Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 57

ตอนที่ 57 ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่

โจวอี้สวมชุดยาวคอกลมสีเทาขอบแดงเข้ม บนเสื้อเปื้อนฝุ่น ไม่มีภาพของการฉลองปีใหม่ พอเข้าประตูมาก็หยอกหวังทงเล่นว่า

“น้องหวังว่างนัก เจ้าดูพี่ชายเช่นข้าสิ พอถวายคำนับบรรดาผู้มียศศักดิ์ในวังแล้ว แม้แต่ข้าวร้อนๆ ยังไม่ทันได้กิน ก็รีบมาเฝ้าที่นี่แล้ว ทำอาหารขึ้นชื่อของหอเลิศรสเจ้ามาให้พี่ชายเช่นข้าได้อิ่มท้องหน่อย”

โจวอี้ที่เป็นคนเงียบขรึมเก็บท่าที แต่กลับมีท่าทีที่เปิดเผยเช่นนี้ หนึ่งเพราะอารมณ์ดี สองเพราะสนิทกับหวังทง สนิทกันจนไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติ พอเห็นคนสองคนที่โจวอี้พามาด้วยก้มหน้าก้มตาลง ก็เดาว่าน่าจะเป็นขันทีติดตามระดับล่าง จึงไม่ต้องไปสนใจ

ก่อนสิ้นปีนางหม่ากับคนงานร้านได้เตรียมอาหารให้หวังทงที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารที่อยู่ได้ในช่วงอากาศเย็น ตอนจะกินก็เอามาอุ่นในหม้อก็ใช้ได้ อย่างไรแล้วทุกมื้อนางหม่าก็จะให้หม่าซานเปียวมาตามไปกินข้าวด้วยกัน จะได้กินด้วยกันให้ครึกครื้น

จริงๆ แล้วก็ไม่ต้องให้หวังทงลงมือเอง ผู้ติดตามสองคนนั้นที่ตามเข้ามาถามเข้าใจแล้วก็เริ่มลงมือทำ หวังทงก็ไปเป็นเพื่อนคุยกับโจวอี้

โจวอี้เป็นคนฉลาด มองคนละเอียดทุกซอกทุกมุม สามารถมองทะลุถึงความว้าวุ่นในใจหวังทง พอนั่งลงคุยไปได้สองสามประโยค โจวอี้ก็ถามถึง

สำหรับคนผู้นี้หวังทงไม่มีอะไรต้องปิดบัง ก็เล่าอย่างละเอียดแต่ต้นจนจบ พอจบก็รู้สึกกังวลจึงกล่าวว่า

“ข้าเพิ่งรับงานกวาดล้างจับกุมมา ถนนทักษิณก็เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น ไม่รู้ว่าจะสืบสวนให้ความจริงกระจ่างได้หรือไม่”

โจวอี้ฟังอย่างละเอียด สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด รอให้หวังทงเล่าจบก็ลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบนิ่งว่า

“น้องหวังกับพี่ก็เหมือนพี่น้อง พี่มีคำพูดก็ไม่อาจเก็บงำ ยามนี้งานสำคัญสุดของน้องหวังก็คือสร้างลานฝึกนี้ให้เสร็จ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตเกียรติยศเงินทองของน้องหวัง งานกวาดล้างจับกุม ทุกคนล้วนเข้าใจกันดี เป็นเพียงเพราะองครักษ์เสื้อทองมีคนมาก จึงหางานให้ทำเท่านั้น งานคดีชาวบ้านอย่างไรก็ให้ศาลซุ่นเทียนจัดการ ปีใหม่เช่นนี้ก็ตายไปแล้วสอง ยังไมรู้ว่าจะพาให้เดือดร้อนอีกเท่าไร อย่างไรก็อย่ายุ่งจะดีกว่า”

การก้าวมาถึงตำแหน่งรองขันทีวังหลวงได้ก็ไม่รู้ว่าผ่านเรื่องราวเล่ห์เหลี่ยมโหดร้ายมามากเท่าไร ในงานราชการและการเมืองเช่นนี้ แม้หวังทงจะเอาประสบการณ์การเกิดในสองชาติมารวมกันก็สู้เขาไม่ได้ และตำแหน่งระดับโจวอี้สามารถกล่าวคำเหล่านี้กับหวังทงได้อย่างไม่ปิดบังนั้นนับว่าออกมาจากใจจริงแล้ว

