Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 522

ตอนที่ 522 ไม่น้อยไม่แพง งานยุ่งหลังชัยชนะ

“จ่ายเงินไป ก็ไม่ต้องรีบร้อนให้เขาเหล่านั้นทำงานให้เรา ขุนนางบัณฑิตเมืองหลวงพวกนี้รักหน้ำตามาก รับเงินเจ้าไป ก็นับว่าไว้หน้าเจ้า เจ้าต้องไว้น้ำใจเขาด้วย หากว่ารีบให้เขาทำงานให้เรา กล่าววาจาอันใดไป เกรงว่าคงจะผิดใจกันเจ้าในทันทีได้”

กล่าววาจากันไปสักครู่ หวังทงก็ให้สวีกว่างกั๋วลุกขึ้นยืน กล่าวสนทนาวาจานุ่มนวลแกมรอยยิ้ม ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ สวีกว่างกั๋วก็ก้มตัวลงยิ้มกล่าวว่า

“นายท่านมองการณ์ไกล ขุนนางที่มาจากการสอบบัณฑิตจิ้นซื่อพวกนี้เทียบกับระดับจวี่เหรินอย่างพวกข้าน้อยแล้ว วางทางสูงส่งยิ่งนัก ข้าน้อยไปเมืองหลวงหาลู่ทาง ก็ต้องอาศัยความสัมพันธ์เมื่อเก่าก่อน เชิญทุกคนไปดื่มสุราหาความสำราญที่หอคณิกาบ้างสักครา เราสองฝ่ายจะได้พอรู้จักกัน วันหน้าปีใหม่เทศกาลใดก็จะได้ส่งของขวัญได้ ข้าน้อยกล่าวมากความสักหน่อย การซื้อที่พักและคนรับใช้สาวใช้ไว้ ก็ล้วนเพื่อไม่ให้สถานะดูต่ำต้อย นายท่านมาจากเมืองหลวงก็น่าจะรู้ว่ หากไม่ร่ำรวย ก็ไม่อาจเข้าหาพวกคหบดีขุนนางใหญ่ ข้าน้อยทำเช่นนี้ที่เมืองหลวง ก็เกรงเหมือนกันว่าคนอื่นจะติฉิน ได้ยินวาจานายท่นแล้ว ข้าน้อยก็วางใจ!”

หวังทงหรี่ตามองเขา ก่อนจะยิ้มกล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า

“หากจะให้ม้าวิ่งให้ ก็ย่อมต้องให้หญ้ากิน ข้าเองไม่ขาดแคลน ขอเพียงไม่เสียงานหลัก อื่นๆ ไม่เกินเลยนัก ข้าเองก็ไม่ยุ่ง”

สวีกว่างกั๋วเพื่อเงินทองกล้าตั้งด่านที่คลองส่งน้ำ คนใจกล้าเช่นนี้ ไปหาช่องทางที่เมืองหลวง จะระวังตัวให้สะอาดสะอ้านปกป้องชื่อเสียงตนเองได้อย่างไร มือไม่ไม้สะอาดก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

ถูกหวังทงกล่าวตรงประเด็น สวีกว่างกั๋วเดิมท่าทีสบายๆ พอได้ยินก็นิ่งค้าง หวังทงไม่ได้กล่าวต่อ กลับยิ้มถามว่า

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าปีใหม่มอบของขวัญ?”

สวีกว่างกั๋วรีบพยักหน้า หวังทงเอ่ยถามต่ออีกว่า

“ข้าเป็นขุนนางบู๊ ไม่รู้ว่าขุนนางบุ๋นที่มาจากตำแหน่งจิ้นซื่อเป็นอย่างไรหรือ? เขียนกลอนลายมือดีกว่าหรือ?”

“เรียนนายท่าน แผ่นดินหมิงเราให้ความสำคัญกับขุนนางบุ๋นที่มาจากตำแหน่งจิ้นซื่อ ขอเพียงสอบได้ตำแหน่งจิ้นซื่อ ก็ถึงจะควรค่าแก่การเรียกว่าขุนนางได้ ระดับนี้บทความล้วนเขียนได้ดี ยังเขียนอักษรได้งาม มิเช่นนั้นจะสามารถสอบผ่านการสอบแต่ละครั้งมาได้อย่างไร สามารถเข้าตาขุนนางคุมสอบแต่ละชั้นมาได้อย่างไร จะเป็นดังปลาแหวกว่ายผ่านประตูมังกรได้อย่างไร”

หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า

“ส่งของขวัญมากมายตามเทศกาล แม้ว่าได้ผล แต่อย่างไรก็ไม่อาจบ่อยครั้งนัก ความสัมพันธ์อย่างไรก็ต้องอาศัยการรักษาการไปมาหาสู่บ่อย เจ้าหากต้องการไปมาหาสู่กับขุนนางบุ๋นระดับนี้ มีบทกวีดี มีอักษรงาม มิสู้เจ้าไปขอความรู้เรื่องบทกวีและอักษรบ่อยๆ พอเรียนเป็น ก็ส่งมอบของขวัญขอบคุณ เช่นนี้การไปมาหาสู่ก็มาพอแล้วไม่ใช่หรือ?!”

