ตอนที่ 47 ความเมตตาซื้อใจคน
คุกเข่าอยู่ที่ลานบ้าน จางซื่อเฉียงยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง หวังทงกลับเดินเข้าห้องไป พวกซุนต้าไห่ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นก็มีความรู้สึกกังวลใจ
ในใจคิดว่าหรือใต้เท้าน้อยผู้นี้จะเข้าไปหยิบเครื่องมือลงทัณฑ์ออกมา เอาจิตใจตนไปประมาณจิตใจผู้อื่น รู้สึกว่าเรื่องที่ก่อขึ้นที่หอเลิศรสในวันนั้นแย่มาก อีกฝ่ายจะต้องลงด้วยแส้ โบยด้วยไม้ยกหนึ่งจึงพอจะระบายโทสะได้บ้าง
แม้ว่าตอนมาที่นี่ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว แต่พอถึงเวลากลับรู้สึกเจ็บปวดใจนึกถึงครอบครัวตนเอง อดไม่ได้ที่จะร้อนรนกังวลใจ
ประตูเปิดออก หวังทงก็เดินออกมา ซุนต้าไห่และพวกคิดถึงบรรดาพ่อแม่ลูกเมียที่บ้าน ต่างพากันกัดฟันก้มตัวให้ยิ่งต่ำลง ทนๆ ไปบางทีอาจจะผ่านไปได้
“ครอบครัวพวกเจ้าเตรียมงานปีใหม่กันเป็นอย่างไรบ้าง?”
คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะถามเช่นนี้ ซุนต้าไห่ถอนหายใจเฮือก ก้มหน้าต่ำลงไปอีก คนอื่นๆ ลอบมองหน้ากัน คนอายุน้อยคนหนึ่งมองสีหน้าหวังทงแวบหนึ่ง ตัดสินใจตอบอย่างใจกล้าขึ้นว่า
“หัวหน้าซุนกับพวกเราเดิมกำลังรอเบี้ยหวัดเสบียงปลายปีมาฉลองปีใหม่ คิดไม่ถึงว่าจะถูกย้ายมาเป็นลูกน้องใต้เท้า นายกองธงใหญ่จึงได้ริบเอาไปหมด ให้…”
“สือโถว หุบปากเน่าๆ ของเจ้าซะ!”
ซุนต้าไห่ตวาดขึ้นเสียง ทำให้คนอื่นไม่กล้าส่งเสียงอีก หวังทงยิ้มกล่าวขึ้นอย่างนุ่มนวลว่า
“พ่อแม่ลูกเมียที่บ้านได้เลือกผ้ามาตัดเสื้อใหม่กันหรือไม่? ได้ซื้อประทัดและเทียนมาหรือไม่? เนื้อและปลาซื้อมาเท่าไร?”
ถามแต่ละประโยค ซุนต้าไห่กับพวกก็ยิ่งก้มหน้าต่ำลงไปอีกส่วนจางซื่อเฉียงที่อยู่ด้านข้างอยากจะขำก็ขำไม่ออก องครักษ์เสื้อแพรบนถนนหนิวหลันเป็นพวกที่ลำบากยากจนที่สุด จะได้ตัดชุดใหม่ซื้อเนื้อกันหรือ กำลังจะหมดปีเช่นนี้ อย่าให้เจ้าหนี้มาทวงถึงบ้านก็พอแล้ว
เสียง ‘ตุบ’ ดังขึ้น ของหนักบางอย่างตกลงตรงหน้าซุนต้าไห่ ทุกคนที่กำลังใจตกขีดสุดก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ในใจคิดว่าจะใช้วิธีการโหดเหี้ยมอันใดลงโทษพวกเรากันแน่ เริ่มต้นต้องเปิดโปงความผิดแล้วก็คงต้มตุ๋นเคี่ยวผัดทอดทุกวีธีเป็นแน่
ซุนต้าไห่แอบมองตาม กลับเป็นห่อผ้าสีน้ำเงินเล็กๆ ยังไม่ทันได้คิดว่าอะไร ก็ได้ยินหวังทงกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า
