Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 519

ตอนที่ 519 ขากลับได้เข้าเฝ้าหน้าพระพักตร์

“……แม่ทัพหลี่นำกำลังในสังกัดจากเหลียวโจวมาเอง 3,000 แต่ละคนล้วนชุดเกราะพร้อม ถุยๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไรตระกูลลี่เราจะทำแบบนี้ได้บ้าง……”

“เหลียวโจวหลายแสนคนในสังกัดหลี่เฉิงเหลียง ไม่มีตำแหน่งบุ๋นมาคุม เมืองเซวียนฝู่ยังมีขุนนางบุ๋นตรวจการคุมอยู่เลย!”

“ทหารในสังกัดแค่ 3,000 กว่าจะไปทำไรได้ กองกำลังหู่เวยข้าทหารสองสามพัน ทหารแต่ละคนก็เทียบเท่าทหารในสังกัดพวกนี้ได้……”

“เจ้าสาม เจ้าปกป้องกองกำลังเจ้าไม่ผิด แต่เจ้าดูสิ ผลการรบล้วนเป็นเซวียนฝู่และจี้โจวนำกำลังปราบมา พวกเราสังหารไปเท่าไร พวกเจ้าสังหารไปแค่เท่าไรกัน!”

“หากกองกำลังข้ารักษาตัวรอดอยู่ในค่ายรถ จนพวกมองโกลเข้าเขมือบมิได้ ล่าถอยกลับไป พวกเจ้าคงสังหารไม่ได้แม้แต่คนเดียว……”

พี่น้องตระกูลลี่สามคนไม่ได้เจอกันนาน แม้ว่าล้วนเป็นระดับขุนพลกันแล้ว แต่การโต้เถียงเอาชนะกันก็ยังคงเหมือนเด็ก ลี่เทาปกติก็เป็นผู้ใหญ่ หากตอนนี้ไม่เห็นความเป็นผู้ใหญ่นั้นแม้แต่น้อย

มีข่าวจากทหารม้าที่ขี่เข้ามารายงานเป็นระยะ พวกเคอเอ่อชิ่นพยายามป้องกันไว้ อยู่ๆ ทางกองกำลังที่เซวียนฝู่นั้นกลับเปิดช่องโหว่ให้รอดไปได้ ทหารม้าอย่างไรก็ไม่ได้แน่นหนาเหมือนทหารราบ นี่เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้

น่าจี๋เท่อกับทหารเขานั้นถูกกองกำลังจี้โจวล้อมไว้ หลังจากเข้าสังหารแล้ว น่าจี๋เท่อได้แต่ลงจากหลังม้าขอยอมแพ้ ทัพนับหมื่น หากจับตัวหัวหน้าได้ จึงเป็นความชอบอันดับหนึ่ง

สมรภูมิรบโหดร้ายเช่นนี้ ทหารมองโกลนับหมื่นหนีไปได้ไม่ถึง 2,000 และยังหนีกระจัดกระจายไปบนทุ่งหญ้าในฤดูหนาวนี้ มีโอกาสไม่น้อยที่จะหนาวและอดตาย

แม่ทัพชีจี้กวงแห่งจี้โจวกับแม่ทัพหลี่หรูซงแห่งเซวียนฝู่เป็นแม่ทัพใหญ่เมืองชายแดนสำคัญ หวังทงได้รับคำเชิญแต่ไม่ไป พวกเขาก็ไม่มาเชิญต่อ ได้แต่เก็บกวาดสมรภูมิรบ แบ่งหัวและตัวเชลยกันไป

รถใหญ่ของหวังทงเทียมสัตว์ลากเรียบร้อย ค่ายรถค่อยๆ ผ่อนคลายตัวออกจากกัน หัวและป้ายประจำตัวศัตรูก็โยนเข้าในรถใหญ่หลายคัน พวกบาดเจ็บและล้มตายก็นำขึ้นรถ ทัพใหญ่มุ่งไปทางกู่เป่ยโข่ว