สวีกว่างกั๋วได้ยินก็อึ้งไป สองมือตบดังก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า

“นายท่านกล่าวได้ถูกต้อง นี่เป็นการคำนึงถึงเกียรติยศหน้ำตาพวกเขาและยังให้ประโยชน์พวกเขา กล่าวออกไปก็ล้วนเป็นเรื่องงดงาม วิธีนายท่านช่างฉลาดล้ำ ฉลาดล้ำจริงๆ !”

หวังทงยกมือขึ้นตบหน้าผาก ราวกับว่ารำลึกถึงเรื่องใดขึ้นได้ กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“ครอบครัวคนเหล่านี้ปกติเราก็ต้องไปมาหาสู่ให้มาก พวกเขาไม่แน่ว่ารักหน้ำตาวางตัวสูงส่งนัก ใช้เงินกับพวกเขาบ่อยๆ ก็มีประโยชน์ใหญ่อยู่ อีกเรื่อง เจ้าเองก็สามารถเปิดร้านได้ ขอให้บรรดาครอบครัวและญาติของขุนนางพวกนี้มาทำงาน มาไม่มาไม่เป็นไร ขอเพียงแต่จ่ายเงินเดือนให้ไป!”

ในห้องเงียบกริบ ความคิดหวังทงถูกขัดจังหวะ มองไปอย่างแปลกใจ เห็นสีหน้าสวีกว่างกั๋วที่เต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อมมาแต่ต้น ยามนี้ตกใจอย่างมาก เหมือนว่าเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น

หวังทงยากจนแต่เล็ก บิดาหวังลี่ก็แค่นายกองธงเล็กสำนักองครักษ์เสื้อแพร ไหนเลยจะพบเห็นวงการชนชั้นสูง พอ 12 ก็สูญเสียบิดา ได้พบกับฮ่องเต้ว่านลี่ ค่อยๆ ขยายปีกอำนาจขึ้น วิธีการคิดและวางแผนในยามนั้น ในสายตาคนนอกแล้ว ก็แค่วิธีการเล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น ล้วนเป็นเรื่องเด็กเล่น ก็แค่ทำให้ฮ่องเต้พอพระทัยเท่านั้น

พอจากมาเทียนจิน ก็มาจัดการวางแผนงานที่นี่ คนทั่วไปก็ล้วนดูแคลน แอบนินทากันว่าหวังทงทำเพื่อการค้า ขอเพียงยอมหน้าทนตั้งด่านภาษีได้ ไม่ว่าผู้ใดก็จะสามารถหาเงินทองได้มากเช่นนี้เช่นกัน

สวีกว่างกั๋วก่อนมาก็เคยได้ยินเรื่องราวหวังทง ตัดสินใจว่าจะขอมาฝากตัว ก็สอบถามข่าวมาก่อนแล้ว พอมาถึงที่นี่ได้เห็นเทียนจินเช่นนี้ จึงได้รู้ว่าหวังทงมีความสามารถเช่นไร ไม่ว่าฝึกทหารหรือทำการค้าก็ล้วนเก่งกาจเหนือคน เรื่องนี้ยังดี หวังทงอย่างไรก็มีครูฝึกจากลานฝึกหู่เวยสอนสั่ง ข้างกายก็มีขุนพลมากประสบการณ์ชี้แนะ การค้านี้ก็สามารถเรียนรู้จากพ่อค้าที่เป็นลูกน้องได้

แต่วันนี้สวีกว่างกั๋วจึงได้รู้ว่า ไม่ว่าเรื่องการไปมาหาสู่ในวงการขุนนาง การหาช่องทางพรรคพวกกัน หรือวิธีการเล็กๆ น้อยๆ นั้น หวังทงกลับเชี่ยวชาญเช่นนี้ บางวิธีการแม้แต่ตนเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน

เห็นหวังทงมองมา สวีกว่างกั๋วที่สีหน้าอึ้งตะลึงก็นิ่งไปนานก่อนจะกล่าวขึ้นว่า

“วิธีการนายท่าน หากไปใช้ชีวิตเมืองหลวงทำงานหลายสิบปี จะคิดออกมาได้อย่างไร ช่างแยบยล วิธีการระดับนี้ หากแม้นเป็นหินผาก็ยังปริแยก……”

