ตอนที่ 58 ใช่ว่าบารมีน่าเกรงขามในทุกที่
รอจนนางหม่าเข้ามา เด็กน้อยผู้นี้ก็ร้องจนเป็นลมไปแล้ว นางหม่าที่ผ่านโลกมามากเอาผ้าร้อนเช็ดให้เจ้าจินเลี่ยงจากนั้นก็ห่มผ้าให้
พอจ้าวจินเลี่ยงตื่นมาก็ร้องไห้ ร้องเหนื่อยแล้วก็หลับ จึงยังไม่มีโอกาสได้ถามอะไร
รอจนผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม หวังทงก็มอบเด็กให้นางหม่าดูแล ตนเองออกไปข้างนอก ถนนทักษิณเดิมเงียบเหงาไม่น้อย แต่เรื่องร้ายวันนี้ทำให้ที่นี่คึกคักขึ้นมา
คนว่างงานหลายคนมามุงชะเง้อมองอยู่ที่ปากทางตรอกของร้านสินค้าแดนใต้ หวังทงกว่าจะเข้าไปได้ก็เปลืองแรงไม่น้อย คนของซุนต้าไห่ในตรอกชุมชนนั้นก็ตะโกนด่าไม่หยุด ขวางไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเดินเข้าไป
พอหวังทงเบียดเข้าไปได้ก็สั่งเสียงเย็นเยียบว่า
“ขีดเส้นปากทางไว้ หากข้ามเส้นมาให้ชักดาบฟันให้ถอยไป!”
ตอนพูดอยู่นั้น ซุนต้าไห่กับบรรดาพรรคพวกก็สบตากันพยักหน้า การกระทำของหวังทงตั้งแต่พวกเขารู้จักกันมาไหนจะคำสั่งเมื่อครู่ ในใจพวกเขารับรู้ได้ว่ามันน่าแปลก ติดตามหัวหน้าผู้นี้ทำงาน ย่อมไม่เสียเปรียบ และก็ไม่ต้องเป็นที่รองรับอารมณ์
ก้าวเท้ายาวเข้าไปในบ้านตระกูลเจ้า ที่ลานบ้านใช้โต๊ะเก้าอี้เรียงซ้อนกันเป็นแท่นสองแท่นเพื่อวางร่างที่แข็งทื่อทั้งสองไว้บนนั้น และยังหาผ้ามาปิดไว้ด้วย
ประตูใหญ่ของห้องโถงเปิดอยู่ ข้างนอกก็สามารถมองเห็นมือปราบสวมชุดดำหมวกทรงสูงคุยกันอยู่ข้างใน หวังทงรู้สึกแปลกใจถามขึ้น
“นี่ดูกันเสร็จแล้วหรือ?”
“ครึ่งชั่วยามก่อนก็มากันแล้ว เดินวนรอบบ้านในบ้านรอบหนึ่ง ดูศพแล้ว ก็เข้าไปนั่งคุยในบ้าน”
“ตรวจพบอะไรบ้างไหม?”
หวังทงรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ดังใจ ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่ศาลมาตรวจสอบแล้วก็ต้องรายงานผลสรุปคดีให้ตนเองทราบหรือ?
ซุนต้าไห่ส่ายหน้า หวังทงรู้สึกโกรธอย่างไม่รู้สาเหตุ เดินเข้าไปในบ้านทันที มือปราบที่สืบคดีสองคนอายุราว 30 กว่า กำลังนั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงนั้น บนโต๊ะยังมีของกินเล่นที่ไม่รู้เอามาจากไหน หวังทงที่ไม่ได้สวมชุดมัจฉาเวหาเข้ามา พวกเขามองแล้วก็เห็นเป็นเด็กที่ยังโตไม่เต็มวัย ก็โบกมือไล่อย่างรำคาญว่า
“ยังกั้นพื้นที่อยู่ ไสหัวไป ไสหัวไป!”
“พี่ชายทั้งสอง นี่คือนายกองธงใหญ่ของเรา!”
