ตอนที่ 526 วาจาขุนพลใหญ่ ทั้งจงรักภักดีและสามารถ
“พ่อครัวเมื่อวานมาจากเมืองเป่าติ้ง อาหารป่าหลายอย่างล้วนซื้อมาจากพวกเผ่าหนี่ว์เจินที่เหลียวโจว อาหารทะเลใต้เท้าวางใจได้ ล้วนเป็นของดีในฤดูกาล สุรานอกจากเป็นสุราเก่าเกาเหลียงจากเมืองเป่าติ้งแล้ว ยังมีสุราดีที่ร้านเมืองหลวงเก็บไว้หลายปีอีกด้วย ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยลงไปเตรียมการก่อน!”
ตอนหวังทงขึ้นมา ก็ได้ยินข้างบนมีคนคุยกันน้ำเสียงนุ่ม แม้ว่ากล่าวเร็วสักหน่อย ก็ฟังดูชัดเจนอย่างมาก นี่เป็นเสียงเถ้าแก่หูของหอริมทะเลหลินไห่
หอริมทะเลหลินไห่เป็นร้านอาหารเก่าแก่ในเทียนจิน แต่ไรมาคหบดีบัณฑิตเลี้ยงกันก็มักมากันที่นี่ เถ้าแก่ในร้านและคนรับใช้ก็ล้วนรู้งานดี เถ้าแก่หูผู้นี้ก็เป็นคนฉลาดคิดการฉับไว
แต่เมื่อครู่ได้ยินเนื้อหาแล้วกลับทำให้หวังทงต้องขมวดคิ้ว พิถีพิถันเรื่องอาหารการกินเช่นนี้ แม้ว่าเฉินซือเป่าหรือถังซื่อไห่คุณชายจากเมืองหลวงยังทำไม่ได้ เหตุใดชีจี้กวงขุนพลดังจึงคิดกระทำการเรื่องเช่นนี้ด้วย
หวังทงเดินช้าลง เถ้าแก่หูชั้นบนรีบก้าวเดินจะลงไปด้วยรอยยิ้ม พอเห็นหวังทงก็รีบคำนับนอบน้อม จากนั้นก็หลีกทางให้
พอขึ้นถึงชั้นบน ได้เห็นชั้นบนมีฉากกั้นบังตาดูดี ชั้นบนมีเพียงโต๊ะเดียว เก้าอี้สองตัว ชีจี้กวงนั่งอยู่ที่นั่งในชุดแบบขุนนางนอกราชการลายห้ามงคลเงินทอง
พอเห็นหวังทงขึ้นมา ชีจี้กวงไม่ได้ลุกขึ้น หากผายมือเป็นการเชิญ ยิ้มกล่าวว่า
“นายกองพันหวังไม่เจอกันนาน นั่ง!”
“ไม่รู้ว่าใต้เท้าชีมาเทียนจิน ไม่ได้ไปต้อนรับ ขอโปรดอภัย!”
