ตอนที่ 48 ไม่ขอเป็นพี่เป็นน้อง หากยินยอมเป็นบ่าวรับใช้
การที่ตนเองส่วนใหญ่ถูกส่งออกไปซื้อหาของ จางซื่อเฉียงก็พอจะรับรู้อะไรอยู่บ้าง แต่นอกจากยิ่งต้องทำงานอย่างระมัดระวังแล้ว ก็ไม่มีวิธีการอื่นอันใด
“พี่จาง นอกบ้านเป็นการเป็นงาน ในบ้านเป็นเรื่องในบ้าน รีบนั่งลงคุยกัน!”
หวังทงเปลี่ยนคำเรียกขาน ยิ้มกล่าวอย่างสุภาพเกรงใจ ในใจจางซื่อเฉียงพลันรู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก นั่งอยู่เพียงริมขอบเก้าอี้ แม้ว่าหวังทงกล่าววาจาสุภาพ แต่จางซื่อเฉียงก็ยังคงรู้สึกตึงเครียดอยู่มาก
“พี่จาง ข้าน้อยเลื่อนเป็นนายกองธงใหญ่ คุมนายกองธงเล็กห้าส่วนงาน หลี่เหวินหย่วนเดิมก็เป็นอยู่ ซุนต้าไห่อีกหนึ่ง พี่น้องเราย่อมไม่อาจละเลย ก็ให้พี่จางเป็นนายกองธงเล็กสักส่วนงานใดส่วนงานหนึ่ง”
จางซื่อเฉียงพอได้ยิน ก็ตัวแข็งทื่ออยู่บนเก้าอี้ เงียบไปอย่างไม่รู้ควรจะมีปฏิกิริยาเช่นไร หวังทงอมยิ้มมองเงียบๆ ปฏิกิริยาแรกที่จางซื่อเฉียงตอบกลับกลับเป็นการตบบ้องหูตัวเอง ดูท่าทางเหมือนสงสัยว่าตัวเองฟังผิด
กองร้อยหนึ่งมีนายกองธงเล็กสิบนาย นายกองธงใหญ่สองนาย ตามตำแหน่งนายกองธงใหญ่คุมคนละห้านาย แต่ทั้งกองมีหนึ่งร้อยคน นายกองร้อยย่อมไม่อาจดูแลถึง เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควบคุมคนร้อยกว่าคนไว้ได้ ภารกิจของนายกองธงเล็กก็มักต้องรับงานจากนายกองร้อยโดยตรง
แต่หวังทงกลับต่างออกไป นายกองร้อยเถียนหรงหาวไม่รู้ว่าหวังทงได้รับการส่งเสริมด้วยเหตุใด จึงไม่อยากให้คนอื่นมายุ่งเรื่องของตนเอง หวังทงก็รู้ความ ยินยอมรับเอางานยากลำบากอย่างการกวาดล้างจับกุมเอาไว้ แต่นอกจากจางซื่อเฉียงและหลี่เหวินหย่วนแล้ว ก็ไม่เอาคนอื่นในกองร้อยเข้ามาเพิ่มอีก เปรียบเหมือนยอมสร้างเตาขึ้นใหม่
ไม่ทำให้ผลประโยชน์เดิมของนายกองร้อยเถียนเสียหาย ประกอบกับการแอบส่งสัญญาณจากบิดาของเขา ย่อมรู้ว่าควรแลกเปลี่ยนกัน เอางานนายกองธงใหญ่ทั้งหมดมอบให้หวังทงไปจัดการคนเดียว อีกทั้งรายได้หวังทงยังมากกว่าเมื่อก่อนมาก ไยต้องไปแย่งชิง
หวังทงหยิบหนังสือแต่งตั้งและป้ายคำสั่งจากมุมโต๊ะ ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า
“หลักฐานแสดงฐานะทำเสร็จแล้ว พี่จางรับไปเถิด ลำบากกับน้องชายอย่างข้ามานาน คอยตรากตรำทำงานหนัก วันหน้าให้ผู้อื่นไปทำ จะได้สบายหน่อย”
จางซื่อเฉียงค่อยๆ ลุกจากที่นั่ง ยื่นมือมาคิดจะหยิบ แต่กลับหดมือกลับ หวังทงยกมือค้างอยู่ตรงนั้น อมยิ้มรอ จางซื่อเฉียงสุดท้ายก็เอื้อมมือสั่นเทาไปรับป้ายและหนังสือแต่งตั้ง อักษรบนป้ายไม้สีแดงและหนังสือแต่งตั้งเขาก็ไม่รู้จัก หากคำว่า จางซื่อเฉียง สามอักษรนี้เขาเห็นมามาก ก็พอคุ้นเคยอยู่บ้าง
การได้เลื่อนเป็นนายกองธงเล็กน่าจะจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่คำขอบคุณจางซื่อเฉียงก็เอ่ยไม่ออก เอาแต่จ้องมองป้ายคำสั่งอยู่อย่างนั้น น้ำตาไหลนองหน้าอย่างไม่รู้ตัว
หวังทงเห็นแล้วก็รู้สึกเศร้าไปด้วย จึงโบกมือกล่าวว่า
“พี่จาง ออกไปซื้อของได้แล้วที่ร้านต้องการวัตถุดิบมากอีกหน่อย แวะซื้อของขวัญตรุษจีนให้คนที่ร้านด้วย อีกไม่กี่วันก็ซื้อไม่ได้แล้ว รีบไปเถอะ!”
