ตอนที่ 523 หารือปรับปรุงกองทัพ จดจำวีรชนตลอดไป
คนที่นั่งหารือกันอยู่ล้นเป็นทหารสนิทที่ผ่านสมรภูมิรบมา ทุกคนเห็นการรบของทหารม้า ทหารราบนอกจากป้องกันค่ายแน่นหนา ทหารม้าที่รบพุ่งชนกับศัตรูด้วยธนูแล้ว ก็ไม่ได้มีวิธีการใดในการสังหารศัตรูอีก ศัตรูที่ตายไป ส่วนใหญ่เป็ฯมองโกลที่ขี่ม้าชนกับทวนยาวเองเท่านั้น
ปืนไฟแม้ว่ามีเพียง 400 หากแต่ต้นจนจบก็สังหารศัตรูให้ล่าถอยไปได้เสมอ สังหารศัตรูไม่หยุด และนายทหารใหญ่หลายนายยังสังเกตเห็นว่า พลธนูหลายนายเข้าร่วมรบแต่ต้น พอเสร็จศึก แขนก็ล้วนไม่อาจยกขึ้นได้ นับไปก็ยิงไปได้แค่ 10-11 ดอกเท่านั้น ปืนไฟยิงไปได้ 15 รอบ สุดท้ายที่ยิงไม่ได้เพราะปืนร้อนไปและถูกจำกัดด้วยดินปืนที่นำมา
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง การที่ศัตรูโดนธนู หากไม่โดนเข้าจุดสำคัญ ยังรบต่อไป แต่หากถูกปืนไฟยิง ยิงตายไม่ต้องพูดถึง แม้ว่ายิงโดนแขนขา ไม่ใช่แฉลบผ่าน แปดเก้าส่วนย่อมพิการได้
เทียบจากหลายด้านแล้ว การเติมทหารพลปืนไฟมากขึ้นในกองทหารราบ นับเป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนเป็นพ้องต้องกัน
ถกกันไปหลายประโยค ทุกคนเริ่มคิดย้อนกลับไป เริ่มคำนวณ พลปืนไฟแท้จริงแล้วเท่าไรจึงจะพอดี จากนั้นมีคนเสนอขึ้นว่าครั้งนี้รบกับพวกมองโกลกลางทุ่งหญ้า ดังนั้นพลทวนยาวจึงถูกบีบจนไม่อาจขยับตัวได้ หากว่าสองค่ายรบกันขึ้นมา พลทวนยาวก็จะใช้การใหญ่ได้ แต่หลังจากหารือกัน ก็พบกว่าทหารราบสู้กับทหารราบ เพิ่มพลปืนไฟไปมากเท่าไรก็ยิ่งได้เปรียบเท่านั้น นี่จึงเป็นความเห็นที่ทุกคนเห็นชอบร่วมกัน
การหารือกันเป็นไปอย่างไม่มีรสชาตินัก พลปืนไฟจะรบอย่างไรล้วนชัดเจน ที่ต้องพูดกันก็แค่เรื่องว่าพลปืนไฟหรือพลทวนยาวต้องมีสัดส่วนเท่าไร จะจัดทัพอย่างไร
หน่วยหนึ่ง 1,600 คน แปดกองดังเดิม กองละ 200 นาย พลปืนในนั้นเพิ่มเป็น 600 ก็คือสามกอง
เดิมเตรียมเป็นอย่างละสี่กอง แบ่งเป็นปืนไฟและอาวุธเย็นอย่างละครึ่ง แต่การทำปืนไฟกับการฝึกนั้นไม่อาจทำได้ในเวลารวดเร็ว ดังนั้นจึงกำหนดจำนวนได้อย่างรวดเร็ว
