Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 492

ตอนที่ 492 เหนือความคาดหมาย สมเหตุสมผล

ราชโองการมาถึงเทียนจิน หวังทงย่อมเรียกลูกน้องทุกคนมารับราชโองการ ในฎีกานั้นเขาได้เสนอพี่น้องตระกูลถานไปสองสามคนและหม่าซานเปียว คนเหล่านี้ต้องมาร่วมรับราชโองการด้วย คนอื่นๆ ที่ติดงานตนก็อาจไม่จำเป็นต้องมา

ขันทีถ่ายทอดราชโองการยังคงมีท่าทีสุภาพนอบน้อมอย่างยิ่งดังเดิม แต่ยืนยันให้หวังทงตามบรรดำเด็กหนุ่มที่มาจากลานฝึกหู่เวยด้วยกันมารับราชโองการ

ได้ยินเช่นนี้ ในใจหวังทงก็พอคาดเดาเรื่องราวได้บางส่วน จึงรีบส่งม้าเร็วไปตาม ขณะเดียวกันก็ยังสั่งให้ทุกคนตอนมาสวมชุดอย่างเป็นทางการมาด้วย

สำนักองครักษ์เสื้อแพรในเมืองอย่างไรก็ต้องตั้งโต๊ะจุดกำยานรอ พวกหวังทงเปลี่ยนชุดขุนนางมารอรับราชโองการ พอพวกหลี่หู่โถวรีบรุดจากหน่วยรักษาความปลอดภัยมาถึง ก็เริ่มพิธีอย่างเป็นทางการ

พวกหลี่หู่โถว ลี่เทาและซุนซิงกับคนอื่นๆ รู้สึกงง ตอนนี้งานในหน้าที่ไม่ใช่หน่วยองครักษ์เสื้อแพร และก็ไม่ใช่กองกำลังหู่เวย หากเป็นการฝึกกำลังชาวบ้านรักษาความปลอดภัย เรื่องเกี่ยวกับสองหน่วยงานนี้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกตนกัน

“……ถานปิงเป็นหัวหน้าหน่วยกองพันที่ 1 ซุนซิงเป็นรองหัวหน้าหน่วย หลี่หู่โถวเป็นหัวหน้าหน่วยกองพันที่ 2 ลี่เทำเป็นรองหัวหน้าหน่วย……”

ตอนหนึ่งในราชโองการมีมาเช่นนี้ ทุกคนเข้าใจแล้วว่าตามพวกเด็กหนุ่มเหล่านี้มาเพื่อการใด หลี่หู่โถวกับอีกสามคนยังไม่ทันได้ตั้งสติ ก็ถูกหวังทงหันหน้ามาตำหนิเบาๆ จึงได้โขกศีรษะขอบพระทัยในพระเมตตา

หวังทงกับลูกน้องตกใจก็ส่วนตกใจ แต่ก็มิได้มีอันใดที่จะรับไม่ได้ ยังคงมอบเงินรางวัลให้กับขันทีและเจ้าหน้าที่นำราชโองการมา และยังจัดเลี้ยงต้อนรับที่โรงเตี๊ยมจตุรทิศ

ขันทีถ่ายทอดราชโองการ ตามระเบียบก็ย่อมมีองครักษ์เสื้อแพรอารักขามา ในขณะถ่ายทอดราชโองการก็ต้องยืนกุมดาบอยู่ด้านหลังตามหน้าที่ พวกเขามองทุกคนด้วยสายตาเยียบเย็นจับตามองมาตั้งแต่มาถึง

เห็นทุกคนตกตะลึงและแปลกใจกันจริงๆ จึงได้รู้สึกผ่อนคลายลง เริ่มยิ้มรับเงินรางวัลกัน กล่าววาจาตอบกลับตามมารยาท