พอได้ยิน จางซื่อเฉียงก็หันมาตัวแข็งทื่อ หวังทงยังคงนั่งอยู่อย่างเดิม ในเมื่อมอบความเมตตาให้แก่คนใกล้ชิด เช่นนั้นก็ต้องวางท่าแสดงบารมีหน่อย มิเช่นนั้นก็ทำให้คนใกล้ตัวลืมสถานะของตัวเองได้ และไม่รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของตน
แต่ความแตกตื่นของจางซื่อเฉียงเกรงว่าจะมากเกินไปอยู่บ้าง ตอนนี้หวังทงก็เป็นเพียงตำแหน่งนายกองธงเล็กๆ เท่านั้น ไยต้องตื่นเต้นมากมายถึงเพียงนี้
จิตใจแตกต่างกัน ย่อมมีมุมมองที่ต่างกัน จิตใจหวังทงตอนนี้ต่างจากเมื่อก่อนมากแล้ว
จางซื่อเฉียงเดินตัวแข็งทื่อออกจากประตูไป เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันหันหลังกลับ คุกเข่าโครมลงตรงหน้า โขกศีรษะคำนับไปสิบกว่าที
หากกล่าวว่าเพื่อขอบคุณสำหรับตำแหน่งนายกองธงเล็ก ก็เกรงว่าจะมากเกินไป หวังทงส่ายหน้า คิดว่าเมื่อครู่ตนวางท่าทางเกินไปหรือไม่ ทำให้คนใกล้ชิดตนนอบน้อมจนเป็นเช่นนี้ เพิ่งจะปลอบใจได้ไม่กี่คำ ก็เห็นจางซื่อเฉียงเงยหน้าน้ำตานองตะโกนว่า
“น้องหวัง ใต้เท้าหวัง ข้าน้อยผิดต่อครอบครัวใต้เท้า ข้าน้อยละอายใจ ข้าน้อยสมควรตาย!”
หวังทงเอามือตบหน้าผาก ไยต้องเป็นถึงเพียงนี้ ตำแหน่งนายกองธงเล็กไยต้องร้องไห้ถึงเพียงนี้? อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
“พี่จาง นี่ก็ออกจะเกิน…”
“ข้าน้อยควรให้ฟ้าผ่าตาย ตอนแรกได้ไปมาเก๊ากับท่านนายกอง นายกองดูแลข้าน้อยถึงเพียงนั้น ตอนข้ากลับมากลับแอบชั่วร้าย ไปบอกคนรอบตัวว่านายกองนำเงินหลายพันตำลึงกลับมาจากมาเก๊า แต่ไม่ยอมแบ่งให้พี่น้อง คำพูดที่ไม่สำนึกบุญคุณนี้จึงนำพาภัยใหญ่มาสู่ทรัพย์สินใต้เท้า เรื่องที่ข้าน้อยได้ทำลงไป ใต้เท้ายังกลับดีต่อข้าน้อยเช่นนี้ ข้าน้อยละอายใจ ข้าน้อยมีโทษยิ่ง!”