หวังทงตกอยู่ในภวังค์อยู่ตรงนั้น ลานฝึกนี้สร้างเพื่อให้ได้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ยังมีขันทีทรงอิทธิพลในวังร่วมด้วย ชีวิตนี้ของตนจะรุ่งโรจน์หรือไม่ จะมีเกียรติยศเงินทองหรือไม่อาจกล่าวได้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้

คดีอนาถของครอบครัวเถ้าแก่เจ้า มองแค่เรื่องเวลาที่เกิดและระดับความร้ายกาจก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา หากเข้าไปเกี่ยวพัน ก็จะมีแต่ภัย ไม่มีประโยชน์แม้เพียงนิด ควรจะปล่อยทิ้งไปหรือไม่? สมองของหวังทงมีภาพของเจ้าจินเลี่ยงที่นั่งอย่างไร้ชีวิตลอยเข้ามา รู้สึกใจกระตุกวูบหนึ่ง เดิมครอบครัวเถ้าแก่เจ้าก็อบอุ่นสมบูรณ์ดี สัตว์ร้ายตัวไหนกันถึงได้ทำให้ครอบครัวพลัดพรากล่มสลายไปเช่นนี้ หวังทงพึมพัมครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กล่าวกับโจวอี้เสียงเรียบนิ่งว่า

“พี่โจว ที่พี่กล่าวเมื่อครู่ล้วนหวังดีต่อข้า ข้าจะจดจำไว้ แต่บิดาข้าเคยสอนไว้ว่า หากวันนี้ได้ปฏิบัติงาน ก็ควรจะปฏิบัติงานของตัวเองให้สำเร็จอย่างเต็มกำลัง ข้าทำหน้าที่กวาดล้างจับกุมบนถนนทักษิณ คดีอนาถของตระกูลเถ้าแก่ก็เกิดบนถนนทักษิณ คดีนี้ข้าจะต้องสืบให้กระจ่าง ให้คำตอบแก่เจ้าทุกข์และตัวข้า”

กล่าวจบก็ประสานมือคารวะไปทางโจวอี้ที่อยู่ด้านหน้ากล่าวว่า

“พี่โจวอย่าได้เห็นเป็นอื่น พี่ท่านนั่งก่อน ข้าจะไปสอบถามรายละเอียดจากเจ้าทุกข์”

ท่าทางยามปกติของหวังทงมักจะฝึกฝนมาอย่างดี เข้าใจหลักการรุกถอยของวงการราชการ รู้ว่าจะเอาใจอย่างไรหลบเลี่ยงอย่างไร โจวอี้กลับคิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา

เขาอี้งไปก่อนจะรีบยิ้มยกชามข้าวขึ้นมากล่าวว่า

“เจ้าไปทำธุระเจ้าก่อน ข้ากินอิ่มแล้วก็จะปิดประตูไปเอง”

เมื่อครู่ที่ตนทำนั้นเสียมารยาทไปบ้าง หวังทงพยักหน้ารับอย่างรู้สึกผิด จากนั้นค่อยก้าวเท้าออกจากประตูไปทันที

คนระดับปลายแถวสองคนที่คอยอุ่นอาหารอยู่ก็รีบเข้ามาในห้อง คนหนึ่งมองไปทางเงาหลังหวังทงเบ้ปากกล่าวกับโจวอี้ว่า

“พูดจาเช่นนี้ เขาคิดว่าเขาเป็นใครกัน?”