แม้ว่ากำหนดให้เป็นหัวหน้าหน่วยและรองหัวหน้าหน่วย แต่หน้าที่จริงๆ ยังคงนายกองพัน ระดับเทียบเท่านายกองพัน ยังดีที่หวังทงยังมีตำแหน่งที่ปรึกษากองกำลังหู่เวยอีกตำแหน่ง ไม่เช่นนั้นก็คงมีสถานะทัดเทียมกัน

พอราชโองการประกาศจบลง ก็มีการส่งมอบเครื่องหมายประจำตำแหน่งจากสำนักอาชาหลวงและกรมทหาร ทุกคนรูสึกไม่เข้าใจ กองกำลังหู่เวยเพิ่งก่อตั้งได้ไม่ถึงสองปี สำนักอาชาหลวงและกรมทหารก็ยังมิได้มีเอกสารรับรองอย่างเป็นทางการ เหตุใดตำแหน่งทั้งสองนี้จึงต้องมีเครื่องหมายประจำตำแหน่งอย่างเป็นทางการเช่นนี้

ทว่าคนนอกยังไม่จากไป ทุกอย่างที่สงสัยย่อมต้องเก็บไว้ในใจ งานเลี้ยงที่โรงเตี๊ยมจตุรทิศ ทั้งเจ้าบ้านและแขกมาเยือนต่างสำราญกันอย่างจุใจ ดื่มจนท้ายที่สุด ทุกคนร่วมมอมสุราผู้ที่ได้ตำแหน่ง เฮฮากันจนสนุกสนานอย่างที่สุด

พอเจ้าหน้าที่ประกาศราชโองการเข้าที่พักไป พวกหวังทงกลับไป หลี่หู่โถว ลี่เทาถูกมอมสุราจนเมามายไร้สติ ต้องใช้รถม้านำกลับไป เป็นซุนซิงที่คอแข็งอยู่ แต่ก็ไม่อาจขี่ม้า ได้แต่นั่งอยู่บนหน้ารถม้า

พี่น้องตระกูลถานก็คอแข็งกันไม่เบา ไม่รู้สึกอันใดในเรื่องนี้ ถานปิงขี่ม้าตามหลังหวังทง ปากก็ฮัมเพลงเบาๆ ที่ฟังไม่รู้ความ ท่าทางสบายใจยิ่ง

หวังทงดื่มไปแค่สามจอก ก็แค่ที่คารวะให้กับคณะนำราชโองการพวกนั้นนั่นเอง ก็มิได้เมามายอันใด อย่างไรเป็นหัวหน้าก็มีข้อดีเช่นนี้เอง

หยางซือเฉินไม่ได้ไปด้วย ไช่หนานก็ไม่ได้ดื่มสักเท่าไร ตอนกลับจวน สองคนมาที่ห้องหวังทงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย หวังทงย่อมกำลังรออยู่ในห้องหนังสือ

“หลี่หู่โถว ลี่เทาและซุนซิงแม้ว่าเป็นเพียงเด็กหนุ่ม แต่การทำงานในยามนี้ทุกคนก็เห็นด้วยตาตนเอง รับหน้าที่นี้แม้ว่ากะทันหันไปบ้าง แต่ก็ไม่มีผู้ใดจะกล่าวอันใดได้ ใต้เท้าเองก็ใจกว้างพอ”

พอรินน้ำชาเสร็จ ทหารก็ได้รับคำสั่งให้ออกไปเฝ้าไกลๆ ไม่ให้ผู้ใดเข้ามาใกล้ ทุกคนดื่มชาเสร็จก็นิ่งไป เป็นไช่หนานที่ยิ้มเริ่มกล่าวก่อน

หวังทงรับคำนิ่งๆ ว่า

“พวกหู่โถวนิสัยใจคอเช่นไร ข้าเองย่อมวางใจ หัวหน้ากองกำลังหู่เวยนั้นพวกเขาก็เป็นกันมานานแล้ว ก็ย่อมคุ้นเคยกันดี ไม่ต้องกังวลว่าจะควบคุมไม่ได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่เป็นห่วง รายชื่อที่ส่งขึ้นไปไม่ได้มีรายชื่อเหล่านี้ เหตุใดฮ่องเต้จึงได้ทรงเพิ่มเติมในราชโองการเล่า?”

