Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 527

ตอนที่ 527 ทำราวกับหารือการค้า

หวังทงยกจอกสุรามาจ่อที่ปาก ไม่กล่าวอันใดต่อ ชีจี้กวงวันนี้ที่มา ยังกล่าววาจาเช่นนี้ ทำให้เขาคิดไม่ออกว่าต้องการสิ่งใด

บทสนทนาล้วนเป็นชีจี้กวงพูดคนเดียว เขาชี้ไปที่อาหารที่เหมือนพวกสัตว์ปีกจานหนึ่งกล่าวว่า

“นี่เป็นอาหารสูงค่าในเหลียวโจว เรียกทั่วไปว่า ‘ครึ่งจิน[1]’ เพราะว่านกชนิดนี้ตัวใหญ่สุดไม่เกิน ‘4 เหลี่ยง’ แต่ว่ารสชาติดีมาก เนื้อนั้นอ่อนนุ่ม เละยุ่ยง่าย มีเพียงฤดูหนาวจึงจะส่งมายังในด่านได้ อาหารนี้ไม่ต้องการปรุงพิเศษ ใช้แค่น้ำเปล่าตุ๋น เติมเกลือก็ใช้ได้ เจ้าลองดู!”

หวังทงหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบชิ้นหนึ่งส่งเข้าปาก รสชาติดีเยี่ยมจริง เหมือนว่าที่แถบตงเป่ย[2]มีอาหารหนึ่งชื่อว่า วิหคมังกรบิน ในโลกก่อนนั้นก็เป็นอาหารราคาสูงค่าที่หายากมาก

พอให้ดื่มสุราและกินอาหารแล้ว หวังทงก็ยังไม่คิดจะกล่าวอันใด ตามคาดที่เมื่อกินอาหารนี้ไป ชีจี้กวงก็ถามคำถามอื่นต่อว่า

“หวังทง เจ้าคิดว่าตอนนี้แผ่นดินสงบหรือไม่?”

“ฝ่าบาทปกครองแผ่นดิน ย่อมสงบสุข ราษฎรแต่ละแห่งก็ล้วนมีความสุข ไม่มีเรื่องวุ่นวายอันใด”

“เป็นเช่นนั้นจริง นอกจากพวกเผ่าแม้วทางตะวันตกเฉียงใต้ที่มีการเคลื่อนไหวแล้ว ที่อื่นล้วนไร้เภทภัย นอกด่านหลังจากการรบที่ผ่านมา พวกมองโกลใน 30 ปีนี้ก็ไม่อาจก่อการใดชายแดนได้อีก แผ่นดินสงบจริงๆ”

ชีจี้กวงกล่าวสำทับตาม วางตะเกียบลง พิงพนักเก้าอี้ มองไปเบื้องหน้ากล่าวน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“สมัยฮ่องเต้ซื่อจง พวกเผ่าอันต๋าตอนเหนือนำเผ่ามองโกลรวมเป็นหนึ่ง รุกรานลงใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ก็มีพวกโจรสลัดรุกรานก่อความวุ่นวาย มีคนกล่าวว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วมันสะเทือนแผ่นดิน หม่าฟางที่ต้าถง หลี่เฉิงเหลียงที่เหลียวโจว อวี๋จื้อฝู่และข้าที่ตะวันออกเฉียงใต้ ยังมีถานจื่อหลี่ พวกเราสี่คนร่วมกันรบเหนือใต้ออกตก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ในที่สุดแผ่นดินก็สงบลง แลกมาซึ่งความสงบสุขในตอนนี้ เจ้าว่าใช่หรือไม่!?”

