Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 525

ตอนที่ 525 ฮ่องเต้รู้สึกละอายพระทัย เทียนจินยังคงปกติดังเดิม

“ฝ่าบาท ชัยชนะใหญ่กู่เป่ยโข่ว หวังทงไม่หวั่นภัยอันตราย สร้างความชอบใหญ่ เมื่อครู่เฟิงยื่อเซี่ยนไม่รู้เรื่องกลศึกนี้ จึงกล่าววาจาเหลวไหล ฝ่าบาทลงโทษก็สมควร แต่ว่าวาจาเฟิงยื่อเซี่ยนก็มีเหตุผลอยู่ หวังทงกุมกำลังทหารเก่งกล้าหลายพัน ยังอยู่ในพื้นที่ทำเงินอย่างเทียนจิน แต่ตอนนี้ยังไม่แต่งงาน ก็ดูแปลกอยู่บ้าง”

จางซื่อเหวยกล่าวช้าๆ แต่วาจาหนักไปถึงขั้นยังไม่แต่งงาน ขุนนางหลายคนสบตากัน เซินสือหังถอยออกไปครึ่งก้าว ก้มหน้าไม่กล่าวอันใด

เสนาบดีกรมพิธีการเซินสือหังตั้งแต่เข้าร่วมคณะเสนาบดีใหญ่ ก็ไม่ค่อยพูด ทำตัวเงียบสงบ เรื่องนี้เซินสือหังไม่แสดงท่าทีก็เป็นเรื่องปกติ ทุกคนไม่เอามาใส่ใจ

“เมืองหลวงมีข่าวมากมาย หวังทงทุกวันเอาแต่ฝึกทหาร ส่วนตัวเองก็สมถะผิดปกติ อายุน้อยวัยฉกรรจ์ กลับทำตัวเช่นนี้……คนพิเศษย่อมมีความคิดที่พิเศษไม่เหมือนผู้ใด เทียนจินเป็นแหล่งรวมเงินทองมากมายเช่นนี้ ยังเป็นพื้นที่ใกล้เมืองหลวง ฝ่าบาท……”

เสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยกล่าวไม่อ้อมค้อม แต่ว่านัยแห่งวาจานั้นทุกคนล้วนเข้าใจดี ทุกคนไม่ออกมาตอบรับ หากมองไม่ยังฮ่องเต้ว่านลี่

“ขุนนางทุกท่าน หวังทงปฏิบัติหน้าที่ยากลำบาก หากว่าเสวยสุข หรือมีชื่อเสียงว่าฟุ่มเฟือย เขาย่อมหนีไม่พ้น แต่เพราะว่าตั้งใจขยันปฏิบัติหน้าที่ เหตุใดจึงกลายเป็นว่า มีความคิดที่พิเศษไม่เหมือนผู้ใดกันเล่า!”

ฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวอย่างไม่เข้าพระทัย จางซื่อเหวยถวายคำนับก่อนจะทูลต่อว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมเพียงแค่คิดเท่านั้น หวังทงตอนนี้อยู่ในตำแหน่งสำคัญ นำกำลังทั้งกองทัพ เรื่องเล็กน้อยก็นับเป็นเรื่องใหญ่ได้!”

“ขุนนางจางมีใจคิดเพื่อแผ่นดิน เราเองก็เข้าใจ แต่เรื่องนี้เราคิดเองได้ ไม่ต้องกล่าวต่อแล้ว”

บรรดาขุนนางในราชสำนักหลังจากจบเรื่องนี้ไป ก็ไม่อยากถกเรื่องหวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่อีก นับประสาอันใดกับการที่จางซื่อเหวยก็แค่เอ่ยขึ้นมาตามประสาเท่านั้น ทุกคนจึงผ่านประเด็นปัญหานี้ไปทันที

“ฝ่าบาทระบบเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงาน กรมอากรมีแนวทางแล้ว วันนี้ขอทรงพิจารณา”

************

หลังเลิกประชุมขุนนาง บรรดาขุนนางกลับไปแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงตบหน้าผากตนเองไปพลางถอนพระปัสสาสะอย่างเหนื่อยล้าไป เมื่อครู่ถกเรื่องระบบเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงานที่จางจวีเจิ้งนำเสนอนั้น เป็นเรื่องแห้งแล้งน่าเบื่ออย่างมาก

แต่ละแห่งมีที่นาเท่าไร แต่ละแห่งมีคนเท่าไร เกณฑ์แรงงานอย่างไร จะหักเงินภาษีอย่างไร เป็นเรื่องรายได้การเงินทั้งสิ้น แต่ละมณฑลก็ล้วนมีคนรับหน้าที่ไปดูแลอยู่ มีการคำนวณล่วงหน้ากันแล้วว่าจะได้เงินมาเท่าไร

หลังเสร็จจากการประชุม ขุนนางแต่ละคนก็ย่อมกลับไปยังเส้นทางที่มา สำนักส่วนพระองค์ก็กลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ พวกที่อยู่ต่อได้ก็มีเพียงขันทีติดตามส่วนพระองค์เท่านั้น

