุกวูบ อดชักฝีเท้ารีบวิ่งไปไม่ได้ คนในจวนหวังทง เห็นท่าทางหวังทงสูญเสียการควบคุมเช่นนี้ ก็พากันตกใจ รีบหลีกทางให้

อวี๋ต้าโหยวอยู่ที่เรือนแยกสามชั้น ลูกชายทั้งสองนำคนในครอบครัวเร่งเดินทางมาถึง หวังทงเข้าไปในเรือน ญาติผู้หญิงในครอบครัวไม่เห็นเขาเป็นคนนอก ก็ย่อมไม่ต้องหลบเข้าด้านใน หรืออาจไม่ทันได้คิดเรื่องพวกนี้ มีญาติผู้หญิงบางคนร้องไห้กันอยู่ที่ระเบียงทางเดิน

หน้าประตูมีชายวัยกลางคนอายุราว 40 กว่ากำลังชะเง้อมองเข้าไปด้านใน เขาเป็นบุตรชายคนโตของอวี๋ต้าโหยว พอเห็นหวังทงมา ก็รีบเข้าไปกล่าวว่า

“ใต้เท้ารีบเข้าไป บิดากำลังรอท่าน……”

“ใต้เท้าดื่มชาโสมแล้วหรือยัง!”

พอเข้าไปก็ได้ยินหมอในห้องกล่าว อวี๋ต้าโหยวเอนตัวอยู่บนเตียง หลายวันนี้ไม่มีท่าทีอ่อนแรง หากสีหน้ากลับแดงระเรื่อดูมีสุขภาพดี กำลังวังชาดีมาก กำลังหัวเราะกล่าวว่า

“ชาโสมไว้สำหรับคนใกล้ตายให้ฟื้นสติ ข้าถึงเวลาแล้ว ดื่มไปคงไม่ได้มีชีวิตยืนยาวอีกชั่วยามได้หรอก ดื่มน้อยลงก็ใช่ว่าจะอายุสั้นลง ไม่ต้อง ไม่ต้องแล้ว”

หวังทงขยี้ใบหน้าเบาๆ ก่อนจะหน้ายิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้าไยกล่าวเช่นนี้ วันนี้กำลังวังชาดีขึ้น ยังอยู่ได้อีกหลายสิบปี!!”

“รบราเสี่ยงชีวิตมาหลายปีดีดัก เป็นตายก็เห็นมามากแล้ว ข้ามีอายุถึงวันนี้ก็ว่ามากพอแล้ว ยังจะอยู่ต่ออีกนานเช่นนั้นไปทำไมกัน หวังทงเอ๊ย ข้ากับเจ้าอยู่ด้วยกันมาหลายปี เห็นความสามารถของเจ้า เรื่องหาเงินหาทองไม่ต้องพูดถึง เรื่องการรบฝึกทหารก็ไม่เลว ตั้งแต่ลานฝึกมาถึงนอกด่านเมืองเซวียนฝู่ ถึงกับตัดหัวศัตรูทีเดียวหลายพันหัว เก่งกาจจริงๆ”

ได้ยินเสียงชมดังกังวานของอวี๋ต้าโหยว หวังทงพยายามฝืนสีหน้าไว้ ไม่อาจไม่พยายามฝืนไว้ ด้วยเกรงว่าจะกลายเป็นหลั่งน้ำตาแทน อวี๋ต้าโหยวยังกล่าวต่อว่า

“ข้าถามเจ้า เจ้าได้เงินมามากเพียงนี้ ฝึกทหารเก่งกล้ามากเพียงนี้ ยังมีเรื่องขัดใจกับพวกขุนนางบุ๋น เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

หวังทงกระแอมไอให้ลำคอโล่งก่อนจะเอ่ยว่า

“หาเงินก็เพื่อเติมเงินคลังหลวง ทำให้แผ่นดินร่ำรวย ฝึกทหารก็เพื่อป้องกันรับใช้แผ่นดิน สังหารโจรสลัดและพวกมองโกล”

“อย่าได้พูดวาจาแบบพวกขุนนาง ที่นี่ไม่มีคนนอก พูดความในใจเจ้ามา!”