พอพูดจบก็หมอบกับพื้นร่ำไห้เสียงดัง คำว่า นายกอง สองคำนี้หวังทงยังคิดไม่ทันว่าจะพูดถึงบิดาของตน เอามือตบหน้าผากเบาๆ สุดท้ายก็เข้าใจสาเหตุของเรื่องทั้งหมด เรื่องนี้ก็ไม่ควรหลงลืมจริงๆ ถึงแม้ว่าจะกล่าวถึงบิดาตนก็ตาม หวังลี่ได้เงินจากมาเก๊ามาไม่น้อย กลับมาก็ควรมอบให้หัวหน้าสร้างสานสัมพันธ์บ้าง ยังไม่ยอมให้ลูกน้องได้แบ่งกันอีก แม้ว่าเป็นจางซื่อเฉียงที่เป็นคนซื่อสัตย์ก็ย่อมมีใจเคืองโกรธ ไม่ต้องพูดถึงพวกจิตใจไม่ดีพวกนั้น
แต่ก็ไม่มีอะไรต้องโทษกัน การตายของหวังลี่ก็เพราะร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วย ไม่มีใครลงมือมาทำร้าย สำหรับเรื่องแย่งชิงสมบัติ เกรงว่าแม้หวังลี่จะแบ่งปันให้ผู้อื่นบ้าง แต่ด้วยนิสัยคนพาลอย่างหลิวซินหย่งและเจ้ากั๋วต้ง ช้าเร็วก็ย่อมแสดงอำนาจแย่งชิงผู้ไร้กำลังต่อต้าน ย่อมลงมือกับเด็กกำพร้าไร้ที่พึ่ง
มองจางซื่อเฉียงสูญเสียการควบคุมตัวเองไปเพราะเรื่องในอดีตของตน เกรงว่าการทำเช่นนี้ก็ไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับเขา น่าจะเพราะเขาเองก็ได้รับความเมตตาไปไม่น้อย น่าจะทำให้ในใจรู้สึกสำนึกผิดโทษตัวเอง
เรื่องราวที่เก็บกดไว้ในใจก็เป็นภัยร้าย วันนี้ได้พูดเรื่องนี้ออกมา อย่างน้อยก็ได้ขจัดปมไปได้หนึ่งปม นับเป็นเรื่องดี และตั้งแต่ก่อร่างสร้างตัวมา จางซื่อเฉียงก็ทุ่มเทกายใจเคียงข้างตนมาตลอด ก็มีความดีความชอบอยู่ ซื้อใจเอาไว้ย่อมเป็นการดี หวังทงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เดินเข้าไปประคองให้ขึ้นมา กล่าวเสียงดังว่า
“พี่จาง เรื่องไม่เป็นเรื่อง พี่ไม่พูด คนอื่นที่ติดตามไปด้วยก็จะไม่พูดด้วยหรืออย่างไร โทษตนเองเช่นนี้มีประโยชน์อันใด”
“เรื่องของนายท่านเป็นเพราะข้าน้อยปากมากพูดก่อน หน้ามืดตามัวเพราะคิดว่าจะได้ประโยชน์บ้างนิดหน่อย กลับคิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้รับผลกรรมเช่นนี้ ถูกจัดให้ทำงานที่ไม่มีงานให้ทำ คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าหวังกลับดีต่อข้าน้อยเช่นนี้”
หวังทงยิ้มก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก เข้าไปประคองอีกครั้ง ปลอบใจว่า
“พี่จาง รีบลุกขึ้น ตอนนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว พี่ทำเช่นนี้จะทำให้คนนอกหัวเราะเอาได้…”
คิดไม่ถึงว่าพอพูดจบ จางซื่อเฉียงกลับสะบัดตัวออกไปก้มลงโขกศีรษะอย่างแรงจนเลือดเกือบจะออก จางซื่อเฉียงเอ่ยวาจาหนักแน่นว่า
“จากนี้ไปไม่บังอาจเป็นพี่เป็นน้องกับท่าน…”
ช่างไม่รู้จักดีชั่วอะไรเช่นนี้ หวังทงโกรธ พลันได้ยินจางซื่อเฉียงกล่าวต่อว่า
“ชีวิตข้าน้อยต่อจากนี้ไปเป็นของใต้เท้า ข้าน้อยยอมเป็นบ่าวรับใช้ใต้เท้า เป็นวัวเป็นควาย ยอมเสียสละเพื่อใต้เท้าได้อย่างไม่ลังเล!!!”