เบี้ยหวัดของพลปืนไฟก็สูงกว่าพลทวนยาว พลปืนไฟก็เลือกจากพลทหารราบที่โดดเด่น เรื่องที่ทุกคนไม่มีความคิดเห็นอื่นใด การรบนอกด่านบนทุ่งหญ้าที่ผ่านมา พลปืนใหญ่แม้ว่าไม่ต้องรบเสียเลือดเสียเนื้อกับศัตรู แต่พวกเขาก็เป็นพวกที่ศัตรูเข้าถึงตัวได้ก่อนและไม่ได้มีอันใดป้องกัน ยิงจบก็ต้องมีความเสี่ยงศัตรูไล่ตามสังหารก่อนจะวิ่งกลับเข้าค่าย บรรจุกระสุนวิ่งกลับออกไปรบใหม่ พวกเขาสังหารศัตรูมากที่สุด การป้องกันอย่างไรก็ต้องอาศัยพลปืนไฟ ทหารพวกนี้มีความกล้าหาญมาก ต้องใช้การฝึกซ้อมให้ชำนาญอย่างมาก
การปรับเปลี่ยนกองทหารราบจัดการเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่หัวหน้ากองพลทหารม้าหม่าซานเปียวออกความเห็นตนเองบ้าง
“ใต้เท้า ทุกท่าน ทหารม้าเราเข้าสู้กับศัตรูบนทุ่งหญ้า ตัวต่อตัวนั้นไม่อาจสู้พวกมองโกลได้ แต่หากรบกันเป็นกอง พวกเราไม่เสียเปรียบ ทหารม้าเราสวมเกราะเหล็ก ม้าก็มีพรมป้องกัน รวมกำลังกันเข้าจู่โจม พวกมองโกลย่อมโดนจู่โจมแตกพ่าย ในตอนนั้นพวกจี้โจวและเซวียนฝู่ยังมาไม่ถึง พวกศัตรูยังไม่อลหม่านกันเลย!”
เห็นทุกคนฟังอย่างตั้งใจ หม่าซานเปียวกล่าวต่อว่า
“ทหารม้ากองกำลังหู่เวยเดิมเริ่มต้านทานไม่ไหว นอกจากพวกที่ขี่ม้าชำนาญหลายสิบคนพวกนั้น ที่เหลือก็เพิ่งฝึกขึ้นมา เทียบกับพวกทัพทหารม้าที่รบบนหลังม้ามาหลายยุคหลายสมัยไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกมองโกลนั้นอยู่บนหลังม้ามาแต่เกิด แต่พวกเรามีข้อได้เปรียบได้พวกเขาไม่มีเกราะเหล็ก และไม่มีเงินมากเช่นเรา ข้าน้อยคิดว่า พวกเราก็เติมกำลังที่พลทหารม้าชุดเกราะเหล็ก ทหารสวมเกราะ ม้าสวมแผ่นหนังป้องกัน ก็ไม่กลัวธนูพวกมันแล้ว การบุกขึ้นหน้าก็ย่อมทะลวงไปได้!”
“ฝึกขึ้นมา 200 ก่อน!”
ความเห็นนี้หวังทงรับตอบรับทันที ที่หม่าซานเปียวกล่าวมานั้นล้วนเป็นการเห็นความสำคัญกับทหารม้าอย่างมาก อย่างไรก็มีประโยชน์ ควรต้องลองนำมาใช้ดู
“ข้าจำได้ว่าตอนที่อยู่ลานฝึกเคยกล่าวว่า เหมือนกับตอนนั้นที่ราชวงศ์ซ่งรบกับพวกเผ่าจิน นึกถึงค่ายศึกม้าสยายปีกของขุนพลหวังเหยียนจงปี้แห่งราชวงศ์หยวน”
ซุนซิงกล่าวขึ้นน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทุกคนล้วนพยักหน้า มู่เอินข้างๆ ที่ยืนนิ่งมาแต่ต้น เห็นทุกคนคิดอยู่ เขาก็กล่าวขึ้นเสียงดังว่า
“ใต้เท้า ข้าน้อยมีเรื่องจะรายงาน!”