อวี๋ต้าโหยวยังคงเปิดเผยเหมือนเดิม ยิ้มตัดบทวาจาหวังทง หวังทงเงียบไปครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นน้ำเสียงราบเรียบว่า

“เหมือนวาจาขุนนางจริง แต่ใต้เท้า หากหวังทงคิดเป็นอื่น ไยต้องทำเรื่องไร้สาระมากมายเช่นนั้น ไยต้องยุ่งยากมากมายเช่นนั้น ไม่ทำเรื่องพวกนี้ ข้าก็สามารถเป็นขุนนางใหญ่กว่านี้ได้ หาเงินมากกว่านี้ได้……”

“ก็จริง ก็จริง แต่เจ้าลำบากมากมายเช่นนี้ กองกำลังชายแดนเกือบล้าน ในนั้นมีทหารเก่งกล้าอีกนับแสน ยังไม่รวมกองกำลังตามหัวเมืองและเมืองหลวง เจ้าฝึกทหารมา 4,000 มันขี้ปะติ๋วมาก”

หวังทงพอฟังความนัยออกแล้ว อดไม่ได้ส่ายหน้ายิ้มเฝื่อนๆ กล่าวว่า

“ใต้เท้า ที่ข้าลำบากเพียงนี้ ท่านกล่าวเช่นนี้เหมือนว่าข้ามีใจคิดเป็นใหญ่”

อวี๋ต้าโหยวได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มกล่าวว่า

“คนพอแก่แล้ว สมองก็มักจะคิดเหลวไหลวกวนไปเรื่อย ไม่พูดก็อัดอั้น พูดออกมาก็ทำให้คนหัวเราะเยาะ ช่าง……”

กล่าวไม่ทันจบก็ไม่กล่าวต่อ รีบเรียกหวังทงเข้ามาใกล้ ราวกับว่าถามคำถามที่ประหลาดจบแล้ว อวี๋ต้าโหยวเหมือนปลดความกังวลในใจลง รู้สึกสบายใจอย่างมาก

แต่พอสบายใจ ก็เห็นได้ว่าสีหน้าแดงระเรื่อเริ่มจางลงอย่างรวดเร็ว คนทั้งคนอ่อนยวบราวกับหญ้าแห้ง เห็นว่าอวี๋ต้าโหยวคิดจะยกมือขึ้น หากสองแขนสั่นไหวไม่อาจขยับ ได้แต่กล่าวอย่างโรยแรงว่า

“เพิ่งจะมีแรงมาได้ครู่เดียว เหนื่อยอีกแล้ว เจ้าตั้งใจทำให้ดี วันหน้าย่อมอนาคตไกล อยู่ข้างกายฝ่าบาทไปเถอะ มาร่อนเร่ข้างนอกเช่นนี้ ไม่รู้ว่าวันใดจะถูกพวกเรียนมามากจับข้อผิดพลาดเอาได้ เจ้าทำให้ดีๆ ……”

จากนั้นก็ค่อยๆ เอนตัวลงนอนด้วยการประคองของคนรับใช้ พอนอนราบลง สองตาก็ปิดลง

ครอบครัวอวี๋ต้าโหยวเข้ามาในห้อง หวังทงเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเหมือนว่าชายชรากำลังฮัมเพลงกล่อมเด็กพื้นบ้านอะไรสักอย่าง ราวกับว่าเป็นเพลงชาวเขาพื้นบ้าน จังหวะง่ายๆ ขาดๆ หายๆ

หวังทงยังไม่รู้สึกอันใด หากบุตรชายด้านหลังส่งเสียงร้องไห้ดังแล้ว หวังทงไม่รู้ว่าจะกล่าวอันใดดี อยู่ๆ เสียงอวี๋ต้าโหยวก็ดังขึ้น พูดอย่างเร่งรีบสองสามคำ จากนั้นก็เงียบลงไร้ลมหายใจ……

เทียบกับเสียงก่อนหน้า สองสามคำสุดท้ายเท่ากับตะโกนเรียก หวังทงเงยหน้าขึ้น อวี๋ต้าโหยวนอนไม่ขยับ หมอในห้องรีบเข้ามาดูอาการ ยื่นมือไปอังจมูก แล้วก็จับชีพจร ก่อนจะก้มกายคำนับ ถอนหายใจกล่าวว่า

“ใต้เท้าท่านจากไปแล้ว ขอใต้เท้าระงับความเศร้า”

ในห้องเสียงร้องไห้ดังระงม หวังทงก้มหน้า ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้น ถามน้ำเสียงเครือว่า

“วาจาสุดท้ายขอใต้เท้าประโยคนั้นคืออะไร!?”