น้ำเสียงดูสลดลงเล็กน้อย สวีกว่างกั๋วถูกปลด มาถึงเทียนจินขอพึ่งพาหวังทง เพราะเห็นว่าหวังทงขาดแคลนคนเช่นนี้ ที่นี่พอดีต้องการเขามาเสริม แต่ตอนนี้เห็นหวังทงเชี่ยวชาญกว่าเขาเช่นนี้ ยังต้องการตนไปเพื่ออันใด ชั่วขณะหนึ่งก็รู้สึกไร้ค่า

หวังทงเห็นสีหน้าของสวีกว่างกั๋วก็ยิ้มกล่าวว่า

“ความคิดข้าเป็นคนคิด หรือว่ายังต้องให้ข้าไปตีหน้ายิ้มวิ่งเข้าหาเองที่เมืองหลวง อย่างไรก็ต้องให้เจ้าไปทำ จะมาหน้ำตาหมดแรงคอตกนี้ทำไมกัน หากให้ข้าไปทำ จะเข้าไปจวนขุนนางใหญ่ได้อย่างไรก็ยังไม่รู้ พวกเจ้าคนเรียนหนังสือ ก็เอาแต่คิดเหลวไหล ทำงานให้ดี ย่อมมีเงินทองและอนาคต คิดมากไปทำไมกัน!”

เขากล่าวอย่างสบายๆ สวีกว่างกั๋วถอยหลังไปสองก้าว ก่อนเข้ามาในห้องสีหน้ามั่นใจเช่นนั้นจางหายไป หากเป็นสีหน้าเคารพนอบน้อมเข้ามาแทนที่ ครั้งนี้ไม่ใช่โขกศีรษะ แต่คำนับอย่างนอบน้อมที่สุด กล่าวว่า

“ข้าน้อยขอให้ใต้เท้ามอบให้ข้าน้อย 8,000 ตำลึง ข้าน้อยกลับไปเมืองหลวงครานี้จะเปิดร้านหนังสือและภาพวาด ทำตามที่นายท่านแนะนำ”

หวังทงพยักหน้า สวีกว่างกั๋วเป็นที่เขาขาดจริงๆ แต่คนเช่นนี้อยู่วงการขุนนางมานาน มีนิสัยที่ไม่ดีติดมามากมาย ไม่อาจให้เขาคิดว่าตนเองเป็นคนที่ขาดไม่ได้ ไม่มีเขาก็ยังทำงานได้ เปิดสมองให้กระจ่างสักหน่อย คนเช่นนี้จึงจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่

**********

คนที่ทำงานให้หวังทงในจวนทุกคนล้วนไม่เข้าใจการที่หวังทงหารือกับสวีกว่างกั๋วมาทั้งวัน ในสายตาทุกคนแล้ว สิ่งที่สวีกว่างกั๋วทำนั้นก้แค่ไปใช้เงินทองหาความสำราญในเมืองหลวง ไม่อาจเรียกได้ว่าทำงานด้วยซ้ำไป อย่างมากก็แค่ใช้จ่ายสิ้นเปลืองก็เท่านั้น เหตุใดใต้เท้าให้ความสำคัญเพียงนี้

ใบเสร็จที่สวีกว่างกั๋วนำมานั้น บัณฑิตในเมืองหลวง ขุนนางใหญ่ ผู้ใดก็มอบของขวัญให้ได้ ผู้ใดก็ต้องการเงินทอง ผู้ใดเข้าทางลูกน้องคนสนิท ก็ล้วนรายงานมาละเอียดหมด หลังจากหวังทงเห็นชอบก็ดำเนินการได้

***********

แม้ยังอยู่ในช่วงเดือนหนึ่ง สวีกว่างกั๋วกลับมิได้อยู่เทียนจินต่อนานนัก หารือกับหวังทงเสร็จ ก็รับเงินจากซุนต้าไห่กลับเมืองหลวงไปทันที

ในเมื่อหวังทงพยักหน้าเห็นด้วย คนอื่นๆ ก็ไม่อาจกล่าววาจาอันใดได้

แต่ท่า หวังทงก็ไม่ได้ว่างนัก กองกำลังหู่เวยสองหน่วยกลับถึงเทียนจิน เงินชดเชยพวกบาดเจ็บล้มตายก็ต้องจ่ายไปก่อน จากนั้นก็เริ่มเตรียมการเรียกกำลังมาเพิ่ม เรื่องนี้ต้องให้หวังทงจัดการด้วยตนเอง

สวีกว่างกั๋วจากไปได้สามวัน หัวหน้าสำนักปืนไฟหลวงเหรินย่วนกับเฉียวต้าก็มาขอพบหวังทง คนกันเองทั้งนั้นย่อมไม่ต้องพิธีรีตอง กินอาหารเช้าเสร็จก็มาหาถึงที่

“นายท่านออกไปดูที่ลานด้านหน้า สีและเนื้อผ้าธงนี้ ต้องดูใต้แสงอาทิตย์จึงเห็นชัดหน่อย!”