ซุนต้าไห่ที่อยู่ด้านหลังกล่าว มือปราบสองคนนั้นพอได้ยินเด็กยังไม่โตเต็มวัยผู้นี้เป็นถึงนายกองธงใหญ่ ก็แสดงท่าทางแปลกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ความเคารพอะไรพวกนั้นก็มีจำกัดอยู่มาก ทำให้ต้องลุกขึ้นประสานมือทักทายอย่างเสียไม่ได้ แล้วก็ยังนั่งลงอีก
ซุนต้าไห่เห็นว่าการแนะนำไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลย มือปราบสองท่านนี้ไม่ได้เคารพตำแหน่งนายกองธงใหญ่สักเท่าไร หวังทงรู้สึกมึนตึ้บ องครักษ์เสื้อแพรมีบารมีน่าเกรงขามและเดินวางกล้ามบนถนนกันไม่ใช่หรือ มือปราบเล็กๆ กลับเสียมารยาทเช่นนี้ได้อย่างไร
หากสืบคดีเป็นเรื่องสำคัญ อย่างนั้นแล้วเรื่องเล็กแค่นี้คงไม่เป็นไร หวังทงประสานมือกล่าวถามว่า
“ขอถามท่านทั้งสอง คดีนี้มีร่องรอยอะไรไหม?”
พอหวังทงถามจบ มือปราบสองคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ คนทางซ้ายกล่าวอย่างรำคาญว่า
“ข้าว่านะน้องชาย วันนี้วันปีใหม่ ฉลองปีใหม่ไปดีกว่า เจ้าไปเรียกพวกเราพี่น้องมาจากศาล พ่อแม่ที่บ้านต่างพากันตำหนิยกใหญ่ นี่มันไม่ไว้หน้ากันเลยนี่นา!”
หวังทงอึ้งไป ทำไมมาชักสีหน้าใส่ตน แต่งานสำคัญกว่า จึงยังคงประสานมือกล่าวว่า
“คดีเกิดขึ้นกะทันหัน ไม่ได้คิดให้มากเช่นนั้น ถึงเวลาจะเชิญทุกท่านมาทานเลี้ยงสักครา หากยามนี้ทั้งสองท่านตรวจพบอะไรหรือไม่ รายงานหน่อยได้ไหม”
มือปราบสองคนแค่นยิ้มขึ้นพร้อมกัน คนขวาลุกขึ้นยืนกล่าวว่า
“ศาลซุ่นเทียนทำคดี มีแต่ศาลอาญาใหญ่เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์รู้ได้ กององครักษ์เสื้อแพรทำแต่คดีใหญ่ พวกคดีจำคุกชนชั้นสูง เรื่องเล็กๆ เช่นนี้ไยต้องให้ท่านมาลำบากไปด้วย พวกข้าขอตัว”
สองคนนี้กลับจากไปอย่างไม่สนใจไยดี หวังทงรู้สึกร้อนใจ ท่าทีสองคนนี้ก็คุ้นเคยอยู่ ในโลกสมัยนั้นไปติดต่อราชการที่ไหน เจ้าหน้าที่ก็จะบ่ายเบี่ยงเช่นนี้เหมือนกัน การบ่ายเบี่ยงเช่นนี้ก็มักจะแสดงให้เห็นว่าเรื่องที่จะจัดการนั้นย่อมไม่อาจสำเร็จผลได้
ทำให้หวังทงรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที กำลังคิดจะตามออกไปถาม แต่ก็ถูกซุนต้าไห่ฉุดรั้งไว้ หันมามองเห็นซุนต้าไห่ถามด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ ว่า
“ใต้เท้า ท่านรู้สึกอึดอัดในใจใช่หรือไม่ คิดว่าเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนเล็กๆ พวกนี้กลับไม่ไว้หน้าเช่นนี้”
ทุกประโยคพูดโดนใจหวังทงหมด หวังทงสะกดกลั้นความโกรธ หันมามองซุนต้าไห่…