ยามนี้ชายชราราวกับตกเข้าสู่ภวังค์แห่งอดีต เป็นเพราะมีเสาหลักแห่งแผ่นดินเหล่านั้นจริง จึงได้มีความสงบสุขเช่นวันนี้ หวังทงตอบอย่างยอมรับด้วยใจว่า ‘ใช่’

“การรบใหญ่น้อย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย จึงได้สร้างคนเช่นพวกข้าขึ้นมา ยังสามารถกุมสถานการณ์ ยังสามารถทำให้คนอื่นไม่กล้ากล่าววาจาเหลวไหล แต่ตอนนี้ชายแดนสงบสุข แผ่นดินสงบสุข คาดว่ายังสงบสุขไปอีกนาน ความสงบสุขเช่นนี้ จะทำให้เกิดคนเช่นข้าอีกหรือไม่?”

หวังทงลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า

“แผ่นดินสงบ ย่อมเป็นคราวรุ่งเรืองของพวกบุ๋น ราษฎรก็จะรังเกียจทหาร การขัดแย้งกันเช่นนี้ใช่ว่าเพิ่งจะมีในวันนี้”

“อีกสามสิบปีจากนี้ ข้าก็คงจากไปแล้ว ไม่มีผู้ใดจัดการเรื่องการรบเช่นนี้ ตอนนั้นจะทำเช่นไร? วันนี้ตัดกำลังพวกมองโกล ทำให้ชายแดนสงบสุขไปอีก 30 ปี แต่พวกมองโกลยังไม่หมดไป 30 ปี หรืออาจแค่ 20 ปี ก็จะบำรุงกองทัพและฟื้นตัวมาใหม่ พวกมองโกลจิตใจป่าเถื่อนดังหมาป่า จะไม่ลงใต้มาได้อย่างไร ตอนนั้นยังสงบอยู่ ถึงตอนนั้น จะมีผู้ใดไปรบ หรือว่าใต้หล้าจะต้องสะเทือนกันอีกครั้ง จะอาศัยคนตายฝึกทหารออกมารบหรือไง?”

หวังทงมองไปรอบๆ อย่างนึกได้ มองไปตอนเหนือ มองไปตะวันออกเฉียงเหนือ มองไปตะวันออก สามด้านนี้หยุดเป็นระยะ มองโกล หนี่ว์เจิน โจรสลัด ล้วนเป็นภัยแก่แผ่นดินหมิงไม่ช้าก็เร็ว ถึงขั้นเป็นภัยต่อชนชาติจีน ในเรื่องนี้ ชีจี้กวงกล่าวได้ถูกต้อง

หวังทงตกอยู่ในความคิดนี้อย่างไม่รู้ตัว แต่ก็ยังยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้าชีมองโลกแง่ร้ายไปสักหน่อยแล้ว หม่าหลินบุตรชายแม่ทัพหม่าฟาง คุณชายหลายท่านแม่ทัพหลี่เฉิงเหลียง ยังไม่ต้องพูดถึงแม่ทัพเมืองเซวียนฝู่คนใหม่ หลี่หรูซง!”

ทางนี้หัวเราะ แต่ชีจี้กวงกลับส่ายหน้ากล่าวว่า

“หม่าหลิน เห็นชัดว่าเป็นขุนนางทหาร กลับเรียนตำราปราชญ์วางตัวสูงส่ง ในยามต้องใช้การจริงจะมีประโยชน์อันใด หลี่หรูซงก็กล้าหาญองอาจอยู่ แต่ความกล้าหาญนี้หากเป็นนายกองพันก็ยังได้อยู่ แม่ทัพใหญ่บัญชาการเอาความกล้าหาญไปทำไมกัน เจ้ารู้ไหมว่าหลี่หรูซงนำทัพจากตะวันตกมา ม้าวิ่งตายไปกี่ตัวไหม?”