คนตระกูลอวี๋แม้ว่าโศกเศร้า แต่ตอนมาเทียนจินได้เฝ้าดูอวี๋ต้าโหยวอ่อนแอลงเรื่อยๆ จากไปยามนี้ ก็ย่อมพอระงับความเศร้าได้ เพราะก็ได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกเขารู้ว่าวันหน้าคงต้องพึ่งพาใต้เท้าหวังผู้นี้อย่างมาก บุตรชายคนโตหันกลับมาตอบว่า

“บิดาท่านพูดภาษาที่บ้านเกิดเรา กล่าวว่า สังหารโจรสลัด!”

อวี๋ต้าโหยวทั้งชีวิตที่รุ่งโรจน์ก็คือปราบโจรสลัด พอหวังทงได้ยิน ก็อึ้งไป นิ่งค้างไปนาน จากนั้นก้มคำนับ

**************

อวี๋ต้าโหยวตำแหน่งไม่สูง แต่สถานะสูงส่ง พอจากไป หวังทงนอกจากจัดการงานศพ ยังต้องส่งคนไปรายงานที่เมืองหลวง

ขุนพลมีชื่อจากไป เมืองหลวงย่อมมีบำเหน็จ หนึ่งเพื่อสรรเสริญช่วงชีวิตที่ผ่านมาของคนผู้นี้ สองพิจารณาว่าต้องดูแลคนข้างหลังหรือไม่ นอกจากธรรมเนียมราชสำนักแล้ว เรื่องส่วนรวมและส่วนตัวยังอีกมาก มีเรื่องให้ยุ่งวุ่นวายมาก แต่เรื่องพวกนี้ไม่ต้องให้หวังทงพลอยมาวุ่นวายด้วย ย่อมมีคนจัดการแทน

แม้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่ยังคงมีเรื่องหลายเรื่องที่ต้องถามหวังทงให้แน่ใจ ทุกวันจึงยุ่งจนไม่มีเวลาพัก เดือนห้าผ่านไปเช่นนี้ อากาศเริ่มร้อนแล้ว ศพไม่อาจทิ้งไว้นาน พิธีศพก็จัดในวันที่ 2 เดือนหก จึงนับว่าเสร็จงาน วันที่ 1 เดือนหกคืนนั้น ทุกคนมารวมกันที่ห้องหนังสือหวังทง รายงานเรื่องราวระยะนี้พร้อมกัน

“ใต้เท้า สำนักรักษาความสงบส่งข่าวกลับมา แต่งตั้งใต้เท้าอวี๋เป็นรองผู้บัญชาการฝ่ายซ้าย”

ไช่หนานพลิกเอกสารอ่านขึ้น หวังทงขมวดคิ้วมุ่น รองผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายก็แค่ตำแหน่งเกียรติยศ ไม่มีประโยชน์อันใดทั้งสิ้น ลูกหลานทางนี้ไม่ได้รับการคุ้มครองอันใด เขาเอ่ยถามว่า

“ความชอบระดับใต้เท้าอวี๋ ยังถ่ายทอดประสบการให้ลูกหลานใต้หล้า หรือว่าไม่ควรแต่งตั้งเป็น ป๋อ รองผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายเอาไปทำไมกัน?”

ถานเจียงถอนหายใจกล่าวว่า

“นายท่าน ใต้เท้าอวี๋ทั้งชีวิตขึ้นลงหลายครั้ง ก่อนมาเมืองหลวงเขาไม่มีตำแหน่งอันใด ได้เป็นรองผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายก็นับว่าในวังมีพระเมตตาแล้ว”

หวังทงโบกมือ กล่าวอย่างไม่พอใจว่า

“เอาเถอะๆ ครอบครัวใต้เท้าอวี๋มีความต้องการอันใด พวกเราจะช่วยเต็มที่ อย่าให้พวกเขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจก็แล้วกัน”

อยู่ด้วยกันทุกวันราวกับครอบครัว ย่อมต้องเสียใจ แต่อวี๋ต้าโหยวก่อนตายถามคำถามเหล่านั้น ทำให้หวังทงรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด

ทางนั้นกล่าวจบ ซุนต้าไห่ก็เอ่ยขึ้นว่า

“ใต้เท้า สามวันก่อน เถ้าแก่กู่กับเถ้าแก่จางรายงานว่า ที่เจ้อเจียงและฮกเกี้ยนมีพ่อค้าจำนวนมากคิดจะมาซื้อผงฟู จะส่งเรือไปขาย อยากรู้แค่ภาษีคิดเช่นไร?”

ที่เทียนจิน เรือขนสินค้าทางใต้มาล้วนเป็นของจากทางใต้ แต่สินค้าที่ส่งออกไปส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากประเทศวัวหรือไม่ก็ประเทศในแถบทะเลใต้ ภาษีเก็บหนัก แต่การค้าผงฟูนี้เพิ่งมามีเมื่อสองสามเดือนมานี้ ดังนั้นจึงได้มาถาม

หวังทงเงียบไป ก่อนจะเอ่ยว่า

“เก็บหนึ่งส่วนละกัน”

พวกที่รู้เรื่องการเก็บภาษีที่เทียนจินต่างเงยหน้ามองด้วยความตกใจ อย่างต่ำก็ต้องสองส่วน กำไรดีเช่นนี้ ทำไมเก็บแค่ส่วนเดียว หวังทงเห็นสีหน้าทุกคนก็อธิบายว่า

“ผงฟูมาจากทางเหนือ ล้วนใช้รถม้าขนมา ค่าขนส่งไม่ต่างอันใดกับการขนมาเทียนจินหรือขนไปที่ใด ก็แค่พ่อค้าทางเรามีมาก ภาษีต่ำ คนซื้อจึงจะมาก ทางนั้นจึงจะสั่งสินค้าไปเรื่อยๆ เรื่องการค้าพวกเราได้ประโยชน์มาก เรื่องภาษีก็ผ่อนๆ ได้”

วาจาหวังทงก็คือคำตัดสิน พอได้ยินคำอธิบาย ทุกคนก็พยักหน้า หยางซือเฉินจดเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติพรุ่งนี้ก็ต้องส่งให้หวังทงอ่าน เร่งร่างเป็นระเบียบ

“เงินที่ส่งเข้าเมืองหลวงเช้าวันนี้ก็ออกเดินทางแล้ว ครั้งนี้ส่งไปสองแสนห้าหมื่นตำลึง หากไม่เกิดเหตุผิดพลาด ปีนี้กลางเดือนเจ็ด เงินที่ควรจ่ายปีนี้ก็จ่ายครบแล้ว”

“รีบส่งม้าเร็วตามกลับมา จากนี้จ่ายครั้งละหนึ่งแสน อย่าได้จ่ายของปีหนึ่งทีเดียวเร็วเช่นนี้!”

หวังทงกล่าวเสียงเย็น จางซื่อเฉียงที่รายงานอยู่อึ้งไป รีบคำนับออกไปจัดการ หวังทงยืนขึ้นเดินไปมาในห้อง เดินไปถึงประตูก็หันมาถามว่า

“เป้าเสี้ยวจือที่มาจากไห่โจวไปแล้วยัง?”

“วันนั้นกล่าวอำลาอีกสามวันถัดมาก็ส่งคนมาบอกว่า ขอบคุณการต้อนรับของใต้เท้า ขอตัวกลับไห่โจวแล้ว”

ซุนต้าไห่รีบตอบ หวังตบท้ายทอยดังก่อนจะกล่าวว่า

“วันนั้นเร่งรีบไปหน่อย รู้สึกว่าลืมอะไรไป?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version