ตอนที่ 453 เสียดายหวังทง
หวังทงที่เทียนจินได้ขับกองตรวจการและศาลชิงจวินให้ไปอยู่ชายขอบแล้ว สู้กันมาหลายครา คนอื่นได้แต่หน้าดำคล้ำกลับไป
ครองอำนาจผู้เดียวในเทียนจินก็มิใช่ไม่ดี แต่คนหวังทงอย่างไรก็มีจำกัด ทุกคนดูแลงานตน หากหลายด้านเข้าก็ล้วนยุ่งกันจนไม่อาจปลีกตัว
แม้ว่ามีแผนอบรมคนเพิ่ม แต่สำนักศึกษาเรื่องการค้าก็ยังอยู่ในขั้นดำเนินการ เห็นผลหรือไม่ยังต้องรออีกระยะ ดังนั้นงานยุ่งในตอนนี้ไม่อาจผ่อนลงได้
เมื่ออวี๋ต้าโหยวจากไป การรายงานเพื่อขอปูนบำเหน็จ การเตรียมงานพิธีศพ ก็เป็นเรื่องที่เพิ่มขึ้นมา กอปรกับอวี๋ต้าโหยวสนิทกับคนในจวนหวังทงหลายคน ก็เหมือนดังญาติสนิท เมื่อจากไปก็ย่อมทำให้หลายคนรู้สึกโศกเศร้า
ทั้งยุ่งทั้งเศร้า ยุ่งกันจนปลีกตัวไม่ได้ จนวันที่ 1 เดือนหก พรุ่งนี้จะจัดพิธีศพแล้ว ทุกคนจึงได้หายใจหายคอกันบ้าง
หลายวันนี้ยุ่งกับงานมาตลอด ทุกคนเกรงว่าตนจะลืมอันใด แม้ว่าหวังทงไม่ร้อนใจ แต่ทุกคนที่มารวมตัวกันก็จะร่วมกันปรึกษาหารือป้องกันเหตุตกหล่น
พอได้รู้สึกผ่อนคลายกัน ก็มีเวลาคิดเรื่องราวได้เยอะขึ้น หวังทงก็นึกถึงการมาเยือนของเป้าเสี้ยวจือ หากตอนนี้ทุกคนกำลังงง ก็แค่คนของเจ้ากรมกองขนส่งเกลือไห่โจว ใต้เท้าหวังร้อนใจไปไย
แม้ว่าคิดจะทำอะไรกับเกลือ เช่นนั้นก็น่าจะไปกองขนส่งเกลือฉางหลูที่เมืองเหอเจียนมากกว่า ไห่โจวมีซานตงคั่นกลาง ไกลเกินไปจริงๆ
หวังทงเดินไปเดินมาหน้าประตู คนในห้องก็ไม่กล้าเอ่ยถาม ในใจคิดว่าใต้เท้าอวี๋จากไปทำให้ใต้เท้าจิตใจสับสนกระมัง ความนิ่งเช่นเมื่อก่อนจึงหายไป
วนไปมารอบหนึ่ง อยู่ ๆ หวังทงก็หยุด ตบมือเอ่ยว่า
“คิดออกแล้ว เป้าเสี้ยวจือบอกว่าตนเองมาจากเขตปกครองใต้ ระหว่างทางเรือเจอเหตุเสียหาย เข้าจอดที่ซานตงจึงซ่อมได้”
ทุกคนในห้องสบตากัน ในใจคิดว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ถึงกับทำให้หวังทงสูญเสียการควบคุมเช่นนี้ สีหน้าหวังทงดีใจมาก หันไปเห็นคนในห้องมองมาด้วยความสงสัย สะบัดสองมือก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า
“พวกเขาจอดที่ซานตงซ่อมเรือ ที่ซานตงมีที่ซ่อมเรือ ก็แสดงว่า ซานตงมีช่างต่อเรือ”
ทุกคนจึงได้ถึงบางอ้อ พวกเขาต่างจากหวังทง แม้ว่าร้านสามธาราต้องการเรือขนสินค้า ชาวเรือต้องการเรือรบปกป้อง แต่รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด สีหน้าพวกเขามิได้ดีใจเช่นหวังทง หวังทงถูมือไปมาเอ่ยว่า
“ท่านหยาง อีกสักครู่เขียนจดหมายไปให้นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรต่งช่วงสี่ที่ซานตง ให้เขาช่วยข้าหาช่างซ่อมเรือสักคน หากทำได้ เงินทองคุยกันได้ หน้าร้านที่เทียนจินก็ให้ได้ ต้าไห่ หาคนเร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืนไปที่จี่หนาน”
ไช่หนานเอ่ยขึ้นน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ใต้เท้า ต่งช่วงสี่เป็นคนของทางเรา หากยังฝักใฝ่อยู่กับเสิ่นวั่ง พวกเสิ่นวั่งระแวงพวกเราต่อเรือ อันนี้ไม่ค่อยดีกระมัง?”