ไม่ว่าจากมุมไหน หวังทงก็ยังเป็นรุ่นหลังของชีจี้กวงอย่างไรพบกันก็ควรทำความเคารพตามมารยาทนอบน้อมก่อนจะนั่งลง
บนโต๊ะมีผลไม้แห้งและอาหารเรียกน้ำย่อยประณีตหลายจาน สุราก็อุ่นเรียบร้อย เห็นชีจิ้วกวงไม่ได้วางท่าใหญ่โตเหมือนยามพบกันคราแรก ล้วนเป็นท่าทีแบบคหบดีใหญ่ที่ไร้เรื่องกังวลใจ ตลอดททางมาหวังทงคิดว่าน่าจะเป็นงานเลี้ยงใหญ่โตหรูหราแบบเมืองหลวง
แต่หวังทงก็นับว่าผ่างานใหญ่มามาก ในใจคิดเช่นไร สีหน้าย่อมไม่แสดงออก ได้แต่ยิ้มนั่งลง
ผ่านการรบที่กู่เป่ยโข่วมา วิธีคิดในใจหวังทงนั้นไม่เหมือนเมื่อก่อน รบเพื่อแผ่น หวังทงย่อมยินดีด้วยใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่รู้ว่าชีจี้กวงไม่เห็นการตายของกองกำลังหู่เวยอยู่ในสายตา การล้อมร่วมรบจนได้ชัยชนะ แท้จริงแล้วก็นั้นแลกมาด้วยการบาดเจ็บล้มตายของกองกำลังหู่เวย
หวังทงมีความเคารพเลื่อมใสในภาพชีจี้กวงมาโดยตลอด ไม่ว่าโลกก่อนหรือโลกนี้ ชีจี้กวงก็เป็นขุนพลชื่อดัง เป็นเสาหลักแห่งแผ่นดิน แต่คนเช่นนี้ไม่คำนึงถึงความเป็นความตายของกองกำลังหู่เวย คิดแต่เพื่อแผ่นดินหมิง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าชีจี้กวงเป็นคนสนิทของมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งอีก ก็ยิ่งมีเรื่องที่ไม่อาจจะคุยกันได้นัก
หวังทงจงรักภักดีแผ่นดิน แต่แผ่นดินหมิงอยู่ในช่วงสงบสุข ไม่ใช่ว่าอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย หวังทงต้องคิดถึงตนเอง ต้องคิดถึงประโยชน์ของกองกำลังเล็กๆ ของตนบ้าง
และหากจะกล่าวให้หนักอีกหน่อย กองกำลังหู่เวยจะเป็นหรือตายก็เกี่ยวพันกับฮ่องเต้ว่านลี่ นี่เป็นกำลังที่พึ่งพาสำคัญของฮ่องเต้
หวังทงในตอนนี้ต้องคิดให้รอบด้านหน่อย ขุนพลแม่ทัพมีชื่อเสียงในโลกนี้ พวกเขามิได้เป็นเทพเซียนที่มีใจเพื่อชาติเพียงอย่างเดียวแล้วกินแต่ควันธูปเทียนเป็นอาหาร พวกเขามีความอยากและความต้องการ พวกเขาต้องต่อสู้เพื่ออำนาจและชื่อเสียงของตนเอง และการต่อสู้นี้ ก็มักจะสร้างความขัดแย้งกับหวังทงในหลายเรื่อง
เห็นหวังทงนั่งลง ชีจี้กวงก็หยิบกาสุราที่อุ่นอยู่ในเตาข้างๆ ขึ้นมาเทสุราลงจอกตรงหน้าหวังทงจนเต็ม
อายุมากน้อย ตำแหน่งสูงต่ำ ในวงการขุนนางไม่อาจละเลย ชีจี้กวงรินสุราให้ หวังทงก็รีบลุกขึ้นทันที กล่าวอย่างตกใจว่า
“เช่นนี้ได้อย่างไรกัน! ใต้เท้าชี ทำข้าน้อยอายุสั้นแล้ว!”
ชีจี้กวงมีฝีมือยุทธ์อันดับหนึ่งมีชื่อเสียงใต้หล้า ท่าทางคล่องแคล่ว รินสุราเต็มจอก ไม่มีหกสักหยด ชีจี้กวงวางกาสุราลง ก่อนจะยกมือขึ้นทำท่ากดลง ยิ้มกล่าวว่า
“ในเมื่อมีเพียงข้าและเจ้า ไยต้องพิธีรีตอง นั่งลงเถอะ!”
หวังทงรู้สึกไม่เข้าใจ แต่ชั้นสองนี้ก็มีเพียงเขาสองคนเท่านั้น หวังทงนิ่งไปก่อนจะนั่งลง พอนั่งลงเสร็จ ชีจี้กวงก็ยกจอกสุราดื่มหมดจอก ยิ้มกล่าวว่า
“หวังทง เจ้าโกรธแค้นข้าใช่หรือไม่!?”