หวังทงย่อมส่ายหน้า ชีจี้กวงกล่าวต่อว่า

“ม้าตายไปถึง 1,200 ตัว ไม่รู้จักหามาเติม เอาแต่บอกว่าขวัญทหารฮึกเหิมเป็นเรื่องสำคัญ การรบที่เหลวไหลสิ้นเปลืองนี้ ยังดีว่าเป็นครั้งนี้ เพราะหากยื้อไปอีกวันสองวัน เมืองเซวียนฝู่เติมกำลังมาให้ไม่ทัน พวกเขาขาดเสบียง เกรงว่าจะพลอยลากทั้งกองทัพแย่ไปด้วย ทำการไม่รอบคอบ จะให้นำกำลังทัพใหญ่ได้อย่างไร”

“ท่านแม่ทัพ ต้องการอุ่นอาหารหรือไม่!”

กล่าวถึงตรงนี้ ก็มีคนส่งเสียงถามมา ชีจี้กวงปฎิเสธไป หวังทงสังเกตได้เรื่องหนึ่ง ชีจี้กวงดูแล้วไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องการสนทนานี้ ดังนั้นคนรับใช้ทั้งหมดจึงต้องรายงานตัวดังก่อนจะเข้ามาใกล้

เสียงที่ถามเมื่อครู่ ทำให้ทั้งสองเงียบลงไปครู่หนึ่ง หวังทงยามนี้เริ่มเดาได้ว่าชีจี้กวงต้องการกล่าวอันใด ชีจี้กวงกล่าวต่อว่า

“หวังทง เจ้าไม่เลว!”

เป็นเช่นนั้นจริง ตอนนั้นที่เสนาบดีกรมทหารถานกวน ยังมีอวี๋ต้าโหยว พวกเขาล้วนคิดเห็นตรงกัน หวังทงรู้สึกภูมิใจ แต่ก็รู้สึกระแวง ตนเองทำอันใดลงไป ถึงกับได้การยอมรับให้ความสำคัญเช่นนี้ได้

“เจ้าจงรักภักดี เห็นอยู่ว่าเป็นสิ้นเปลืองเงินทอง เห็นอยู่ว่าเป็นความเสียหาร เจาก็ยังนำตัวไปเป็นเหยื่อล่อบนทุ่งหญ้า เพียงเพียงยื้อพวกมองโกลไว้ เจ้ายังสามารถฝึกทหาร ข้าเคยเห็นค่ายรถศึกเจ้า เคยเห็นเจ้าฝึกทหาร แม้ว่าไม่ได้ยอดเยี่ยมใดนัก แตก็เป็นวิธีการฝึกแท้จริง เจ้าอายุยังน้อย ปีนี้แค่ 20 อีก 30 หรือ 40 ปี เจ้าจะสามารถนำกองทัพใหญ่ได้ เจ้าได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท สามารถก้าวขึ้นสูงไปได้เรื่อยๆ”

“ใต้เท้าชีช่างมองข้าน้อยสูงค่าเกินไปแล้ว ข้าน้อยมีความสามารถอันใด สามารถได้รับการยอมรับเช่นนี้ได้!”

หวังทงลุกขึ้นยืนคำนับนอบน้อม กล่าวอย่างจริงจัง ชีจี้กวงมองเขาไปมา อยู่ๆ ก็ยิ้มกล่าวว่า

“เจ้าเห็นว่าการให้ค่าเจ้าสูงเช่นนี้มีอันใดดีกัน ภาระหนักเช่นนี้ ยังต้องมาโดนคนอื่นเอาแต่นินทาว่าร้ายทั้งวัน ยังต้องถูกคนระแวงป้องกัน……”

กล่าวถึงตรงนี้ ชีจี้กวงก็ยิ้มโบกมือ รินสุราให้ตนเอง เงยหน้ากระดกลงคอ ก่อนจะกล่าวว่า

“ข้ามีท่านจางคอยช่วยในราชสำนัก เป็นที่พึ่งหนักแน่นดังหินผา สถานะข้ามั่นคงมาก”

หวังทงไร้คำพูด ชีจี้กวงเหตุใดจึงเปลี่ยนมาเรื่องนี้ ได้แต่ยิ้มนั่งลง ชีจี้กวงกล่าวต่อว่า