หวังทงที่เพิ่งคิดเรื่องเมื่อครู่ออก ตอนกำลังดีใจจึงได้ลืมคิดเรื่องพวกนี้ไป พอไช่หนานทัก ก็ยืนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า
“ส่งถานปิงไป กล่าวให้ชัดเจน อย่าส่งพลนำจดหมายไป ต่งช่วงสี่อย่างไรก็เป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร ดูว่าเขาจะยอมช่วยทางการหรือช่วยรังโจร ให้ถานปิงรีบไปรีบกลับ หากต่งช่วงสี่ไม่ยินยอมช่วยเหลือเรื่องนี้ ข้าก็จะส่งคนไปหาที่ซานตงแทน”
*************
ในโลกใบนี้ให้สมญามังกรอวี๋ พยัคฆ์ชี ขุนพลมีชื่อใต้หล้าทั้งสอง พิธีศพจัดได้ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับชื่อเสียงของอวี๋ต้าโหยวแล้ว คนที่มานับว่าน้อยเกินไป
พ่อค้าที่เทียนจินรู้ว่าเป็นญาติผู้ใหญ่หวังทง ในเมื่อจัดใหญ่โตเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องร่วมเงินสักหน่อย แต่ก็รู้ธรรมเนียมหวังทง ต่างไม่กล้าใช้จังหวะนี้ส่งของขวัญ เพียงแค่ร่วมเงินตามธรรมเนียม แค่นี้เท่านั้น พวกเข้ามาเคารพศพได้ก็มีเพียงพ่อค้าไม่กี่คนที่มีคุณสมบัติพอ
กองตรวจการและศาลชิงจวินล้วนมาร่วมจุดธูปเคารพศพ แต่ก็เพราะเห็นแก่หน้าหวังทงมากกว่า มิใช่เพราะอาลัยในอวี๋ต้าโหยว
นายกองท่านหนึ่งที่กรมทหารส่งมาเมืองหลวง มาพอเป็นพิธีแล้วก็รีบจากไป ไม่ยอมทักทายหวังทง ขันทีในวังนำราชโองการมานานแล้ว นำบำเหน็จความชอบจากราชสำนักมาประกาศแล้วก็รีบกลับ
ในโถงพิธีมีเพียงครอบครัวอวี๋ต้าโหยว ยังมีพวกขุนพลหนุ่มของหวังทงที่มาจากลานฝึก ครอบครัวเฝ้าโลงตามธรรมเนียม พวกหวังทงมาเฝ้าในฐานะศิษย์
ระบบของหวังทงนั้น องครักษ์เสื้อแพร กองกำลังหู่เวยรวม 4,000 กว่าคนนี้ ทั้งหัวหน้าและนายกองร้อยก็ล้วนได้เคยเข้าเรียนกับอวี๋ต้าโหยว แต่ละค่ายผลัดเวรกันมาเคารพศพ ก็นับว่าแสดงน้ำใจอย่างที่สุด
ทว่า ตอนเช้าวันที่ 2 เดือนหกพอพวกหวังทงมาแล้วกลับไป ใกล้เที่ยงที่โถงพิธีก็เงียบลงมาก ตามกำหนดการก่อนหน้า ก่อนฟ้ามืดก็จะส่งไปฝังที่ลานฝึกทหารนอกเมือง นี่เป็นความต้องการของชายชรา บอกว่าหากส่งกลับฮกเกี้ยนไม่ได้ ก็ให้ฝังที่ลานฝึก
เทียนจินในเดือนหกเริ่มร้อนแล้ว จัดการเรื่องต่างๆ ผ่านมาได้สิบกว่าวัน แม้ว่าใช้ผงปูนขาวโรยไว้แล้ว แต่ทางใต้ที่ร้อนกว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะขนไป ดังนั้นจึงได้แต่ฝังไว้ที่เทียนจินแล้ว
หลี่หู่โถวคุกเข่าอยู่ตรงนั้นสองตาแดงก่ำ ลี่เทากับซุนซิงและคนอื่นๆ ก็เอาแต่เช็ดน้ำตา สีหน้าหวังทงเคร่งขรึม อวี๋ต้าโหยวขุนพลมีชื่อแห่งยุค ปราบโจรสลัดตะวันออกเฉียงใต้ราบคาบ สร้างความชอบใหญ่ แต่ยามสิ้นชีพกลับเงียบเหงาเช่นนี้ ราชสำนักจัดการง่ายดาย แต่ละแห่งก็ตอบรับอย่างเงียบเหงา
