ตอนที่ 520 ถามตอบหน้าพระพักตร์ สังหารปิดปาก
หากประชาชนธรรมดาต้องการยกภรรยาน้อยให้เป็นภรรยาออกหน้า ก็เป็นแค่เรื่องให้กล่าวขวัญกันไปทั่วตรอกซอกซอยเท่านั้น ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะยกพระสนมชั้นซูผินให้ก้าวข้ามขั้นขึ้นไปเป็นพระสนมเอกชั้นกุ้ยเฟย กลับเป็นคลื่นใหญ่กระเพื่อมไปทั่วราชสำนัก
ฮ่องเต้ว่านลี่สองปีก่อนเพิ่งอภิเษก ปีก่อนเพิ่งได้รับฎีกาจากจางจวีเจิ้งให้รับพระสนม พระสนมในวังหลังยังไม่อาจสร้างอิทธิพลใด และยังไม่มีเวลาพอเช่นนั้น แต่สนมเจิ้งกลับเฉลียวฉลาดและรู้งาน ขันทีใหญ่ในวังจึงค่อนข้างรู้สึกดีด้วย ดังนั้นในวังฝ่ายในจึงไม่มีกระแสค้านใด แต่ราชสำนักฝ่ายนอกนั้นแตกต่างกัน
บุตรสาวตระกูลใดในวังหลังได้เลื่อนตำแหน่ง ตระกูลที่อยู่ข้างนอกวังก็ย่อมมีสถานะดังเรือลอยสูงตามน้ำ ขุนนางที่ไปมาหาสู่กับตระกูลนั้นก็พลอยลอยขึ้นตามน้ำไปด้วย เรื่องนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในขั้วอำนาจได้ คนที่ได้ประโยชน์ข้างนอกวังนั้นยังพูดง่าย แต่พวกที่เสียประโยชน์ก็ย่อมไม่ยอมอ่อนข้อ ย่อมทำให้เกิดกระแสโจมตี
แน่นอนว่ายังมีพวกบัณฑิตชิงหลิวที่สอบจอหงวนมา หรือพวกที่เอาแต่อ่านตำราจนสมองเลอะเลือนก็คิดว่าโอรสสวรรค์ทำเช่นนี้นั้นไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม เลื่อนตำแหน่งไม่เป็นไปตามขั้นตอน โอรสสวรรค์เป็นต้นแบบของใต้หล้า โอรสสวรรค์ไม่อาจกระทำผิดพลาดได้แม้เพียงนิด การกระทำที่ผิดธรรมเนียมจารีตเช่นนี้ย่อมถูกคัดค้าน
สำหรับขุนนางใหญ่ในราชสำนักนั้น พวกเขาไม่อยากเห็นฮ่องเต้ว่านลี่ทำอันใดที่ผิดธรรมเนียมจารีตและประเพณี เรื่องเล็กก็เป็นเรื่องใหญ่ วันนี้แต่งตั้งพระสนมชั้นซูผินเป็นชั้นกุ้ยเฟย วันหน้าจะเป็นเช่นไร หากเรื่องนี้ให้พระองค์ทำสำเร็จ วันหน้าจะเห็นความสำคัญของคณะเสนาบดีใหญ่อีกหรือไม่?”