วาจานี้กล่าวออกไป หวังทงก็ยกตะเกียบค้างทันที อึ้งไปก่อนจะรีบยืนขึ้นกล่าวว่า
“ใต้เท้าชีกล่าวอันใดกัน ข้าน้อยเป็นเพียงนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร คุมกำลังฝ่ายใน ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับจี้โจว ไยต้องมีความโกรธแค้นอันใดด้วย?”
“ใช้กองกำลังเจ้าเป็นเหยื่อล่อ ล่อพวกมองโกลไว้ให้เราโจมตี ทหารเจ้าบาดเจ็บล้มตายหลายร้อย เป็นการสูญเสียที่หนักที่สุดตั้งแต่ตั้งกองทัพมากระมัง หากเป็นข้าหรือแม่ทัพหลี่ไปช้าอีกหนึ่งชั่วยาม เกรงว่าคงบาดเจ็บล้มตายกันมากยิ่งกว่านี้ หรืออาจถูกทำลายสิ้นก็เป็นได้……กองกำลังเจ้าเดิมก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ถูกข้าลากออกไปบนทุ่งหญ้านั่น ผ่านสมรภูมิเลือดมาเช่นนี้ ความเสียหายไม่ต้องพูดถึง หลังได้พระราชทานบำเหน็จกันก็มิได้ประโยชน์อันใดด้วย จะทำใจให้ยอมรับได้อย่างไร จะไม่โกรธแค้นได้อย่างไร?”
ชีจี้กวงกล่าวจบด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หวังทงกลับรู้สึกงง ในวงการขุนนางกล่าวสามส่วนเรียกว่ารู้มารยาท เหตุใดชีจี้กวงเป็นขุนพลใหญ่เพียงนี้ คนที่อยู่ในวงการขุนนางมานานกลับหลุดวาจากล่าวตรงไปตรงมาเช่นนี้ได้
ทางนั้นกินไปดื่มไป หวังทงได้แต่ตกตะลึง ได้แต่หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกุ้งแห้งสองตัวเข้าปากเคี้ยว พอวางตะเกียบลง ก็เห็นชีจี้กวงอมยิ้มมองตนรอคำตอบอยู่
ที่แท้มิได้หลุดวาจา คิดจะทำเป็นเลอะเลือนในคำถามนี้คงไม่ได้แล้ว หวังทงกลืนอาหารลงคอ พิงพนักพิง ในสมองหมุนอย่างรวดเร็ว ชีจี้กวงอยู่ๆ มาพบตนด้วยเรื่องอันใดกัน กล่าววาจาเช่นนี้กับตนด้วยเรื่องอันใดกัน หรือว่าความนัยอื่นใด เงียบไปครู่หนึ่ง หวังทงก็ค่อยๆ กล่าวช้าๆ ว่า
“ใต้เท้าชีบัญชาการรบครั้งนี้ กลนัยการศึกนี้ใต้เท้าล้วนกระจ่างชัด ฝ่าบาทมีพระบัญชา สำนักอาชาหลวงและกรมทหารมีคำสั่งลงมา ข้าน้อยนำกำลังออกไป คำสั่งทหารเช่นนี้ย่อมปฏิบัติ รับคำสั่งปฏิบัติตาม จะมีเรื่องอันใดให้กล่าวถึงความโกรธแค้นกัน”
กล่าวจบอย่างระมัดระวัง เห็นชีจี้กวงพยักหน้ายิ้มๆ คิดไปคิดมา หวังทงก็เอ่ยขึ้นต่ออีกว่า
“แต่ว่า ทหารของข้าน้อยเองมีวาจาประหลาด กล่าวว่าออกรบศัตรูเป็นหน้าที่ทหาร แต่บำเหน็จรางวัลพวกเขาดังเหมือนตกเป็นของผู้อื่น ยากจะไม่รู้สึกอัดอั้น ดีที่ข้าน้อยกับนายกองไช่รู้เรื่องนี้ จึงมอบเงินชดเชยให้ไปมาก จึงได้เป็นการปลอบใจพวกเขาได้”
เดิมหวังทงกะจะให้ผ่านไปอย่างเลอะๆ เลือนๆ แต่เห็นรอยยิ้มชีจี้กวง เขาก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก อย่างไรก็ต้องแสดงความไม่พอใจออกมาสักหน่อย ให้เขาว่าไม่ใช่คนโง่ รู้กลนัยในการนี้ เพียงแต่ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยด้วยก็เท่านั้น
ในตอนนั้นเอง ก็มีคนเขามาถามอย่างนอบน้อมว่า
“ใต้เท้าทั้งสอง อาหารขึ้นโต๊ะได้หรือยังขอรับ?”