หยางซือเฉินวางจอกน้ำชาลงคิดจะกล่าว อ้าปากจะพูดก็ไม่พูด

***********

เดือนเก้า ณ เมืองหลวง อากาศแจ่มใสในฤดูใบไม้ร่วง เย็นสบายที่สุด

ทุกครั้งในยามนี้ ในวังห้องเครื่องก็มักจะมีอาหารพิเศษให้กับเจ้านายในวัง ยามนี้ก็เป็นเวลาที่ในวังมีงานเลี้ยงกันหลายที่ที่สุด

สำหรับฮ่องเต้ว่านลี่แล้ว ตามที่เคยปฏิบัติมา จะทรงอยู่ที่ตำหนักฉือหนิงกงกับไทเฮาฉือเซิ่ง เสวยเป็นเพื่อนไทเฮา โดยเฉพาะยามพระกระยาหารค่ำ

ในยามนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาสองพระองค์อยู่ร่วมเสวย แต่ครั้งนี้มีเพียงไทเฮาและว่านลี่สองพระองค์เท่านั้น

“หม่อมฉันคิดว่าอ๋องลู่จะมาด้วย จึงไม่ได้ให้ฮองเฮามาด้วย คิดไม่ถึงว่าอ๋องลู่จะเอาแต่อ่านตำราอยู่ในตำหนักเสียได้!”

คืนนี้เป็นงานเลี้ยงปู ไทเฮาและฮ่องเต้ย่อมไม่ต้องลงมือแกะเอง นางกำนัลและขันทีย่อมเตรียมพร้อมเสร็จสรรพแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่หยิบเนื้อปูลงในชามน้ำจิ้มซอสเปรี้ยวขิงจิ้มน้ำจิ้มไปมาก่อนจะแย้มพระสรวลตรัสขึ้น

ไทเฮาฉือเซิ่งยกสุราอำพันอุ่นแตะริมพระโอษฐ์ก่อนจะส่ายพระพักตร์ตรัสว่า

“อ๋องลู่เด็กน้อยตอนนี้กลายเป็นพวกติดตำราไปเสียแล้ว วันๆ นอกจากอ่านตำราแล้วก็ไม่ทำอันใด ทั้งวันเอาแต่อ่านตำราแต่งบทกลอน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สุขภาพกายและสายตาคงทานทนไม่ไหว บอกอย่างไรก็ไม่ฟัง ฮ่องเต้ก็ทรงตักเตือนหน่อยก็แล้วกัน”

ฮ่องเต้แย้มพระสรวลตรัสรับคำขึ้นว่า

“อ๋องลู่เกรงว่าคงอยู่ในวังหลวงนี้อีกไม่นาน จึงได้เอาแต่ขลุกในห้องหนังสือ อายุได้วัยออกไปปกครองเขตของตนแล้ว ตำหนักก็สร้างเสร็จแล้ว ไม่สู้ให้ปลายปีนี้ย้ายไปเลยดีไหม ออกนอกวังไปดูโลกภายนอกแปลกใหม่ จะได้ไม่เบื่อหน่ายอยู่เช่นนี้”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสไปอย่างไม่ทรงคิดอันใด หากไทเฮากลับขมวดพระขนงแน่น ตรัสว่า

“อ๋องลู่ยังเล็ก แม่ยังอยากดูอ๋องลู่เติบโตอยู่ พอไปเหอหนานรับตำแหน่งอ๋องปกครองพื้นที่แล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้พบกันสักกี่ครั้ง”

“หม่อมฉันก็แค่กล่าวไปอย่างนั้น เสด็จแม่คิดจะให้อ๋องลู่อยู่อีกกี่ปีก็ได้ ไม่มีอันใด เรื่องเล็กน้อย โอ๊ย……!”