“…องครักษ์เสื้อแพรเราบารมีน่าเกรงขาม นั่นเพราะปฏิบัติงานตามคำสั่งเบื้องบน พี่น้องในเมืองหลวงเรามีหลายหมื่น พอคนเยอะก็ไร้ค่า…พวกไร้สามารถแอบปนอยู่ด้วยใช่ว่าไม่มี ส่วนใหญ่ก็ล้วนกินเบี้ยหวัดลำบากลำบน พวกเจ้าหน้าที่ศาลแม้ว่าไม่กินเบี้ยหลวง แต่ในเมืองใหญ่เช่นนี้มีเพียงแค่สามร้อยคน เรื่องที่ต้องจัดการก็มีมาก อำนาจมาก ครอบครัวองครักษ์เสื้อแพรเรายังต้องให้พวกเขาควบคุมดูแล ล่วงเกินไม่ได้เลย…หากไม่มีคำสั่งงานลงมา ใต้เท้ากองร้อยเราไปศาลซุ่นเทียนแม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับเจ็ดล่างสุดยังขอพบไม่ได้เลย…ใต้เท้าท่านว่า เจ้าหน้าที่ศาลพวกนั้นยังจะต้องสนใจพวกเราอีกหรือ…”
ซุนต้าไห่ฝีปากธรรมดา พูดลากไปลากมาอยู่นาน แต่ความหมายก็พอเข้าใจได้ หวังทงใช้มือตบท้ายทอย
องครักษ์เสื้อแพรองอาจเป็นที่ยำเกรง ความรู้สึกที่คนทั่วไปล้วนรู้สึกเกรงอยู่มากพอควรนั้นฝังลึกอยู่ในความทรงจำ สถานะตัวเองในสถานการณ์นี้ยังมองไม่ออก แต่เจ้าหน้าที่ศาลซุนเทียนสองคนนั้นหากตั้งใจทำคดีก็แล้วไป เห็นท่าอย่างนั้นแล้ว หวังทงก็รู้อยู่แก่ใจดี เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจที่เตรียมจะอะไรทั้งนั้น
ตนเองคิดจะยุ่งเรื่องนี้ แต่สำนักองครักษ์เสื้อแพรที่องครักษ์เสื้อแพรขึ้นตรงอยู่สองกองพันนั้น คนอื่นล้วนเป็นทหารธรรมดา ไม่เข้าใจวิธีการทำคดี ตนเองก็ยังมีแค่ลูกน้อง 10 กว่านาย จะไปทำอะไรได้ เกรงว่าจะทำอะไรก็คงไม่ได้
ปวดหัวอยู่นาน หวังทงก็กล่าวกับซุนต้าไห่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรว่า
“ต้าไห่ ให้พี่น้องเราไปถามเพื่อนบ้านรอบๆ ดูว่าสองวันนี้มีใครได้ยินอะไรผิดปกติไหม เห็นอะไรผิดปกติหรือเปล่า แล้วค่อยจัดคนออกไปสอบถามตามบ้านเรือนบนท้องถนน ใครรู้อะไร ก็ให้ถามมาให้ละเอียด”
ซุนต้าไห่พยักหน้า กำลังจะเดินออกไป ก็ถูกหวังทงตะโกนเรียกให้หยุด
“ต้าไห่ พี่น้องเราทุกคนให้เพิ่มค่าแรงอีกคนละหนึ่งตำลึง และปีใหม่เช่นนี้อย่าได้ทำให้ผู้อื่นตกอกตกใจกัน”
คนละหนึ่งตำลึงเท่ากับเบี้ยหวัดราวเดือนกว่า ซุนต้าไห่กับองครักษ์เสื้อแพรด้านนอกที่ได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกนิ่งอึ้งไป ใต้เท้าจ่ายเงินมือเติบยิ่งนัก คำสั่งหวังทงที่ว่าอย่าได้ทำให้ชาวบ้านกังวลวุ่นวายกัน ทุกคนก็ตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน พอกำลังจะเดินออกไปก็ได้ยินหวังทงกำชับอีกว่า
“พวกเจ้าไปหาคนที่เขียนหนังสือได้มาสักสองสามคนให้ตามไปด้วย ข้ามีเงินค่าแรงให้ ให้พวกเจ้าไปถามแล้วจดบันทึกเอาไว้”