“ในราชสำนักหลายฝ่ายสู้กัน วันนี้ฝ่ายนี้ได้เปรียบ วันหน้าก็อาจล้มลง ผู้ใดกล้ารับประกันได้ ครั้งนี้นอกด่านมีชัยชนะใหญ่ ข้าก็ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ ขุนนางบู๊ทำใด้มากที่สุดก็แค่นี้เท่านั้น แต่ก็ต้องหนักใจ หากวันใดทุกอย่างสิ้นไปจะทำเช่นไร อาศัยความดีความชอบข้านั้น การจะขอจุดจบดีไม่ยาก แต่ภาระงานหนักนี้ผู้ใดจะรับต่อ หรือว่าโยนทิ้งไม่สนใจ”

กล่าวจบ ชีจี้กวงก็กระแทกจอกสุราในมือลงบนโต๊ะ กล่าวน้ำเสียงแหบพร่าว่า

“กว่าจะจัดการจี้โจวมาได้เช่นวันนี้ พวกมองโกลแต่ละเผ่าอ่อนกำลังลง แต่เพราะสนธิสัญญาบ้าบอ สงบศึกบัดซบพวกนั้น พวกมองโกลรุกรานลงใต้ สังหารราษฎรหมิง พวกเขาเห็นแต่สัญญาสงบศึกนั่น!!คุณธรรมสัจธรรมนั้นนำมาใช้กับพวกมองโกลป่าเถื่อนนี้ได้หรือ!!? เลอะเลือน!! เลอะเลือนสิ้นดี!!! ปล่อยให้สนธิสัญญาพวกนั้นมาจำกัดมัดมือมัดเท้าตัวเองได้อย่างไร……”

“ใต้เท้าชี ใต้เท้าชี สุราเย็นแล้ว อุ่นแล้วค่อยดื่มเถิด”

หรือเพราะฤทธิ์สุรา ชีจี้กวงจึงได้หลุดแสดงอารมณ์พลุ่งพล่านออกมา ห วังทงรบขัดจังหวะ คำพูดเหล่านี้ ไม่ควรถกกัน หวังทงถึงข้นคิดว่าไม่ควรได้ยิน หวังทงทำเช่นนี้ ทำเอาชีจี้กวงอึ้งไป แล้วก็ได้สติคืนมาอย่างรวดเร็ว วางจอกสุราลง ค่อยๆ พิงพนักเก้าอี้ ให้หวังทงยกกาสุราออกจากเบื้องหน้าเขาไป

ชีจี้กวงก้มหน้าเงียบไปพักหนึ่ง หวังทงไม่รีบร้อน ได้แค่คีบอาหารกินไปอย่างช้าๆ ชีจี้กวงเงยหน้าขึ้น หลุดยิ้มเก้อออกมากล่าวว่า

“วาจากล่าวชัดเจนแล้ว ข้ากล่าวเรื่องพวกนี้กับเจ้า”

นี่สิเป็นเรื่องที่ต้องการพูด หวังทงส่ายหน้า ชีจี้กวงลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างจริงจังว่า

“ตามข้ามา!”

หวังทงลุกตามไป ชีจี้กวงก้าวไปด้านหลังฉาก หวังทงสังเกตว่าเมื่อครู่ฉากชั้นสองแบ่งออกเป็นสองฟาก เขายังคิดว่ามีทหารหรือเจ้าหน้าที่จับตาอยู่ แต่พอก้าวอ้อมไปดู กลับเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมประชิดกันหลายตัว ด้านบนมีแผนที่ผืนใหญ่

“เรื่องพวกนี้ ข้าไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ หากข้าไม่อาจทำได้ เช่นนั้นก็คงขอมอบให้เจ้าทำต่อไปแล้ว!”