ได้ยินไทเฮาตรัสเช่นนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รับคำ หากตรัสไม่ทันจบก็ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด พระหัตถ์ถูกเปลือกปูตำ นางกำนัลรีบปรี่เข้ามาคุกเข่ารับพระอาญา ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงโบกพระหัตถ์ ก่อนจะแสดงให้เห็นว่าเรื่องเล็กน้อย ทุกคนจึงได้ถอยออกไป

บรรดาขันทีน้อยที่รับใช้ด้านหลังต่างเห็นกันกระจ่าง ตอนไทเฮาตรัสว่า ‘ไม่รู้จะได้พบกันสักกี่ครั้ง’ พระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่บนโต๊ะก็กำอย่างแรงจึงได้ถูกเปลือกปูตำ แต่ธรรมเนียมในวัง เห็นอันใดให้เก็บลงท้องไป ได้แต่ทำเป็นไม่เห็น ไม่เช่นนั้นหัวบนบ่าคงไม่พอหลุดจากบ่า

“เสด็จแม่ มีเรื่องเล็กน้อยอยากปรึกษาเสด็จแม่”

ทั้งสองเสวยไปได้ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสขึ้น ไทเฮาแย้มพระสรวลส่ายพระพักตร์ตรัสว่า

“เราแม่ลูกกัน ไยจึงทรงเหินห่างเช่นนี้ มีอันใดก็ตรัสมาได้”

“เสด็จแม่ ปีก่อนหม่อมฉันรับสนมมา สนมเจิ้งมีคุณธรรมและจริยธรรม รู้หนังสือและรู้จารีตมารยาท หม่อมฉันพอพระทัยนางมาก ดังนั้นจึงอยากแต่งตั้งเป็นพระสนมเอก เสด็จแม่ทรงเห็นเช่นไร!”

ไทเฮาฉือเซิ่งเสวยเสร็จ นางกำนัลก็รีบยกอ่างน้ำเข้ามา ส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้พร้อม ไทเฮาทรงล้างมือเช็ดแห้งเสร็จ สีหน้าไร้รอยแย้มสรวล ตรัสสุรเสียงนิ่งว่า

“สนมเจิ้งเข้าวันมาได้ปีกว่าเท่านั้น แม้เป็นที่โปรดปรานฝ่าบาท แต่จะให้จากพระสนมชั้นต้นเป็นพระสนมเอกเลย โถๆ ทีเดียวข้ามหลายขั้นเลย ปีกว่ามานี้ ฮ่องเต้เองมิได้ทรงเสด็จไปตำหนักฮองเฮาสักเท่าไรกระมัง!”

ได้ยินสุรเสียงไทเฮาฉือเซิ่งไม่ดีนัก ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังจะกล่าวอันใดต่อ ไทเฮาก็แย้มสรวลเล็กน้อย ตรัสว่า

“ฮ่องเต้ก็เจริญพระชันษาแล้ว เรื่องในครอบครัวก็ตัดสินพระทัยเอง แม่ไม่อยากยุ่งเกี่ยว”

ความหมายไม่แน่ชัดนัก แต่ก็เหมือนทรงยอมรับให้เลื่อนเป็นพระสนมเอกได้ ในวังหลัง ตำแหน่งไทเฮาเป็นรองกว่าฮองเฮาที่เป็นผู้ควบคุมวังหลังตัวจริง และตำแหน่งสนมเอกนี้ก็เป็นใหญ่เหนือพระสนมทั้งหมดเป็นรองฮองเฮาเพียงผู้เดียว ตำแหน่งสูงส่งยิ่ง เรื่องครอบครัวฮ่องเต้ย่อมมิใช่เรื่องส่วนตัว การเลื่อนตำแหน่งในวังหลังล้วนนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาในทั้งฝ่ายในและนอกราชสำนัก นางผู้ใดได้ตำแหน่งสูงหรือต่ำ ก็มักส่งผลกับชนชั้นสูงและขุนนางในราชสำนัก ย่อมต้องแย่งชิงกันอย่างดุเดือด