เทียบกับคนอื่นในห้องแล้ว มู่เอินไม่มีประสบการณ์เท่าไร ตอนนี้ก็แค่ระดับนายกองร้อย อย่างไรก็ต้องนอบน้อม หวังทงพยักหน้า มู่เอินจึงได้กล่าวต่อว่า
“ใต้เท้า ครั้งนี้ออกรบ ปืนใหญ่อานุภาพมาก แต่บรรจุดินปืนกระสุนช้า สังหารมองโกลได้ไม่มากพอ หากบรรจุได้หลายรอบ คิดว่าอานุภาพสังหารย่อมมาก ข้าน้อยคิดว่า จะขอให้โรงช่างทำปืนใหญ่ขนาดสั้นไว้บรรจุพวกกระสุนเศษเหล็ก แม้ว่ารอพวกศัตรูเข้าใกล้ค่อยยิง ไม่สะดวกนัก แต่อานุภาพก็เท่ากับปืนไฟยิงพร้อมกัน
หวังทงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“กล่าวได้ไม่เลว พวกเรานอกค่ายรถศึกมีปืนเสือหมอบ บรรจุกระสุนยิง ก็เช่นกับหลักการนี้ ถานเจียง เจ้ากับถานหั่วไปที่โรงช่างกับมู่เอิน ไปบอกกล่าวความต้องการนี้ ให้โรงช่างทำขึ้นมา นี่น่าจะไม่ยาก”
ถานเจียงที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบพยักหน้ารับคำสั่ง พูดถึงปืนใหญ่ หวังทงกล่าวอีกว่า
“นายกองธงใหญ่ของกองปืนใหญ่วันนั้นปกติก็ดูซื่อๆ เข้ากับใครได้หมด นิสัยดี ดูไม่ออกว่าที่แท้เป็นพวกกล้าดีเดือดเช่นนั้น!”
ในสนามรบ นายกองธงใหญ่พลปืนใหญ่จางอู่ตาแดงก่ำ กล้าวิ่งไปด้านหน้าพวกมองโกลที่บุกมาถึงด้านหน้ายิงปืนใหญ่ ปืนนั้นยิงไปหลายกระบอกไม่เพียงแต่อานุภาพสังหารรุนแรง แต่ยังช่วยทำให้สถานการณ์เราดีขึ้นมาก
ถานหั่วยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าไม่รู้ จางอู่ผู้นี้ปกติดูซื่อๆ เข้ากับคนง่าย แต่พอได้กลิ่นดินปืน ก็จะตาแดงก่ำราวกับบ้าคลั่ง เป็นมือดีบนสนามรบคนหนึ่งเช่นกัน!”
หวังทงพยักหน้า กล่าวว่า
“คนผู้นี้ก็มีความชอบใหญ่ ยังมีความกล้าเช่นนี้ หน่วยรบปืนใหญ่สั้นกระสุนเศษเหล็กก็ยกให้เขาไปจัดการก็แล้วกัน!!”
ถานหั่วกับมู่เอินก้มกายรับคำสั่ง หวังทงเดินไปมาในห้อง มาหยุดหน้าโต๊ะกล่าวว่า
“นายกองไช่ การคัดเลือกทหารใหม่ครานี้ แบ่งเป็นสองชุด ชุดหนึ่งเลือกจากหน่วยรักษาความปลอดภัย อีกชุดก็ให้เป็นลูกหลานโรงช่างเทียนจินและคนงานเรา พวกมีฝีมือย่อมไม่เอามา แต่พวกที่ได้แต่ช่วยงาน ยังเรียนรู้อันใดไม่ได้ ก็ให้เรียกตัวมาเป็นทหารให้หมด!”