ชีจี้กวงกล่าวหนักแน่น หวังทงเริ่มมีสีหน้าเครียด ทั้งสองเดินไปยังหน้าแผนที่……

************

ฟ้ายังไม่มืด หวังทงก็ขี่ม้ากลับจวน ชีจี้กวงก็ออกนอกเมืองไปพักที่ทำการทหารของซุนจื้อปินประจำเทียนจิน ชีจี้กวงและหวังทงสองคนคุยกันอยู่นาน

คืนวันนั้น จี้โจวมีม้าเร็วไปเมืองหลวง หวังทงส่งคนไปเมืองหลวง การพบปะกับแม่ทัพส่วนตัว เป็นเรื่องใหญ่ที่เป็นที่หวาดระแวงของราชสำนัก สำนักบูรพาและองครักษ์เสื้อแพรก็ย่อมมีสายสืบนำข่าวนี้ไปเมืองหลวงแล้ว หวังทงเองก็ต้องรายงานให้กระจ่าง

ตอนกลับมาถึงจวน หวังทงตามพ่อบ้านสองคนจากร้านสามธารามา สอบถามว่าเรื่องราวบางอย่างนอกเมืองเซวียนฝู่

“ทางจี้โจวทีด่านหุบเขาสี่เฟิงเป็นทางนอกด่าน ตอนสงบก็ทำการค้าขายกับพวกมองโกลไม่น้อย เมืองเซวียนฝู่ทางนั้นก็มีร้าน พวกเจ้าก็ไปจัดการที่จี้โจวสักหน่อย อย่างไรแม่ทัพชีก็ย่อมเปิดทางสะดวกให้”

ชีจี้กวงนัดพบหวังทงที่หอหลินไห่ นี่ไม่ใช่ความลับ ทุกคนรู้ดี ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ จึงได้เข้าใจกระจ่าง ที่แท้ใต้เท้าตนไปคุยการค้า ตอนนี้ร้านค้าเทียนจินเปิดไปที่นั่นแล้ว เติมเต็มความต้องการด้านสินค้า และยังได้ประโยชน์ใหญ่จากาการค้าชายแดน ไม่อาจไม่รวยแล้ว

“ในเมื่อชายแดนเปิดร้าน ก็ไม่ต้องเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในกำแพงเมือง ยามสงบนี้ส่งคนไปทำการค้าบนทุ่งหญ้าให้มากหน่อย ไม่มีคนมาปิดทางปากด่าน บางทีอาจได้กำไรมากยิ่งขึ้น!”

คำสั่งนี้เป็นคำสั่งการค้า ขอเพียงสัมพันธ์นายทหารชายแดนดี ไปทำการค้าบนทุ่งหญ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก เถ้าแก่ที่ร้านออกปากแล้ว พรุ่งนี้จะส่งคนไปปฏิบัติงาน

หลังจากทหารนำจดหมายไปส่งเมืองหลวง หวังทงก็ตามจางซื่อเฉียงมา สนทนาลับกันครู่หนึ่ง ก็เป็นเรื่องปกติ ทุกคนชินเสียแล้ว ไม่มีผู้ใดตกใจอันใด

*************

ร้านยาร้านหนึ่งในเมืองทงโจวในเดือนสอง ชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ในโถงกลางขมวดคิ้วมองเทียบยา กล่าวว่า

“ยานี้รักษาภายนอกไม่อาจรักษาจากต้นเหตุ กินนานไปเป็นภัยต่อร่างกาย นายท่านให้ผู้ป่วยมาสักครา จะได้ให้ยาถูกโรค อย่าได้ชักช้าเสียการ”

“จัดยาเจ้ามา อย่าได้กล่าวมากความ!!”

เสียงอีกฝ่ายส่งเสียงตวาดหนัก

———————-

[1] น้ำหนักราว 5-6 ขีด

[2] ตะวันออกเฉียงเหนือของจีน อากาศหนาวมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version