ชีจี้กวงรับคำ คนที่ยกอาหารขึ้นมาทยอยยกขึ้นโต๊ะ คนที่ยกมาเหมือนเป็นทหารติดตาม แต่อาหารพวกนั้นทำให้หวังทงต้องมองแล้วมองอีก
นี่ไม่ใช่อาหารธรรมดา และเป็นอาหารที่เห็นจากจวนแม่ทัพหม่าฟางที่เมืองเซวียนฝู่ ด้านล่างก็เป็นภาชนะเงินที่เหมือนกัน ด้านบนจึงเป็นภาชนะใส่อาหาร
อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นสุรา นี่ย่อมเป็นกลิ่นสุราที่อุ่นอยู่ในถาดเงินเพื่ออุ่นอาหารด้านบน ทหารเปิดฝาครอบอาหารออก ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบๆ
อาหารไม่ต้องกล่าวถึง ล้วนเป็นของมีค่าราคาแพง ไม่ได้ด้อยไปกว่าที่หม่าฟางกินเลย ถึงกับประณีตกว่าด้วยซ้ำ หวังทงรู้สึกคาดไม่ถึง จากนั้นก็ค่อยๆ ส่ายหน้า หรือว่าขุนพลใหญ่แห่งราชวงศ์หมิงล้วนกินอยู่วางตัวกันเช่นนี้? แม้แต่ชีจี้กวงที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าก็เป็นเช่นนี้ ช่างทำให้คนที่ได้รู้ถึงกับไร้วาจาจะเอื้อนเอ่ย
พูดกันให้ชัดก็คือ แต่ละคนก็มีวิธีการหาได้มาของแต่ละคน แต่ชีจี้กวงที่อาศัยเบี้ยหวัดไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้ การทำได้ระดับนี้ อย่างไรก็คงเป็นเพราะแตะต้องเบี้ยหวัดพลทหาร หวังทงรู้สึกอึดอัด แต่ก็ไม่รู้จะกล่าวเช่นไรดี
“รู้สึกฟุ่มเฟือยเกินไปหรือ?”
ชีจี้กวงยิ้มถาม หวังทงกำลังตกในภวังค์ความคิด พอถูกถามเช่นนี้ก็ได้แต่พยักหน้าไปทันทีอย่างไม่ทันตั้งตัว จากนั้นก็ส่ายหน้า ชีจี้กวงหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า
“หวังทง ชายแดนใดๆ ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ข้าไม่อาจแตกต่าง ขุนพลบู๊ประจำเมืองชายแดนทุกคนก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่เหมือนได้อย่างไร!”