พวกเขาคิดเดินทางจากไป ทางนั้นย่อมไม่รั้งไว้ จุดมุ่งหมายของการรบครั้งนี้สัมฤทธิ์ผลแล้ว ชีจี้กวงและหลี่หรูซงเห็นว่าทำงหวังทงเองก็ตัดเก็บไปได้หลายพันหัว หวังทงยังเป็นขุนนางที่ทรงโปรด ยศถาบรรดาศักดิ์ย่อมไม่น้อย ความดีความชอบที่จะนำไปรายงานก็พอเพียงแล้ว

ทหารบาดเจ็บล้มตายหลายร้อยค่ายหู่เวยไม่อยู่ในสายตาพวกเขา ชีจี้กวงและหลี่หรูซงทั้งสองเป็นแม่ทัพออกศึกมาหลายปี ซากศพกองเท่าภูเขา โลหิตหลั่งนองแผ่นดินราวทะเล ล้วนผ่านมาหมด บาดเจ็บล้มตายแค่หลักร้อยสำหรับพวกเขาแล้วก็แค่ตัวเลขเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องตกใจอันใด

ขุนพลเจ้าแห่งกองกำลังมี่อวิ๋นและทหารในสังกัดก็คิดจะเข้ามาทำความเคารพทักทาย เป็นแค่ขุนพลเล็กๆ หากจะได้สร้างสัมพันธ์กับแม่ทัพหลี่แห่งเหลียวโจว ยังมีแม่ทัพชีจี้กวงที่มีชื่อเสียงทั่วหล้าว่าเป็นอันดับหนึ่ง นั่นย่อมเป็นวาสนาใหญ่

นับประสาอันใดกับการที่เขาเองก็คิดจะเข้าไปประจบอยู่แล้ว หากแม่ทัพชีและแม่ทัพหลี่นั้นไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา การรบครั้งนี้ไม่มีความจำเป็นให้กองกำลังมี่อวิ๋นออกมาร่วมรบแต่ต้น จะว่าไป ตำแหน่งขุนพลเล็กๆ นำกำลังทหารม้ามาไม่ถึงห้าร้อย มีประโยชน์อันใดกัน

กองกำลังมี่อวิ๋นพวกนี้ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ก้มหน้าผิดหวังคอตกตามหวังทงกลับ การเข่นฆ่าสังหารเมื่อครู่ ไม่อาจสนใจสิ่งอื่นใด จะว่าไปอยู่บนหลังม้า แม้สังหารศัตรูได้ จะลงไปเก็บหัวได้อย่างไร

แน่นอน การรบเมื่อครู่ ที่เข้าสังหารจริงล้วนเป็นทหารม้าเกราะเหล็กกองกำลังหู่เวย ทหารจากมี่อวิ๋นได้แต่ตามอยู่ด้านหลังเก็บผลพลอยได้ เรื่องนี้ก็ไม่มีค่าให้กล่าวถึง

หวังทงไม่ได้ขี่ม้า หากค่อยๆ เดินนำอยู่หน้ากองขบวนรถใหญ่ การเดินเช่นนี้เป็นการคลายความเหนื่อยล้าของตนที่ง่ายที่สุด และยังสามารถทำให้ผ่อนคลายจิตใจได้ด้วย

“ใต้เท้า ขุนพลเจ้าแห่งกองกำลังมี่อวิ๋นขอเข้าพบ?”

ทหารติดตามรายงานดังขึ้น หวังทงพยักหน้า เห็นขุนพลเจ้าที่เหมือนพ่อค้ามากกว่าเดินยิ้มปรี่เข้ามา……

“ขุนพลเจ้าวางใจได้ หัวหน้ากองพลม้าเรารับปากว่าจะมอบเงินให้ก็จะได้มอบให้ตอนนี้เลย……อ่อ เอาหัวพวกนั้นนับมาให้ขุนพลเจ้า 300 หัว เงินก็ไม่ต้องแล้ว”