หากยามนี้ผู้ที่นอนในโลงเป็นขุนนางบุ๋น แม้เป็นขุนนางบุ๋นที่ไร้ความชอบ คนมาเคารพศพก็น่าจะมากกว่านี้ แต่คนพวกนี้ทั้งชีวิตเรียบง่าย ก็แค่เขียนเอกสารกองเอาไว้ อย่างไรก็ไม่มีความชอบเช่นอวี๋ต้าโหยวที่ปกป้องแผ่นดิน ไม่มีพวกบุ๋นที่สร้างงานกระดาษ ใต้หล้าก็จะได้มีเรื่องถกเถียงน้อยลง แต่หากไม่มีอวี๋ต้าโหยวปราบโจรสลัด เช่นนี้แผ่นดินย่อมสั่นคลอน แผ่นดินย่อมพังทลาย
คิดถึงตรงนี้ หวังทงก็อดรู้สึกเหมือนว่ากระต่ายตายแต่จิ้งจอกแกล้งเศร้าไม่ได้ แผ่นดินหมิงให้ความสำคัญกับขุนนางบุ๋น ดูแคลนขุนนางบู๊ วันนี้ก็สัมผัสได้ด้วยตนเอง ตนเองก็เป็นขุนนางบู๊ ไม่รู้ว่าอีกหลายปีจากนี้ หากตนนอนอยู่ตรงนี้ จะมีบำเหน็จอันใดบ้าง ขณะหวังทงกำลังคิดสับสนไปมาอยู่นั่นเอง ก็มีเสียงรายงานดังมาว่า
“แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองจี้โจว ใต้เท้าชีมา~~~”
ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าและฝีเท้าคนด้านนอกโถง เสียงชุดเกราะและอาวุธกระทบกัน จากนั้นก็เงียบลง ทุกคนก้าวเข้ามาในห้อง
เป็นชายชราอายุราว 50 ปี สวมชุดขุนนางบู๊สีแดง รูปร่างไม่สูงนัก เป็นภาพแม่ทัพชีที่ต่างไปจากที่หวังทงคิด ชายชราผู้นี้ใบหน้าอ้วนกลมเล็กน้อย ไว้เคราดำ หากไม่มีชุดและเสียงรายงานดังเข้ามา หากเห็นยังคิดว่าเป็นพ่อค้าเมืองเทียนจินนี่เอง
แต่หากพออยู่ระยะใกล้ ก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจผิดหรือแยกแยะผิด สายตาชายชราส่องประกายความองอาจแกล้วกล้า อยู่ในโถงเดียวกัน พอเขากวาดตามองมา หวังทงก็รู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด ถึงขั้นเริ่มเคร่งเครียดอยู่บ้าง
ความรู้สึกเช่นนี้ หวังทงได้รับจากคนไม่กี่คน หนึ่งคือเฝิงเป่า อีกคนก็คือจางจวีเจิ้ง หากในโลกก่อนแล้ว คนที่สามารถส่งแรงกดดันคนรอบข้างเช่นนี้ได้ มีเพียงพวกระดับสูง หรือคนใหญ่คนโตเท่านั้น
แม่ทัพชีแห่งจี้โจวแค่กวาดตามองมา ก่อนจะก้าวเข้าไปปักธูป เคารพสามครั้ง ปักลงไปถอนหายใจกล่าวว่า
“นึกถึงปีนั้น เหมือนว่าไม่นานมานี้เอง พี่อวี๋ พี่จากไปเร็วไป ช่างน่าเสียดาย……”
กล่าวจบ ก็หันหน้าไปคำนับตอบคนตระกูลอวี๋กล่าวว่า
“พี่อวี๋จากไปไว พวกเจ้ามาไกลจากฮกเกี้ยน มีเรื่องอันใดให้ช่วยก็บอกกับข้าได้”
ได้รับคำสัญญาจากชีจี้กวง ก็ย่อมสะดวกในทุกเรื่อง คนตระกูลอวี๋คำนับขอบคุณอย่างมาก ชีจี้กวงเพียงแค่พยักหน้าก่อนจะเดินไปหน้าหวังทง
หลี่หู่โถวกับพวกลี่เทาหายใจเข้าออกแรงอย่างตื่นเต้น ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่อาจระงับ นี่ชีจี้กวงเชียวนะ ตอนนี้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่จี้โจว แม่ทัพมีชื่ออันดับหนึ่งใต้หล้าตอนนี้ เป็นผู้รอบรู้การยุทธ์ในยุคนี้……
“เจ้าคือหวังทง?”