การปล่อยให้ทำตามพระทัยเช่นนี้ไม่อาจให้มีอยู่นานนัก การที่พวกเขานิ่งไม่แสดงการยอมรับ ในราชสำนักขุนนางน้อยใหญ่ย่อมออกมาคัดค้าน คิดว่าเป็นการทำลายธรรมเนียมจารีตที่มีมาแต่เดิม
หากกล่าวว่าในวังเป็นเรื่องปกติ ขุนนางนอกวังมายุ่งเกี่ยวด้วยเช่นนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งก็ย่อมพิโรธใหญ่เป็นแน่ แต่เรื่องเลื่อนชั้นพระสนมข้ามขั้นเช่นนี้ กลับไปกระทบต่อเรื่องบางเรื่องในอดีตของไทเฮาฉือเซิ่งอย่างไม่รู้ตัว ไทเฮาทรงเคยเป็นสนมชั้นผินและกุ้ยเฟยมาก่อน เรื่องพวกนี้ทรงรู้ดี นับประสาอันใดกับฮองเฮาที่ทรงเลือกเอง ดังนั้นไทเฮาจึงไม่ทรงแสดงท่าทีอันใดในเรื่องนี้
หวังทงขี่ม้าเร็วมาเมืองหลวง พอเข้าเมืองหลวงมา หลี่ว์วั่นไฉก็มารอรับด้วยตนเอง แต่ไม่มีเวลามาจัดเลี้ยงต้อนรับ ได้แต่เล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟังระหว่างทาง ให้หวังทงพอรู้คร่าวๆ ว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดในเมืองหลวงระยะนี้มาบ้าง
ไม่ว่าหวังทงหรือหลี่ว์วั่นไฉคิดไม่ถึงว่าหอเลิศรสทางใต้ของวังหลวงแห่งนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่จะตรัสถามเช่นนี้
โอรสสวรรค์ถามขุนนางเรื่องในครอบครัวส่วนพระองค์ ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวังหลัง เป็นเรื่องผิดธรรมเนียมจารีตอย่างมาก หวังทงคิดไม่ถึง ได้แต่ยืนอึ้งไป อดไม่ได้เหลือบตามองไปยังจำงเฉิงข้างๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ เห็นสีหน้าจางเฉิงเองก็เฝื่อนเต็มที ฮ่องเต้ว่านลี่กลับทรงยื่นพระวรกายเข้ามาใกล้ จ้องมองเขาไว้
หวังทงลังเลก่อนจะทูลตอบไปว่า
“ทูลฝ่าบาท ฝ่าบาทคิดจะให้ผู้ใดเป็นพระสนมเอก ก็เป็นเรื่องที่ทรงตัดสินได้เอง ฝ่าบาทตัดสินพระทัยได้ด้วยพระองค์เองเลยพะยะค่ะ เป็นขุนนางไม่มีสถานะใดจะกล่าวอันใดในเรื่องนี้ กระหม่อมเห็นเช่นนี้พะยะค่ะ!”
ได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงรู้ได้เองว่าหวังทงแกล้งทำเป็นเลอะเลือนไม่รับรู้ในเรื่องนี้ ทรงผิดหวังเล็กน้อยก่อนจะพิงเก้าอี้ที่ประทับ ไม่นานก็นึกได้ ตบพระหัตถ์ดังตรัสอย่างตื่นเต้นว่า
“เจ้าพูดถูก พระสนมเอกเจิ้งเป็นสตรีของเรา เป็นเรื่องครอบครัวเรา พวกเขามากกล่าววาจาแทรกอันใด หรือต้องให้เรากับสตรีเราทำอันใดก็ต้องรายงานด้วยกัน”
วาจานี้หวังทงไม่รับคำ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามนั้นไม่ได้ต้องการให้ตนออกความเห็น แต่ก็เพ่อให้คนใกล้ชิดออกความเห็นก็เพื่อให้ทรงมั่นใจในความคิดตนเท่านั้น
คิดถึงตรงนี้ ในใจหวังทงก็กระจ่างในบัดดล ฮ่องเต้ว่านลี่เติบโตแล้ว และนับวันก็ยิ่งมีความคิดเป็นของพระองค์เอง ดังนั้นท่าทีของตนกับฮ่องเต้ก็ควรปรับใหม่ ต้องลดความสนิทแบบมิตรสหายแบบเมื่อก่อนลง และให้ความเคารพในสถานะฮ่องเต้กับขุนนางเพิ่มขึ้นอีกหน่อย
ในสังคมการทำงานโลกก่อนนี้ หากเพื่อนร่วมงานระดับเท่ากันได้ขึ้นเป็นหัวหน้า แม้ว่าความสัมพันธ์ไม่เลว แต่ก็ควรจะรู้ธรรมเนียมและให้ความเคารพ ไม่อาจมองข้าม มิเช่นนั้นก็มักจะทำให้คนไม่พอใจเอาได้ง่ายๆ ในสังคมการทำงานกับในสังคมรับราชการก็เช่นกัน หวังทงเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี ย่อมระมัดระวังอย่างมาก
สำหรับคำตอบและท่าทีของหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่พอพระทัยมาก เป็นกำลังสนับสนุนส่วนพระองค์จริงๆ เรื่องใดก็ทำตามประสงค์ คิดเพื่อพระองค์ ไม่ใช่คิดถึงท่าทีไทเฮาอะไรพวกนั้น
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ ตรัสว่า
“เสี่ยวเลี่ยง ให้พวกหู่โถวเข้ามาได้!”