“นี่คือ 60 ตำลึงเงิน คนอื่นคนละ 5 ตำลึง ต้าไห่เจ้าเอาไป 10 ตำลึง อีกเดี๋ยวตามพี่จางไปรับหมูครึ่งตัว แพะหนึ่งตัว ไปตัดเสื้อใหม่ให้คนที่บ้าน ฉลองปีใหม่ต้องกินดีหน่อย”
คำพูดกล่าวจบ ซุนต่าไห่ก็นิ่งค้างอยู่ตรงนั้น พอได้สติก็กลับไปหยิบห่อผ้านั้นอย่างไม่เกรงใจ และก็ไม่ได้กล่าวขอบคุณ
นี่ก็ยากที่จะตำหนิ เดิมสองฝ่ายมีเรื่องโกรธแค้นกันใหญ่โตเพียงนั้น ตอนนี้ย้ายตนมาจากกองพันอย่างไม่มีผู้ใดทำกันได้ หากแต่ไม่ใช่การแก้แค้น แต่กลับเป็นให้ประโยชน์ที่มากมายเช่นนี้
คนละ 5 ตำลึง ซุนต้าไห่ 10 ตำลึง ยังมีหมูมีแพะ พวกเขาที่ถูกหักหัวคิวมาตามลำดับปีหนึ่งได้เท่านี้หรือไม่ ยังพูดยาก หลิวซินหย่งใช้พวกเขามาก่อเรื่อง ให้มาแค่ 10 ตำลึง
เปิดห่อผ้าดูด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ แต่พอเห็นเงินก้อนสีขาววับภายใน อะไรก็ปลอมแปลงกันได้ แต่ไม่มีใครเอาเงินมาปลอมแปลง พอเห็นเงินพวกนี้ คนที่คุกเข่ากันอยู่ก็ไม่สนใจระเบียบ ตะกายคลานกันเข้ามา จ้องมองเงินหลายสิบตำลึงนั้นตาไม่กระพริบ
หวังทงเอาแต่ยิ้ม ไม่รีบร้อน ซุนต้าไห่พอได้จ้องมองดูครู่หนึ่ง ก็หันขวับมามองหวังทง อึ้งไปเพียงครู่เดียว จากนั้นก็ร้องไห้โขกศีรษะอย่างแรง ปากก็สะอื้นว่า
“ใต้เท้าใจกว้างดังขุนเขา…ข้าน้อย พี่น้องข้าน้อยถูกปีศาจครอบงำจิตใจ…ทำเรื่องบัดซบที่มีแต่พวกเดรัจฉานทำอย่างนั้นไปได้ ใต้เท้ากลับปฏิบัติกับพวกเรา…”
ร้องไปพูดไป คำพูดกระท่อนกระแท่น คนที่เหลือก็หมอบร้องไห้โฮอยู่ตรงนั้น โขกศีรษะกันไม่หยุด ไม่ว่าก่อนหน้าพวกเขาจะระแวงหวังทงเช่นไร กังวลว่าจะมีวิธีการทรมานตนอย่างไรบ้าง แต่พอได้เห็นก้อนเงินขาววาววับ ใจที่ระแวงก็พลันสลายไปหมดสิ้น
นึกถึงตอนแรกที่ตนเองกล้ามาก่อเรื่อง หากหวังทงแสดงท่าที่อ่อนแอเพียงเล็กน้อย สถานการณ์ตอนนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาเท่าไร แต่หวังทงกลับใจกว้างเช่นนี้
ใกล้ปีใหม่ รอบข้างล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศเฉลิมฉลอง บ้านหวังทงกลับมีผู้ชายสิบกว่าคนมาคุกเข่าร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง ก็เป็นเรื่องน่าแปลกอยู่บ้าง
จางซื่อเฉียงมองหวังทงคิดจะเข้าไปเตือน แต่เขากลับส่ายหน้ารั้งเอาไว้ หวังทงยืนคอยอยู่ตรงนั้นอย่างอดทน
กว่าจะหยุดเสียงร้องคร่ำครวญลงได้ ซุนต้าไห่ไม่สนใจเงินทองตรงหน้า คลานเข่าเข้ามาตรงหน้าหวังทง ใบหน้านองไปด้วยน้ำตากล่าวว่า
“ใต้เท้าไม่คิดเอาผิดเรื่องเลวทรามที่ข้าได้ทำลงไป กลับยังเมตตาพวกเราพี่น้องเช่นนี้ วันหน้าใต้เท้าก็คือฟ้าบนหัวพวกเรา ให้พวกเราไปตาย ก็จะไม่ปฏิเสธสักคำ!”