ทุกคนออกมานอกลาน เฉียวต้าแกะห่อผ้าที่แบกมา คว้าเอาธงที่สูงเท่าคนออกมาผืนหนึ่ง สองมือประคองส่งให้กล่าวว่า

“นายท่านเชิญดู สินค้าจากร้านผ้าเว่ยฮุย!”

ธงสีแดงสด ตรงกลางมีรูปพยัคฆ์สีดำ รูปพยัคฆ์โบราณธรรมดา ไม่มีลายละเอียดอันใด เห็นแล้วเหมือนลวดลายโบราณ สีแดงสดตัดกับรูปพยัคฆ์สีดำ ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายสังหาร

หวังทงพยักหน้า กล่าวว่า

“ทำได้ไม่เลว ธงนี้ใช้เป็นธงประจำกองกำลังหู่เวยเรา ชุดทหารเราก็ใช้แบบนี้เป็นพื้น”

“ในเมื่อในท่านเห็นชอบ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาทางนั้นทำไปได้เลย”

เฉียวต้สยกธงไปพลางพูดไป หวังทงพยักหน้า กล่าวต่อว่า

“ทำตามแบบนี้ออกมาดูก่อนมากหน่อย ค่าแรงทุกอย่างคุยกันได้ หากว่าทำได้ดี วันหน้าชุดทหารเราก็จะให้พวกเขาเป็นคนตัด”

เฉียวต้ารีบรับคำ จากนั้นก็เก็บธง สามคนเดินกลับเข้าไปในห้องโถง หวังทงเอ่ยขึ้นว่า

“ทหารปืนใหญ่ต้องขยายกำลังอีกเท่า หรือมากกว่านั้น ชุดเกราะทหารก็ต้องเพิ่มอีกแปดส่วนขึ้นไป จากวันนี้ไป โรงช่างนอกจากทำปืนใหญ่และเรือแล้ว ที่เหลือให้มาทำปืนไฟและเกราะเหล็ก ทำปืนไฟเป็นหลัก พวกดาบและธนูก็ให้หัวหน้าเหรินไปให้สำนักปืนไฟหลวงทำ”

หวังทงกล่าวจบ สองคนก็ลุกขึ้นน้อมรับคำสั่ง หวังทงสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชากล่าวว่า

“การรบครั้งนี้ มีปืนไฟยิงไปสามที ดินปืนก็อุดเต็มไปหมด ต้องใช้ดาบแซะออก ทั้งหมดสี่กระบอก ไปตรวจดูว่าเป็นฝีมือช่างใด ให้ลงโทษตามกฏ!”

***************

“พวกเราหน่วยละ 1,600 คน พลปืนไฟ 200 ที่เหลือทวนยาวเป็นหลัก ครั้งนี้บนทุ่งหญ้าและในการรบกับพวกมองโกล ผู้ใดมีความในใจใดอย่างกล่าวบ้าง!?”

ตอนกลางวัน หวังทงก็ไปที่สนามฝึกที่ตอนเหนือของเมือง สองหน่วยที่เป็นระดับนายกองร้อยกำลังร่วมหารือ ปรึกษาถึงความสูญเสียและได้เปรียบในการรบนี้ ได้ยินหวังทงถาม หลี่หู่โถวก็รีบยืนขึ้นตามที่ทุกคนคาด กล่าวว่า

“ใต้เท้า ข้าน้อยคิดว่า การตั้งทัพใหญ่แม้ว่ามั่นคง แต่งุ่มง่าม 1,500 คนรวมเป็นทัพใหญ่ การจัดให้เป็นระเบียบก็ยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะแปรทัพรับศัตรู สี่ด้านรับศึกพร้อมกัน หากทหารศัตรูเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ทหารเราไม่อาจทำอันใดได้”

เขากล่าวจบ ลี่เทาก็ลุกขึ้นกล่าวตามว่า

“ใต้เท้า ข้าน้อยเคยไปสนามรบดูศพทหาร ตายด้วยปืนไฟและปืนใญ่ถึง 8-9 ส่วนจาก 10 ส่วน ตายใต้คมทวนเพียงแค่ 1-2 ส่วน ก็หมายความว่าในการรบ วิธีการสังหารศัตรูนั้นใช้อาวุธปืนเป็นหลัก ทวนยาวก็แค่ยืนให้มั่นไว้เท่านั้น”

“……หากจะเพิ่มพลปืนไฟ……”

คนหลายคนออกมาพูดมากขึ้นๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version