ไช่หนานลุกขึ้นรับคำสั่ง คนช่วยงานทั้งของทางการและของหวังทงเองมีไม่น้อย มีบางคนทำงานเรียนรู้งานช่าง และเรียนเป็นส่วนหนึ่ง กลายเป็นช่าง แต่ก็มีคนขายแรงงานหาเงินเลี้ยงปากท้องอยู่เช่นกัน
ส่วนแรกต้องเหลือให้โรงช่าง ส่วนหลังก็ให้พร้อมเติมเต็มตลอด พวกที่มีอาชีพทำไร่ทำนามาก่อน แนวคิดทำงานเป็นกลุ่มหรือทำตามระเบียบล้วนน้อยมาก และเคยทำงานที่โรงช่างมาระยะหนึ่ง งานระดับเบื้องต้นที่โรงช่าง พวกคนมาฝึกงานและพวกช่วยงานก็มีจำกัด ล้วนมีความเข้าใจระเบียบวินัยและการทำงานเป็นกลุ่ม
คนงานพวกนี้นำเข้าไปเสริมกำลังทัพ ล้วนเป็นทหารชั้นดีที่สุด สามารถเป็นทหารที่ได้มาตรฐานเร็วกว่าพวกคนงานที่มาจากชาวไร่ชาวนา
สั่งการแต่ละเรื่องเสร็จ เรื่องแต่ละเรื่องถูกนำขึ้นมาหารือ ในห้องประชุมที่ลานฝึกทหาร ทุกคนหารือกันอย่างออกรสออกชาติ ไช่หนานข้างๆ ก็จดบันทึกอย่างรวดเร็ว ที่กล่าวกันวันนี้ก็ล้วนต้องรีบทำ
สุดท้าย หวังทงกวาดตามองบันทึกรอบหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ลำบากทุกท่านแล้ว ปีใหม่อีกแล้ว กองกำลังหู่เวยและกองกำลังที่เทียนจินเราก็ต้องฝากทุกท่านช่วยดูแลจัดการแล้ว!!”
ทุกคนลุกขึ้นพร้อมกับก้มกายคำนับพร้อมเพรียงกัน
“ขอปฏิบัติหน้าที่เพื่อใต้เท้า ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ ไม่ให้เกิดความล่าช้า!”
นี่ล้วนเป็นคำรับคำสั่งอย่างเป็นแบบแผนปฏิบัติ กล่าวจบ ก็ควรจะสลายตัวไปกินอาหารเย็นและพักผ่อน หวังทงกล่าวอย่างจริงจังว่า
“อีกสองวันจะรำลึกถึงวีรชนผู้เสียสละ อย่าลืม!”
ทุกคนสีหน้าจริงจัง
***********
“……วีรชนสละชีพ 150 ตำลึง ครอบครัวได้เงิน 15 ตำลึงทุกปี ละเว้นภาษีและเกณฑ์ทหารครอบครัวทหารวีรชน หากพี่น้องลูกหลานอยากจะเข้าเป็นทหารก็ให้รับไว้ก่อนผู้อื่น ที่บ้านให้แขวนป้าย ‘ครอบครัววีรชนแห่งราชวงศ์หมิง’ หากประสบเรื่องใหญ่ก็ให้กองกำลังหู่เวยออกหน้าช่วยเหลือ ขอประกาศไว้ ณ ที่นี้……”
ให้ทหารที่มีเสียงดังอ่านประกาศก้องบนเวที ทหารกองกำลังหู่เวยยืนสงบนิ่งอยู่ด้านล่าง ครอบครัวทหารที่เสียสละชีพอย่างวีรชนผู้กล้าก็ร้องไห้ปานใจจะขาด
สีหน้าของทุกคนในลานล้วนเศร้าโศกเสียใจ คนด้านบนอ่านเงินชดเชยผู้กล้าวีรชนสละชีพจบ ก็ส่งให้คนด้านล่าง เอาไปประทับตราติดประกาศต่อ ไปยังเบื้องหน้าครอบครัวหทารที่เสียสละให้พวกเขาได้อ่านกัน