เจ้าจินเลี่ยงที่ยืนอยู่ที่ประตูหอเลิศรสได้ยินก็รีบคำนับรับพระบัญชา เลิกม่านออกตะโกนถ่ายทอดพระบัญชา หลี่หู่โถว ลี่เทาและซุนซิงสามคนในชุดเกราะเหล็ก หากอาวุธย่อมต้องมอบให้องครักษ์ด้านนอกไว้ พอเข้ามาก็ถวายคำนับหมอบลงกับพื้น โขกศีรษะก่อน
เห็นทั้งสามคน ฮ่องเต้ว่านลี่ก็อดไม่ได้ที่จะประทับยืนขึ้นจะก้าวเดินเข้าไปหาอย่างตื่นเต้น จางเฉิงด้านหลังกระแอมไอเบาๆ ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้พระสติประทับนั่งลง ตรัสว่า
“ขุนนางทุกท่านลุกขึ้นได้ เราไม่ได้พบกันนาน รีบลุกขึ้นๆ !!”
สามคนลุกขึ้น หลี่หู่โถวคิดจะอ้าปากพูด ถูกหวังทงหันมาส่งสายตาให้รู้ตัว จึงรีบก้มหน้าลงนอบน้อมต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ชี้พระหัตถ์ไปที่เขาสามคน แย้มสรวลตรัสว่า
“ตอนที่อยู่ลานฝึกนั้น ทำไมเราคิดไม่ถึงว่า หู่โถวกับลี่เทาและซุนซิงจะใช้การใหญ่ได้เร็วเพียงนี้ ออกสังหารศัตรูเพื่อแผ่นดินสร้างความชอบ เราควรจะพระราชทานรางวัลให้พวกเจ้า ให้ใต้หล้ารู้ว่าควรจะจงรักภักดีและตอบแทนคุณแผ่นดินเช่นนี้”
ตามธรรมเนียม ฮ่องเต้กล่าวเช่นนี้ หลี่หู่โถวและอีกสองคนก็ย่อมต้องคุกเข่าถวายคำนับขอบพระทัยในพระเมตตา พวกเขาทั้งสามกำลังจะคุกเช่า ฮ่องเต้ว่านลี่ก็โบกพระหัตถ์ แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องทำเช่นนั้น ก่อนจะตรัสอย่างจริงจังไร้รอยแย้มสรวลว่า
“พวกเจ้าก็รู้ หลายคนไม่อยากให้เราพระราชทานรางวัลแก่พวกเจ้า พวกเจ้าสร้างความชอบใหญ่ที่เซวียนฝู่ ครั้งนี้ก็ความชอบใหญ่อีก เมืองเซวียนฝู่และจี้โจวต่างได้รับพระราชทานรางวัลและตำแหน่งใหญ่กัน พวกเจ้าได้แค่เลื่อนกันหนึ่งขั้น ไม่ยุติธรรมกับพวกเจ้า เรารู้”
หวังทงรีบก้าวขึ้นหน้ามาถวายบังคมกราบทูลว่า
“ฝ่าบาท กองกำลังหู่เวยรบเพื่อฝ่าบาท ไม่ใช่เพื่อรางวัลหรือตำแหน่งใด!”