สองฝ่ายสนทนากันก็กล่าวถึงหัวศัตรู กล่าวถึงเงิน สีหน้าขุนพลเจ้าก็แปรเปลี่ยน กองกำลังมี่อวิ๋นห่างจากเซวียนฝู่ไม่ไกล หวังทงขายหัวศัตรูที่เมืองเซวียนฝู่นั้นเขาเองก็ได้ยินมากระจ่างอยู่ 300 หัวหากนับเป็นเงิน ก็มากกว่าหมื่นตำลึงแล้ว ได้เปรียบไม่น้อย ได้ยินหวังทงว่าดังนี้จึงได้วางใจคลายกังวล

แต่ในเมื่อเอ่ยมอบน้ำใจกันออกมาแล้วเช่นนี้ พวกที่มีหัวคิดหน่อยก็คิดได้ว่ายังต้องมีเรื่องต่อมา หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“ญาติข้าทำการค้าเล็กน้อย เห็นว่าที่มี่อวิ๋นนี่ก็ไม่เลว ร้านค้าไม่น้อย คิดจะเปิดร้านทำการค้าที่นี่ ขอให้ขุนพลเจ้าช่วยดูแลด้วย”

ที่แท้เรื่องนี้นี่เอง ขุนพลเจ้ารีบตกปากรับคำ กองกำลังมี่อวิ๋นเองเดิมพ่อค้าก็ไม่อยากมากันอยู่แล้ว ร้านค้าพวกนี้ แต่ละแห่งก็ล้วนเปิดทางสะดวกได้ จะไม่ยินยอมได้อย่างไร หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“ถึงเวลานั้นขุนพลเจ้าคงต้องลำบากท่านแล้ว ก็รับหุ้นเอาไว้สี่ส่วนก่อนก็แล้วกัน!”

ตั้งแต่กองกำลังหู่เวยมาที่มี่อวิ๋น ขุนพลเจ้าเองก็รู้ว่าหวังทงนั้นใจกว้าง คิดไม่ถึงว่าหลังจากได้หัวศัตรูจากการรบมา ตนเองยังได้แบ่งประโยชน์ด้วย ยังมีหุ้นอีกสี่ส่วน นั่นย่อมเป็นหุ้นลม แค่นั่งรอรับเงินเท่านั้น เรื่องดีๆ เช่นนี้ผู้ใดไม่ยินยอมกันเล่า จึงได้แต่ผงกหน้าหงึกๆ ราวกับไก่จิกข้าวเปลือก

สองฝ่ายกล่าววาจากันตามมารยาทสักพัก ขุนพลเจ้าก็ขอตัวกลับ หวังทงได้ยินเสียงร้องยินดีแว่วมา มีทหารม้าหลายร้อยปรากฎตัวขึ้นแบ่งหัวมองโกลไปกันสองสามร้อย ความชอบนี้ไม่น้อยเลยจริงๆ

เดินไปสักครู่หนึ่ง หวังทงก็รู้สึกเหนื่อยล้า ไช่หนานยามนี้ขี่ม้าตรวจตราอยู่ เห็นหวังทงทำท่าจะหลับมิหลับก็เข้ามากล่าวเตือนว่า

“ใต้เท้า เข้าไปพักผ่อนในรถเถอะ ตอนนี้กำลังเดินทางกลับแล้ว นอนหลับดีๆ สักตื่นได้”

หวังทงพยักหน้า หันหน้าเดินเข้าไปในรถ เขาไม่คิดจะทนต่อ มาถึงตอนนี้ก็ควรจะวางใจไปนอนสักตื่นได้แล้ว

กู่เป่ยโข่วเป็นพื้นที่หุบเขาและเลียบแม่น้ำ กองกำลังหู่เวยมีขบวนรถเป็นหลัก จึงเดินทางเร็ว พอหวังทงเข้าไปในรถที่ส่ายไปมาเบาๆ ผ่อนคลายความตึงเครียดและนอนหลับลึกไปทันที