ตอนนี้พวกที่อยู่ต่อได้ก็มีเพียงจางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์ ยังมีอีกคนที่จะไปหรืออยู่ก็ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตนอย่างเฝิงเป่า เห็นขันทีน้อยรับใช้ถอยออกไปจากพระที่นั่ง เฝิงเป่าก็ยิ้มทูลว่า

“หม่าจื่อเฉียงวันนี้ใจกล้ามาก ถึงกับคิดจะตัดกำลังทหารชายแดน อีกสามเดือนจะอำลาตำแหน่ง ไม่มีอันใดต้องคิดมากแล้วจริงๆ”

ชายแดนแต่ละแห่งที่ประชิดทุ่งหญ้าตอนเหนือของเขตปกครองเหนือ รวมเมืองจี้โจวและเมืองเซวียนฝู่ ค่าบำรุงทหารก็ราวสี่แสนตำลึง หลังชัยชนะใหญ่กู่เป่ยโข่ว เผ่าอันต๋าและเคอเอ่อชิ่นเสียหายหนัก ความกดดันชายแดนย่อมน้อยลงไปมาก สามารถพิจารณาลดกำลังกองทัพ ประหยัดงบประมาณกองทัพได้

ปกติวาจาเหล่านี้เป็นเรื่องต้องห้าม หกกรมกองในสำนักเสนาบดีใหญ่ ราชสำนักและไม่รู้ขุนนางท้องที่มากมายเท่าไรที่ได้ประโยชน์จาการทหารนี้ ผู้ใดคิดตัดงบ ผู้นั้นก็เท่ากับเส้นทางรายได้มหาศาลของทุกคน กลายเป็นเป้าถล่มของทุกคนได้ง่าย เรื่องเช่นนี้ ผู้เป็นขุนนางผู้ใดอยากลงมือเอง มีแต่หม่าจื้อเฉียงที่ใกล้จะอำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิดเท่านั้น และยังอาศัยว่าเพิ่งได้รับชัยชนะใหญ่มา จึงได้กล้าเสนอเช่นนี้

แต่พอหม่าจื้อเฉียงเสนอออกมา ทุกคนพากันนิ่งเงียบ จึงได้ต้องจบลงไปเช่นนั้น

เฝิงเป่าพูดอยู่นั้น จางเฉิงก็ยิ้มพยักหน้า ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงเงียบสีพระพักตร์ไม่ดีนัก เฝิงเป่านำฎีกาซ้อนเก็บ กล่าวทูลต่อว่า

“ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้ว พวกขุนนางบุ๋นพวกนี้ไม่อยากขุนนางบู๊ได้ผลงาน มักจะหากทางกล่าวว่าไม่ดีผลักผลงานทิ้ง มิเช่นนั้นก็จะมิได้แสดงความสามารถของพวกเขา ผลงานความชอบหวังทง ไทเฮาทรงรับรู้แล้ว ขุนนางบัณฑิตพูดจาน่ารำคาญอันใด ก็มิต้องนำมาใส่พระทัย ทรงพักผ่อนพระวรกายก่อน กระหม่อมไปปฏิบัติภารกิจที่สำนักส่วนพระองค์ก่อน”

ทูลจบ เฝิงเป่าก็ถือฎีกาออกไป ก่อนออกไปยังส่งสายตาให้จางเฉิง รอจนเฝิงเป่าออกไป ในพระที่นั่งนอกจากขันทีน้อยที่รอรับใช้อยู่ไกลๆ แล้ว ก็ไม่มีคนนอก จางเฉิงกระซิบทูลถามเบาๆ ว่า

“ฝ่าบาทจะพักผ่อนพระวรกายต่อ หรือว่าขึ้นเกี้ยวเสด็จกลับตำหนัก?”

ว่านลี่เงียบไปก่อนจะประทับยืน ยืดพระวรกายคลายปวดเมื่อยตรัสว่า

“เราหลายวันนี้ปวดเมื่อยตัว วันนี้ไม่นั่งเกี้ยวแล้ว เดินไปหาพระสนมเอกเจิ้งดีกว่า!”

พระสนมเจิ้งได้เลื่อนเป็นพระสนมเอกตอนนั้นยังวิจารณ์กันไม่เสร็จ แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ทรงสนพระทัยว่าภายนอกจะว่าอย่างไร ในวังก็ให้ปฏิบัติดังเป็นพระสนมเอกไปแล้ว

อากาศยังหนาวอยู่ ฮ่องเต้เสด็จพระดำเนินเอง ต้องเตรียมของไม่น้อย ทางนี้กำลังวุ่นอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับอยู่ที่ข้างเตาในพระที่นั่ง ตรัสขึ้นว่า

“จางปั้นปั้น ถ่ายทอดราชโองการเราลงไป หวังทงได้รับชัยชนะ สร้างความชอบใหญ่ ที่ทำไปนั้นเป็นเราอนุญาตแล้ว ให้ขุนนางเงียบได้แล้ว ชัยชนะนอกด่าน ไม่ไปดีใจกัน กลับมาหาเรื่องน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ ช่างแปลกประหลาดเสียจริง!”