“เรารู้ เรารู้ มิเช่นนั้นชีจี้กวงย่อมไม่มาหาพวกเจ้า ไม่กล่าวถึงว่าพวกเจ้าสังหารมองโกลมากมายเช่นนี้บนทุ่งหญ้าเช่นนี้ เพียงแค่กล่าวถึงว่าพวกเจ้ารบโดยไม่ห่วงความเป็นความตาย เป็นการกระทำเพื่อส่วนรวม เป็นความชอบใหญ่ เฮ้อ เสียดายวาจาเรา มีแต่จางปั้นปั้นและพวกเจ้าเท่านั้นที่รับฟัง”
ที่ควรกล่าวก็กล่าวไปหมดแล้ว หวังทงไม่กล่าวอันใดต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงถอนหายใจไปตรัสไปจบก็เงียบลง ก่อนจะตรัสขึ้นว่า
“หวังทงเคยบอกเราว่า เรายังอายุน้อย ยังรอไหว พวกเจ้าก็อายุน้อยเหมือนเรา หู่โถวยังอายุน้อยกว่าเราหลายปี พวกเจ้ายังอายุน้อย พวกเจ้าก็ย่อมรอไหวเช่นกัน รางวัลจากการรบครั้งนี้ เมื่อก่อนหน้าหรือจากนี้ไปทั้งหมด เราจะจดจำไว้ในใจ ต้องมีวันที่ได้มอบคืนให้พวกเจ้าสักวัน!”
วาจานี้หนักหนานัก พวกหวังทงคุกเข่าลงพร้อมกัน ขอบพระทัยท่าทีจริงจังเป็นการเป็นงาน
**********
ตอนพวกหวังทงเข้าเฝ้าที่เมืองหลวง ทหารจี้โจวที่คุมตัวน่ำจี๋เท่อมาเมืองหลวงก็มาถึงอำเภอซุ่นอี้ มีชัยชนะใหญ่กลับมา ยังเป็นเวลาแห่งปีใหม่ กองทหารที่คุมตัวเชลยมาครานี้จึงเดินทางได้ไม่เร็วนัก
หลี่หรูซงนำกำลังกลับเมืองเซวียนฝู่ ตลอดเส้นทางก็จะกวาดล้างชนเผ่าเล็กๆ ชีจี้กวงก็นำกำลังกลับเมืองจี้ โจวเช่นกัน ตลอดทางก็ต้องกวาดล้างไปด้วยเช่นกัน ผ่านสงครามใหญ่ครานี้ไป ชายแดนจี้โจวไปทางเหนือ 200 ลี้ เกรงว่า 10 ปีจากนี้ก็คงไม่มีภัยคุกคามอันใดอีก
แม่ทัพใหญ่เผ่าอันต๋าตกเป็นเชลย ต้องถูกนำตัวไปบูชายัญที่ศาลบรรพชน พิธีการยิ่งใหญ่นี้ นอกจากโอรสสวรรค์และบรรดาขุนนางต้องมากันพร้อมหน้าแล้ว ชีจี้กวงและหลี่หรูซงก็ต้องมาร่วมงานด้วย นับเวลาเดินทางเก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้ว อย่างเร็วก็ต้องเดือนสองถึงเดือนสามแล้ว
ทว่าเวลาไม่ต้องรีบนัก นายกองพันทหารที่คุมตัวเชลยจึงเดินทางไม่เร็วนัก ชัยชนะใหญ่ระดับนี้ พื้นที่ตอนเหนือแต่ละอำเภอก็ย่อมดีใจตามไปด้วย การต้อนรับของบรรดาขุนนางในท้องที่ก็ย่อมตั้งใจอย่างมาก มีทั้งสุราและอาหาร ต้นเดือนหนึ่งเช่นนี้ ทุกคนล้วนยังอยู่ห้วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง
คนแบ่งออกเป็นหลายชนชั้น เชลยก็เช่นกัน น่าจี๋เท่อถูกจับเป็นเชลยแม้ว่าถูกขังคุก แต่ในคุกนั้นก็ใช้พรมปิดทับไว้ ต้องนำตัวออกมาได้สะดวก และอาหารสามมื้อก็ต้องดีเท่ากับบรรดาทหารหมิง อย่างไรโอรสสวรรค์ต้องได้เห็นหน้า ไม่อาจทำกันเกินไปได้