ว่ากันว่าเหนื่อยล้าหนักย่อมไม่ฝันอันใด แต่หวังทงเหมือนฝันกลับไปสู่วัยเด็ก ที่ใช้ชีวิตกับหวังลี่บิดาเขาสองคน ตอนนั้นแม้จะลำบาก แต่ก็มีชีวิตเรียบง่าย ผ่อนคลายและมีความสุข เพียงแต่หวังทงทงมักคิดถึงเรื่องอื่น ดังนั้นจึงมองข้ามความสุขพวกนี้ไป ภาพในวัยเด็กลอยเข้ามาในความฝันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มาจึงช่วงเวลาฝึกที่กองกำลังหู่เวย หวังทงเหมือนว่ายืนอยู่บนเวทีไม้มองทหารฝึกซ้อม

ทหารที่คัดเลือกมาจากทุกสารทิศที่เทียนจินกำลังฝึกซ้อมอยู่ด้านล่าง ทุกคนเงียบสงบ แต่ก็เต็มด้วยพลัง ใบหน้าทหารมากมายในลานฝึกกระจ่างใส ใบหน้ากระจ่างใสเหล่านั้นเป็นใบหน้าทหารที่ตายในสงครามครานี้ ในใจหวังทงเองก็รู้สึกไม่สบายใจนัก รู้สึกเศร้าอยู่บ้าง ใบหน้ากระจ่างใสมีชีวิตชีวา มองให้ดี ทหารที่ตายไปเหล่านั้นกำลังยิ้มอยู่ ทุกคนยิ้มอย่างมีความสุขและภาคภูมิใจ

ไม่ทันรู้ตัว หวังทงก็ถูกความสุขของเขาเข้าครอบครองใจตน พลอยยิ้มไปด้วย……

ตอนตื่นมา หวังทงเห็นเงาดำในรถ นอกม่านหน้าต่างมีแสงไฟแวบเข้ามา ได้ยินเสียงหัวเราะยินดีอยู่ด้านนอก ได้ชัยกลับมา ยังได้กลับบ้านในทันที จะไม่ดีใจได้อย่างไร

พอเปิดม่านหน้าต่างขึ้นมองก็เห็นถานเจียงเฝ้าอยู่ที่ประตู ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า

“นายท่าน พวกที่มีฝีมือธนูดี ออกไปล่าแพะมาโดยเฉพาะ ย่างได้ที่แล้ว นายท่านรีบมากินกันเถอะ!”

*************

“ตัดหัวมาหมื่นกว่า จับตัวหัวหน้าได้อีก ได้สัตว์เลี้ยงและยุทโธปกรณ์ศัตรูมาด้วย เก่งกล้า เก่งกล้า ตั้งแต่ปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงเราออกรบตอนเหนือมาในครานั้น หลายร้อยปีมานี้เคยมีชัยชนะยิ่งใหญ่เช่นนี้ไหม?”

“ฝ่าบาท ไม่อาจตรัสว่ามีชัยชนะยิ่งใหญ่เช่นนี้ เอกสารรายงานจากชายแดนยังมิกล้าเขียนมาเช่นนี้! พวกเขาเพียงแต่กล้าบอกว่าสังหารศัตรูหมื่นกว่า ตัดหัวมาหมื่นกว่า หากกรมทหารไปตรวจสอบหัว ใช่ว่าเป็นการรายงานเท็จเพื่อขอบำเหน็จหรือพะยะค่ะ?”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสขึ้นด้วยสุรเสียงยินดีหัวเราะร่า จางเฉิงข้างๆ ก็ยิ้มหัวเราะดีใจไปด้วย จากรายงานแต่ละแห่งที่ส่งมา การรายงานเกินจริงนั้นเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว คนในราชสำนักทั้งฝ่ายในและฝ่ายนอกก็พอจะดูความสามารถที่แท้จริงออกกันอยู่

ได้ยินวาจาจางเฉิง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงหัวเราะดังตรัสขึ้น

“ชัยชนะใหญ่เช่นนี้ ต้องนำเชลยไปบูชายังศาลบรรพชน เกียรติยศยิ่งใหญ่อย่างมาก เสด็จแม่เองก็ตรัสชม ครั้งนี้ชีจี้กวงและหลี่หรูซงคงได้ตำแหน่งบรรดาศักดิ์กัน แต่หลี่หรูซงหากได้บรรดาศักดิ์ก็จะเท่ากับบิดาของเขา ควรจะระวังคำติฉินกันไว้บ้างนะ!”