พระสนมเจิ้งเลื่อนทีเดียวข้ามหลายขั้นไปเป็นถึงพระสนมเอก เรื่องเช่นนี้ทำลายธรรมเนียมปฏิบัติเดิม ย่อมทำให้บรรดาขุนนางรวมตัวกันคัดค้าน แต่ผู้กุมอำนาจในวังหลังตัวจริงอย่างไทเฮาฉือเซิ่งมีท่าทีเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ย่อมไม่ต้องทรงกังวลอันใด

อึ้งไปพักหนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็แย้มพระสรวล คิดจะถวายคำนับขอบพระทัย ก็รู้สึกว่าจะเหินห่างไป จึงได้ยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระพักตร์ บนพระหัตถ์ยังมีร่องรอยของการเสวยปู พอลูบพระพักตร์ก็ทำเอาเปรอะเปื้อนไปหมด ไทเฮาเห็นเช่นนี้ก็อดแย้มพระสรวลดังขึ้นไม่ได้ ชี้พระพักตร์ฮ่องเต้ตรัสว่า

“รีบซับพระพักตร์ให้ฮ่องเต้สิ อายุเท่าไรแล้ว ยังเหมือนเด็กน้อยไปได้”

ขันทีนางในข้างๆ ก็อดหัวเราะตามไม่ได้ รีบส่งผ้ามาซับพระพักตร์ ในห้องเสวยบรรยากาศก็ดีขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ซับพระพักตร์เสร็จคิดจะตรัสขึ้นด้วยรอยยิ้ม ไทเฮาก็เปลี่ยนบทสนทนาตรัสถามว่า

“หลายวันก่อน หวังทงส่งฎีกาเกี่ยวกับการจัดการกองกำลังมา ฮ่องเต้คิดจะจัดการเช่นไร?”

“ทูลเสด็จแม่ การจัดการกองกำลัง ก็แค่การปรับเปลี่ยนในกองกำลังหู่เวย ก็จะให้ตามที่หวังทงเสนอฎีกามา”

ไทเฮาส่ายพระพักตร์ยิ้มตรัสว่า

“กองกำลังหู่เวยเป็นกองกำลังของฝ่าบาท ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยในกองกำลังหากไม่ทรงใส่พระทัย นานวันเข้า ที่ทรงใกล้ชิดก็จะเหินห่าง หากตอนนี้กองกำลังหูเวยจัดการเช่นนี้ เช่นนั้นวันหน้ากองกำลังใต้หล้า ก็จะรายงานมาให้ทรงอนุมัติอย่างเดียวงั้นหรือ? หากนายทหารเป็นเช่นนี้ แล้วผู้ตรวจการเล่า? คณะเสนาบดีใหญ่เล่า?”

ไทเฮาตรัสเช่นนี้ รอยแย้มพระสรวลตรัสของฮ่องเต้ว่านลี่ก็เลือนไปส่วนหนึ่ง สุดท้ายจึงตรัสอย่างจริงจังพร้อมลุกขึ้นถวายบังคมตรัสว่า

“เสด็จแม่สอนสั่งได้ถูกต้อง เป็นหม่อมฉันที่เลอะเลือน!”

……

“ในเมื่อเสด็จแม่ตรัสเช่นนี้ เด็กหนุ่มที่มาจากลานฝึกหู่เวยในตอนนั้น ตอนนี้ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งอันใด ฮ่องเต้ทรงใกล้ชิดกับหลี่หู่โถวที่สุด กับลี่เทาและซุนซิงก็ทรงพอสนิทอยู่ บิดาพวกเขาหลายคนรับตำแหน่งอยู่นอกเทียนจิน ก็พอควบคุมได้อยู่……ครั้งนี้แม้วัยวุฒิไม่ถึง แต่ก็พอเลื่อนตำแหน่งให้สูงได้……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version