พูดได้เด็ดขาดแล้วยังโขกศีรษะกับพื้นอีก หัวหน้าหน่วยพลทหารเบื้องหลังอีกสิบนายก็พากันโขกศีรษะ แสดงถึงความซื่อสัตย์ของตน ใบหน้าหวังทงยามนี้จึงได้เผยรอยยิ้ม เดินเข้าไปก้าวหนึ่งพยุงซุนต้าไห่ขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า
“พี่น้องกันทั้งนั้น ไยต้องทำตัวเป็นสตรีอ่อนแอเช่นนี้ด้วย รีบลุกขึ้น ปีใหม่จะมาร้องไห้ได้ยังไงกัน”
พูดไปพลางหันหน้าไปบอกจางซื่อเฉียงว่า
“พี่จาง อีกเดี๋ยวพาทุกคนไปรับหมูกับแพะ ฉลองปีใหม่กันให้ดี หลังปีใหม่ก็มาเข้าประจำการแล้วกัน”
นอกจากวีรบุรุษแล้ว ใครๆ ก็ล้วนแต่ทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว หาเงินกินข้าวจึงจะเรียกว่าทำงาน คิดจะได้ใจผู้คน ก็ต้องมอบเงินทองและอาหารให้เพียงพอ
ฮ่องเต้ไม่ประสงค์ใช้ทหารหิวโหยก็ด้วยหลักการนี้ ตั้งแต่ก่อเรื่องหวังทงก็เห็นว่าพวกซุนต้าไห่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม และยังเป็นพวกยากจนจนชิน
สยบได้ง่าย อีกฝ่ายกลัวตนจะแก้แค้น แต่ตนเองกลับปฏิบัติกลับด้วยความใจกว้าง และยังมอบความเมตตาให้ ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดนี้ แน่นอนย่อมทำให้อีกฝ่ายสะเทือนใจ ทำให้อีกฝ่ายซาบซึ้งใจอย่างที่สุด
หวังทงตอนนั้นก็เคยใช้วิธีเช่นนี้กับลูกน้อง และก็เคยถูกคนอื่นใช้วิธีนี้มาก่อน ในวงการทำงานก็เหมือนกับวงราชการ พอใช้แล้วก็ได้ผลไม่เลว
เดิมก็ไม่มีลูกน้องเป็นของตนเอง คิดจะครองใจคนเอาไว้ในมือให้ได้นั้นก็ต้องใช้วิธีการเล็กน้อย
“น้องจาง ไว้เจ้ากลับมา ข้ามีเรื่องจะต้องพูดกับเจ้า!”
ไม่ทันรู้ตัว หวังทงเดิมเคยเรียกจางซื่อเฉียงว่าพี่จางก็กลายเป็นน้องจาง แต่ก็เป็นธรรมชาติมาก ไม่มีผู้ใดรู้สึกเคอะเขิน
หลายวันก่อนซื้อของเข้ามาก็ไม่น้อย หมูแพะที่สะสมไว้ก็มีมากพอ สามารถเอาออกจากห้องเสบียงให้ซุนต้าไห่กับพวกไปได้ทันที หมูกับแพะมีน้ำหนักมาก จึงให้หม่าซานเปียนเอารถไปส่ง
ตอนมาก็หวาดกลัวภัย ตอนกลับกลับดีอกดีใจ ซุนต้าไห่กับพวกก็คุยหัวเราะเสียงดังอย่างตื่นเต้นยินดีไปตลอดทาง แม้แต่หวังทงที่อยู่ในห้องก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
พอส่งซุนต้าไห่ออกไปไม่นาน จางซื่อเฉียงก็กลับเข้ามาในห้องท่าทางเคารพนอบน้อม หวังทงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องโถงกลาง ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น
จางซื่อเฉียงก้มหน้าก้มตาทิ้งมือข้างกายยื่นอยู่ที่ประตู เป็นท่าทีของผู้รับคำสั่งต่อหน้าขุนนาง อายุเขาแม้ว่ามากกว่าหวังทงสองเท่ากว่า แต่จางซื่อเฉียงกลับรู้สึกว่าต่อหน้าหวังทงที่ยังเป็นเด็กโตไม่เต็มที่ผู้นี้ ตัวเขาเองถึงจะเป็นเด็กที่ยังไม่โตผู้หนึ่ง อีกฝ่ายตั้งแต่กลับจากมาเก๊าและหวังลี่ผู้เป็นบิดาป่วยจากไป ก็เปลี่ยนไปหมดสิ้น วิธีการกลเม็ดต่างๆ มีมากมาย ร่ำรวยเงินทอง คบหาสมาคมผู้มากบารมี ยังได้เลื่อนตำแหน่งอย่างน่าอัศจรรย์