จางเฉิงรีบเห็นด้วยทันที บรรยากาศในหอเลิศรสไม่เลว ถนนทักษิณทั้งเส้นเงียบสงบมาก ไกลออกไปได้ยินเสียงประทัดจุดยินดี นี่เป็นวันที่ 2 เดือนหนึ่งในปีที่ 9 แห่งรัชสมัยว่านลี่

ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งตรัสอย่างอารมณ์ดี หวังทงยืนก้มศีรษะอยู่ข้างๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบก็หันพระพักตร์ไปยังด้านหน้าตรัสว่า

“ตั้งแต่แม่ทัพถึงพลทหารเมืองเซวียนฝู่และจี้โจวล้วนได้บำเหน็จรางวัล แม่ทัพชีและหลี่ก็ได้ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ เช่นนั้นก็ย่อมเป็นเจ้าที่เสียเปรียบผู้เดียว เจ้าก็รู้ว่า ในวังนอกวังล้วนไม่เสนอความเห็น วาจาเราพวกเขาเองก็ไม่ได้ฟังทั้งหมด”

หวังทงรู้ดี ตอนเริ่มต้น ฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงมีเจตนากล่าววาจาผ่อนคลายกันก่อน ก็เพื่อนำมาสู่ประเด็นนี้

พอผ่านกองกำลังมี่อวิ๋นมา มาถึงอำเภอมี่อวิ๋น ก็มีทหารนำสารมาจากเมืองหลวงว่าฮ่องเต้มีพระบัญชาให้หวังทงเข้าเมืองหลวง หวังทงจึงผละจากทัพใหญ่ นำกำลังทหารม้าส่วนหนึ่งมาเมืองหลวงก่อน

หวังทงอยู่เทียนจิน ในวังนอกวังล้วนมีข้อกำหนดห้ามที่ไม่ได้กล่าวกันเปิดเผยอันหนึ่งว่า ไม่อนุญาตให้หวังทงเข้าเมืองหลวง แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่เจริญพระชันษาแล้ว และค่อยๆ มีพระราชอำนาจของพระองค์บ้างแล้ว ไม่อาจขัดขวางได้ออกหน้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นหวังทงเข้าเฝ้าในเมืองหลวงเรื่องนี้ ก็ได้แต่มาในเส้นทางที่ไม่เป็นทางการ ไม่อาจเรียกเข้าเฝ้าในวังได้ ทุกคนก็ได้แต่แกล้งปิดตาข้างหนึ่ง ลืมตาข้างหนึ่งแล้ว

“ฝ่าบาททรงนึกถึงกระหม่อม ปกป้องกระหม่อม ก็นับว่าเป็นพระเมตตายิ่งแล้ว กระหม่อมรู้สึกขอบพระทัยยิ่งแล้ว ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสออกมาด้วยความรู้สึกผิด หวังทงกลับไม่อาจมีอันใดไม่พอใจ ที่ทำได้ก็แค่ขอบพระทัย เห็นหวังทงรู้จักรุกรู้จักถอยเช่นนี้ สีพระพักตร์ที่เต็มด้วยรอยแย้มสรวลก็ทวีมากยิ่งขึ้น ตรัสต่อว่า

“เลื่อนเป็นรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรอย่างไรก็ต้องได้”

หวังทงตอนนี้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร เลื่อนเป็นรองก็เท่ากับเลื่อนหนึ่งขั้น หวังทงอย่างไรก็ต้องขอบพระทัยในพระเมตตา ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ ก่อนจะสบตากับจางเฉิง ตรัสถามขึ้นว่า

“หวังทง ข้าถามเจ้าเรื่องหนึ่ง ข้าจะเลื่อนพระสนมเจิ้งเป็นพระสนมเอก พวกขุนนางและราชบัณฑิตต่างหาว่าเราทำผิดธรรมเนียมจารีต เจ้าเห็นเช่นไร?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version