“ข้าน้อยหวังทงคารวะใต้เท้าชี!”
ชีจี้กวงถามเสียงเรียบ สองฝ่ายตำแหน่งต่างกันลิบ ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงสถานะ ยามนี้อย่าว่าแต่เด็กหนุ่มพวกนั้น แม้แต่หวังทงก็เริ่มไม่นิ่ง อวี๋ต้าโหยว หลี่เฉิงเหลียง หม่าฟางล้วนเพิ่งรู้จักในโลกใบนี้ แต่ชื่อชีจี้กวงในโลกก่อน หวังทงเรียนในห้องเรียนหลายครั้ง หนังสือหลายเล่ม สื่อหลายสำนักล้วนมีกล่าว รู้ว่าเป็นเสาหลักในยุคนี้ รู้ว่าบุคคลผู้นี้เป็นดาวข่มโจรสลัด
ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ย่อมไม่อาจกล่าวอื่นใด สิ่งที่หวังทงปฏิบัติก็เป็นไปตามมารยาทในวงการขุนนาง ชีจี้กวงยกมือประคองไว้ สบตากับหวังทง กล่าวว่า
“หลังจากพี่อวี๋มาเขตปกครองเหนือ มีจดหมายมาถึงข้าหลายครั้ง ชมเจ้าไม่น้อย วันนี้ข้าได้ไปชมค่ายฝึกเจ้ามาแล้ว มีกลยุทธ์ มีหลักการ สมดังคำชม ได้ดูการจัดการกำลังของเจ้า นอกจากที่พี่อวี๋ชี้แนะแล้ว ยังมีของใหม่ที่ข้าเองยังไม่เคยเห็น ไม่ผิด เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งขุนพล”
ได้ยินคำวิพากษ์เช่นนี้จากชีจี้กวง เด็กหนุ่มต่างลืมว่าตนอยู่ในโถงพิธีศพ ทุกคนมีสายตาตื่นเต้นยินดีมองมาที่หวังทง ได้รับคำวิพากษ์เช่นนี้จากผู้เชี่ยวชาญการรบและขุนพลมีชื่อแห่งยุค ถือเป็นการยอมรับระดับไหนกัน ไม่ใช่ยิ่งตอกย้ำความเก่งกล้าเกินใครของหวังทงหรอกหรือ
หวังทงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย หากแต่ก็แค่คำนับขอบคุณว่า
“ใต้เท้าชีชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยเก่งกล้าอันใด……”
กล่าวไม่ทันจบ ชีจี้กวงมองเขาส่ายหน้า ถอนหายใจกล่าวว่า
“วันหน้าหวังทงเจ้ากลับไปเสวยสุขเมืองหลวง การฝึกกองกำลังเป็นภารกิจยากลำยากย่อมต้องสูญเปล่าในไม่ช้า ช่างน่าเสียดาย น่าเสียดาย!!”
ชีจี้กวงอุทานทิ้งท้ายสองคำ ก่อนจะพยักหน้ากล่าวเสียงดังกังวานว่า
“ข้ามีภารกิจมาก ขออำลาก่อน!”
เขามีสถานะสูงส่ง คนอื่นๆ ย่อมไม่อาจกล่าวอันใด หวังทงยิ้มเฝื่อนๆ คำนับส่ง มองชีจี้กวงนำกำลังผู้ติดตามจากไป
*************
ยุ่งมาทั้งวัน รอจนกลับถึงจวน ฟ้าก็เริ่มมืด พอเข้าไปในจวน ซุนต้าไห่ก็รีบเข้ามาหากล่าวว่า
“ใต้เท้าอวี๋กองตรวจการรอใต้เท้านานแล้ว!”