หยุดพักนอกอำเภอซุ่นอี้ บรรดาขุนนางท้องที่และคนมีฐานะในพื้นที่ก็ย่อมส่งสุราอาหารเนื้อสัตว์ชั้นดีมาเลี้ยงอย่างเอิกเกริก ตกค่ำยังต้องขอให้นายทหารใหญ่เล่าเรื่องการรบแห่งชัยชนะครั้งนี้ ทหารที่เหลือก็มีอาหารที่ดีกินกันไม่น้อย มีความสุขอย่างมาก
สำหรับน่าจี๋เท่อในกรงขังนั้น ก็ไม่มีผู้ใดจะสนใจ รอบกรงขังนั้นมีพลทหารเฝ้าคุมอยู่สองสามนาย เพื่อนทหารด้วยกันไปกินอาหารมีความสุขกันอยู่อีกทาง ตนเองได้แต่มานั่งกินแต่ลมหนาวเฝ้าอยู่อย่างนี้ ก็ล้วนไม่พอใจสักเท่าไร
ฟ้ายิ่งมืดก็ยิ่งแทบทานทนไม่ไหว อาหารเย็นแล้ว มีพ่อครัวเอาอาหารมาให้ มีทั้งให้พลทหารที่เฝ้าและให้น่าจี๋เท่อ ที่ให้ทหารกินนั้นเป็นหมั่นโถวที่ร้อนกรุ่น เนื้อตุ๋นอย่างดี แต่ที่ให้น่าจี๋เท่อกินนั้นกลับเป็นเพียงแผ่นแป้งเย็นๆ ที่ทั้งแห้งและแข็งกระด้าง
แม้จะกล่าวว่าทหารและเชลยได้รับการปฏิบัติไม่เหมือนกัน แต่ผู้ใดจะสนใจเรื่องเล็กน้อยนี่กัน บรรดาทหารเมืองจี้โจวล้วนสังหารพวกมองโกลมานานปี ย่อมไม่รู้สึกเมตตาอันใดกับพวกมองโกล เอาแผ่นแป้งเย็นให้น่าจี๋เท่อ ตนเองล้อมวงกันกินอาหารอย่างดี
กินไปได้ราวครึ่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงร้องดังอย่างเจ็บปวดที่สุดของเชลยที่เป็นหัวหน้า ทุกคนจึงได้สติว่าไม่ได้การแล้ว เปิดพรมออกดู ก่อนจะหากุญแจมาไขกรงขังออก น่าจี๋เท่อตายอยู่ในนั้นแล้ว
นี่เป็นเชลยที่ต้องคุมตัวไปเมืองหลวง มาตายที่อำเภอซุ่นอี้นี่นับเป็นหายนะใหญ่ นายอำเภอและหน่วยงานต่างๆ ต่างก็ส่งคนมาพิสูจน์หาร่องรอย สาเหตุการตายก็หาออกมาได้อย่างรวดเร็ว น่าจี๋เท่อกินแผ่นแป้งที่มีสารหนู ถูกพิษตาย
และพบว่าไม่มีผู้ใดนำอาหารมาส่งให้ทหารเฝ้ากรงขัง ผู้ใดวางยาพิษเชลยกัน เชลยผู้นี้ตอนนี้ไม่มีค่าอันใดแล้ว สังหารเขาเพื่อการใดกัน
แต่อำเภอซุ่นอี้และทหารจี้โจวที่คุมตัวเชลยไปไม่อยากแบกรับความผิดนี้ รู้เรื่องนี้ก็ล้วนกลายเป็นผู้เกี่ยวข้อง จึงได้ปิดบังไว้ไม่รายงาน กล่าวเพียงว่าเชลยอยู่ๆ เกิดป่วยเป็นโรคกะทันหันตายระหว่างทาง หัวของคนที่ป่วยเป็นโรคกะทันหันตายย่อมไม่ถูกส่งไปเมืองหลวง ที่ตายไปยังเป็นแค่เชลยชาวมองโกล ไม่มีผู้ใดจะสนใจมากนัก
*************
“แน่ใจว่าตายแล้วหรือ?”
“นายท่านรองวางใจได้ ข้าน้อยส่งของเข้าไป และยังได้รับสารรับรองจากที่ทำการอำเภอซุ่นอี้จึงกลับมา!”
“……เจ้าไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงต่อแล้ว รีบม้าเร็วไปเฝินโจว ให้ตระกูลอวี๋ได้วางใจ……”