หวังทงพลอยหัวเราะตาม แต่ไม่รับคำ เจตนาที่มาเยือนของชีจี้กวงยิ่งไม่ชัดเจน พูดมากผิดมาก ยังไงก็ไม่พูดดีกว่า ชีจี้กวงกินไปสองสามคำก็กล่าวขึ้นอย่างสบายอารมณ์ว่า
“ก็มีที่ไม่ทำเช่นนี้ อวี๋จื้อฝู่ (ชื่อรองอวี๋ต้าโหยว) ยามว่างก็เข้าไปในไร่นากินอาหารเหมือนพวกพลทหาร ทำตัวไม่ต่างอันใดกับทหารในโรงฝึกทหาร เรียบง่ายสามัญอย่างมาก”
อวี๋ต้าโหยวมีชีวิตที่เรียบง่าย หวังทงจึงได้ให้ความรักและเคารพเขาอย่างมาก ในใจหวังทงนั้น อวี๋ต้าโหยวก็คือทหารที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายในโลกก่อน และก็เป็นต้นแบบเรียนรู้ของตน ชีจี้กวงเห็นสีหน้าหวังทง ก็ยิ้มกล่าวว่า
“อวี๋จื้อฝู่ชีวิตขึ้นลงหลายครั้ง เคยเป็นแม่ทัพใหญ่ เคยเป็นนักโทษติดคุก เขาสร้างความดีความชอบมาไม่น้อยกว่าข้า เหตุใดตำแหน่งสูงส่งแต่กลับถูกพวกขุนนางบุ๋นโจมตี เหตุใดในราชสำนักไม่มีใครช่วยพูดแทนเขา หากไม่ใช่เพราะถานจื่อหลี่ (ชื่อรองถานกวน) เป็นเสนาบดีกรมทหารมาหลายปี……
กล่าวถึงตรงนี้ ชีจี้กวงก็ส่ายหน้ายิ้ม มองสีหน้าหวังทงก่อนจะกล่าวว่า
“เขาดำรงตำแหน่งขุนนาง คนรอบกายติดตามแล้วไม่ได้แบ่งปันอันใด ย่อมเปลี่ยนไปหาประโยชน์ที่อื่น คนรอบกายข้าหน้าหลังล้วนวางตัวกันเช่นนี้ คนอื่นอย่างไร จี้โจวก็อย่างนั้น ทุกคนล้วนได้ประโยชน์ ตำแหน่งนี้ก็ย่อมมั่นคง ในราชสำนักย่อมได้รับการปกป้อง หวังทง เจ้าดูสิ ข้ากับอวี๋จื้อฝู่ ผู้ใดสูง ผู้ใดต่ำ?”
คำตอบนั้นชัดเจน หวังทงคิดจะกล่าว แต่ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ดังที่คิด จึงค่อยๆ กล่าวอย่างช้าๆ ว่า
“ความหมายของแม่ทัพชีก็คือ ใต้เท้าอวี๋จำกัดตนเอง ไม่เข้ากับคนทั่วไป ก็ไม่อาจทำอันใดเพื่อใต้หล้าต่อได้ ใต้เท้าชีมีคนติดตามมากมาย สามารถอยู่ในตำแหน่งได้นาน ก็จะช่วยแผ่นดินหมิงได้นานยิ่งขึ้น……”
ชีจี้กวงไม่ได้รับคำหวังทง หากกลับหัวเราะกล่าวเปลี่ยนเรื่องไปว่า
“เจ้านำกำลังไปบนทุ่งหญ้า หากไม่ไป ก็เหมือนกับรักตัวกลัวตายละเลยความจงรักภักดี เป็นการไม่จงรักภักดี หากถูกพวกมองโกลตีพ่าย กองทัพแตกพ่ายตายที่นั่น ก็ว่าไร้สามารถ ไม่ภักดีนั้นส่งผลร้ายต่อแผ่นดินหมิง ไร้สามารถนั้นไร้ประโยชน์ต่อฮ่องเต้ หากเจ้าเผยความไม่ภักดี ก็ย่อมต้องกำจัดภัยนี้ก่อนเติบใหญ่ หากเจ้าไร้สามารถ ตายแล้วก็จบไป”
วาจาตรงไปตรงมานี้ทำให้หวังทงไม่อาจโต้แย้งได้ ได้แต่สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะจ้องมองไปยังชีจี้กวงที่นั่งอยู่ งานเลี้ยงวันนี้ ขุนพลเลื่องชื่อยุคนี้คิดการใดกัน……
ชีจี้กวงกลับยกกาสุรามารินให้หวังทงจนเต็ม ยิ้มกล่าวว่า
“ทว่า หลังจากครั้งนี้ไป ข้ารู้ว่าเจ้าทั้งจงรักภักดีและสามารถ!!”