มาถึงตอนนี้ ผู้ใดจะมีกระจิตกระใจไปอ่านประกาศ แต่ก็ต้องประกาศหนึ่งรอบ เป็นระเบียบปฏิบัติ ทุกคนย่อมเชื่อใจในหวังทงและกองกำลังหู่เวย ไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อย
“……พวกบาดเจ็บพิการไม่อาจทำงานได้ กองกำลังหู่เวยเราจะดูแลชั่วชีวิต ได้รับเบี้ยจากกองกำลังหู่เวยไปชั่วชีวิต ครอบครัวก็นับเป็นครอบครัวของกองกำลังหู่เวย ค่ารักษาโรคหรือค่ายาก็ให้เบิกจ่ายจากกองกำลังหู่เวย เบี้ยหวัดให้ตามเดิม ยังมีเงินช่วยชดเชยความพิการ รับประกันความอิ่มท้องไร้กังวล……”
ครอบครัวทหารที่เจ็บสาหัสหรือพิการยุ่งยากมากกว่า การไม่มีแรงงานหาเลี้ยงครอบครัวนับได้ว่าเป็นภาระให้ครอบครัว ตนเองมีชีวิตไม่ดียังเป็นภาระให้คนอื่น วิธีการของกองกำลังหู่เวยนี้ช่วยพวกเขาได้มาก
ต่างจากครอบครัวทหารหาญที่สละชีพ พอได้ยินเช่นนี้ คนในครอบครัวทหารที่บาดเจ็บพากันตกตะลึง ล้วนร้องไห้ลงคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณ ที่หวังทงทำนั้นนับได้ว่าเป็นการสร้างบุญใหญ่
พิธีการเช่นนี้ใช้จ่ายไม่น้อย วันหน้าเงินชดเชยให้ทหารที่สละชีพและบาดเจ็บเป็นเงินไม่น้อย แต่หวังทงก็รู้ว่าคุ้มค่า และต้องทำเช่นนี้ เพื่อให้ทหารกองกำลังหู่เวยรู้ว่าหากรบจนตัวตายหรือบาดเจ็บก็ไม่ต้องเป็นห่วงคนที่บ้าน ทำให้ทหารตนไม่ต้องกังวลคนที่เหลืออยู่ และจะยินดีภักดีสละชีพตน รบอย่างกล้าหาญบนสนามรบ
กล่าวมอบรางวัลชดเชยเสร็จ หวังทงก็เดินขึ้นไปบนเวที รอบด้านเงียบกริบ หวังทงกวาดตามอง ตะโกนเสียงดังขึ้นอีกว่า
“สละชีพเพื่อแผ่นดินหมิง เพื่อลูกหลานวันหน้าแผ่นดินหมิงเรา พวกเขาสละชีพอย่างมีเกียรติ พวกเราจะจดจำพวกเขาไว้ กองกำลังหู่เวยจะจดจำพวกเขาไว้ ราษฎรหมิงจะจดจำพวกเขาไว้!!”
หวังทงกล่าวจบ ทั้งลานเงียบสงบ ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงร่ำไห้ดังขึ้น ไม่รู้ว่าผู้ใดนำก่อน ทหารทุคนก็พากันตะโกนเสียงดังตามมา
“หู่เวยไม่แพ้ รบเพื่อแผ่นดินหมิง!!”
กลองหนังวัวใบใหญ่ตีเป็นจังหวะ จากทางด้านตะวันออกของลานฝึกทหาร ทหาร 6 นายแบกโลงศพออกมา ทุกโลงมีธงหู่เวยคลุมไว้
หวังทงยืนตัวตรงอยู่บนเวทีไม้ กำปั้นขวาวางไว้บนอก ทหารทุกคนทำความเคารพ ทั้งสนามบรรยากาศเคร่งเครียดจริงจัง……