โจวอี้มองคนผู้นี้จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ใช้ตะเกียบคีมอาหารเข้าปาก กลืนลงไปแล้วจึงกล่าวอย่างเอ้อระเหยว่า

“เจ้าจะเข้าใจอะไร นี่สิถึงจะเป็นผู้ทำการใหญ่ได้…”

ท่าทีที่ดีที่สุดต่อหน้าหัวหน้าก็คือทำงานที่ตนรับผิดชอบให้ดี หวังทงไม่รู้ว่ามีคนดูอยู่หรือไม่ แต่ในเมื่อทำงานกวาดล้างจับกุม รักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ว่ายุ่งยากลำบากเพียงใดก็ต้องสืบสวนให้กระจ่าง นี่เป็นจุดหนึ่งที่หวังทงได้รับความชื่นชมจากชาติที่แล้วคือ ‘ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่’

ทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะไม่รู้สึกผิดต่อตนเอง การไม่รู้สึกผิดต่อตระกูลเจ้าก็จะยิ่งไม่รู้สึกผิดต่อตนเอง

บ้านของนางหม่าแคบกว่าบ้านหวังทงมาก พอเปิดประตูออก หวังทงเดินเข้าไปที่ห้องโถง เห็นนางหม่ากำลังซับน้ำตา สีหน้าหม่าซานเปียวที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่สู้ดีนัก บนโต๊ะมีเกี๊ยววางอยู่ครึ่งชาม เสื้อผ้าเปื้อนเลือดก็วางอยู่อีกด้านหนึ่ง

ดูแล้วเจ้าจินเลี่ยงน่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากินอะไรบ้างแล้ว พอเห็นหวังทงเข้ามา นางหม่าก็ซับน้ำตาที่หัวตากล่าวเสียงเครือว่า

“เด็กน้อยผู้นี้อาภัพนัก อายุเพียงเท่านี้…”

พูดอยู่ก็สะอื้นพูดต่อไปไม่ได้ หม่าซานเปียวที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินก็มีทีท่ากลัดกลุ้ม กล่าวเสียงเรียบนิ่งว่า

“เมื่อครู่เจ้าเด็กนี่ค่อยๆ กินเกี๊ยวไปได้ครึ่งชาม จากนั้นก็บอกว่าเมื่อวานไม่ได้นอน แม่พาเขาเข้าไปนอนในห้อง เจ้าเด็กนั่นก็ยังกล่าวขอบคุณมีมารยาทยิ่งนัก”

หวังทงอึ้งไป นี่ไม่ปกติ หากพลันได้สติคืนมา เด็กที่เห็นพ่อแม่ตายด้วยตาตนเองกลับมีท่าทีเช่นนี้ เห็นชัดว่าเป็นเรื่องไม่ปกติอย่างมาก

นางหม่าเห็นโลกมามาก ลุกขึ้นเก็บชาม กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า

“เด็กผู้นี้เสียใจมากไป หากไม่ร้องไห้ออกมา เกรงว่าสมองจะกระทบกระเทือน สวรรค์ทรงเมตตา ปีใหม่เช่นนี้ ใครช่างกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้…”

กล่าวไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างน่ากลัวดังมาจากในห้อง คนในห้องต่างพากันตกใจ หวังทงและหม่าซานเปียวรีบวิ่งไปที่ห้อง

เจ้าจินเลี่ยงที่เมื่อครู่ยังสงบนิ่งกำลังหลบมุมอยู่บนเตียงอย่างหวาดกลัว ขดตัวเป็นก้อนกลม พอเห็นหวังทงเข้ามาก็รีบร้องไห้โฮขึ้นทันที ร้องตะโกนว่า

“…ท่านพ่อตายแล้ว ท่านแม่ก็ตายแล้ว…ท่านแม่อย่าฆ่าข้า…”

คำพูดติดขัดไม่ประติดประต่อ แต่หวังทงก็คลายใจลง พบเรื่องมากมาย จิตใจเด็กน้อยอ่อนแอยากที่จะรับได้ หากไม่ได้ระบายอารมณ์ที่เศร้าสุดขีดเช่นนี้ออกมา เกรงว่าจะกลายเป็นบ้าไปได้ ตอนนี้ร้องไห้เสียงดังตะโกนออกมา กลับเป็นเรื่องดี

หวังทงรีบเข้าไปปลอบ แม้ว่าเขาไม่ได้โตกว่าเจ้าจินเลี่ยงเท่าไร แต่ในความเป็นจริงเขามีจิตใจเป็นผู้ใหญ่ จึงปลอบใจได้ดี พอกล่าวได้ไม่กี่ประโยคเจ้าจินเลี่ยงก็ยิ่งร้องดัง จนหยุดไว้ไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version