จางเฉิงที่กำลังนำเสื้อคลุมฉลองพระองค์มาก็รับพระบัญชา ราชโองการรับให้หวังทงออกนอกด่านไปเป็นเหยื่อล่อพวกมองโกล รบยากลำบากบาดเจ็บไม่น้อย หลังเสร็จศึกก็ไม่ได้พระราชทานรางวัลให้อันใด ในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ก็ย่อมรู้สึกละอาย ขุนนางเมืองหลวงอยู่ในเดือนสองนี้ก็เริ่มโจมตีหวังทงว่าคิดไม่ซื่อ ทำให้พระองค์ทรงพิโรธ

จางเฉิงสวมฉลองพระองค์คลุมให้ฮ่องเต้ว่านลี่ไปก็ยิ้มทูลไปว่า

“ฝ่าบาท ครั้งนี้พวกขุนนางพวกนี้น้อยกว่าครั้งก่อนมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ว่าพวกเรียนหนังสือเอาแต่เลอะเลือนแล้วนะพะยะค่ะ!”

ได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ส่งเสียงหัวเราะหึออกมา ก่อนจะตรัสอย่างไม่พอพระทัยนักว่า

“ก็เพราะไปเปิดร้านกันที่เทียนจินน่ะสิ เพราะว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน ยังมาบอกว่าตนเองเรียนตำราคัมภีร์ปราชญ์มาอันใดกัน ทั้งวันเอาแต่หาเรื่องเล็กเรื่องน้อยไร้สาระ ไม่รู้จริงๆ ว่าเรียนตำรากันไปถึงไหนกันมา”

สนทนากันสองสามประโยค ฮ่องเต้ว่านลี่ก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย จางเฉิงจัดชายฉลองพระองค์คลุมให้เรียบร้อยก่อนจะทูลว่า

“ฝ่าบาท จางซื่อเหวยแห่งกรมทหารว่ามาก็มีเหตุผล หวังทงอายุมากเช่นนี้แล้ว ยังเอาแต่ใช้ชีวิตเงียบเหงา บิดาจากไปก็จะห้าปีแล้ว ก็นับว่าไว้ทุกข์ได้พอแล้ว มีชีวิตเช่นนี้ ก็ย่อมทำให้ผู้คนสงสัย หากว่ามีใครหาเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้อีก ก็จะยุ่งยากแล้วเหมือนกัน!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ตรัสต่อ หากเอาแต่เสด็จพระดำเนินไปข้างหน้า จางเฉิงรีบตามไป ฮ่องเต้ว่านลี่เดินไปสักสองสามก้าวจึงได้หันมาตรัสเบาๆ ว่า

“หวังทงบอกเราว่า หากถึงเวลาหาคู่ หากแต่งกับผู้ใด ก็จะเกี่ยวสัมพันธ์กับตระกูลผู้นั้น แต่ตอนนี้ข้างกายเรามีใครบ้าง ถึงตอนนั้นหากเพราะว่าต้องเกี่ยวสัมพันธ์ทำเสียการใหญ่ล่ะก็……”

ตรัสถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เงียบลง เสด็จพระดำเนินไปข้างหน้าต่อ จางเฉิงรู้สึกคิดผิดไป จึงรีบตามไป ได้ยิน ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสขึ้นเบาๆ ว่า

“หวังทงจงรักภักดีเช่นนี้ เราไม่อาจให้อันใดตอบแทน ช่าง……”

***********

เดือนสองที่เมืองหลวงวิพากษ์วิจารณ์หวังทงก็เงียบไป ข่าวที่มาถึงเทียนจินแต่ละข่าว ก็ล้วนทำให้หยางซือเฉินที่จิตใจเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่นั้นรู้สึกผ่อนคลายลง

สวีกว่างกั๋วส่งคนนำรายชื่อมา รายชื่อนี้ล้วนเป็นขุนนางระดับล่างในสำนักตรวจสอบ สำนักปราชญ์ฮั่นหลินย่วน สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน และอีกหกกรมกอง คนเหล่านี้ทีเรียกกันว่าขุนนางบัณฑิต พวกเขาในนี้บางคนมีสถานะสูงส่ง สถานะสูงส่งก็ย่อมรักษาท่าทีนิ่งเงียบ

การทำงานครั้งนี้ของสวีกว่างกั๋วนับว่าพยายามสุดความสามารถมาก ในรายชื่อครึ่งหนึ่งยังวงกลมไว้ ให้สังเกตเป็นพิเศษ คนเหล่านี้มีกิจการอยู่ที่เทียนจินไม่น้อย ได้ประโยชน์มาก คนที่เหลือเป็นคนที่สวีกว่างกั๋วไปมาหาสู่ด้วยเป็นประจำ

“พวกขุนนางบัณฑิตพวกนี้ไม่แพงเท่าไร ค่าสุราอาหารเลี้ยงทั้งหมดก็แค่ 130 ตำลึง ก็มายืนข้างเราแล้ว”

ได้เห็นรายชื่อ หวังทงก็ยิ้มเอ่ยขึ้น

************

วันที่ 12 เดือนสอง กองกำลังหู่เวยรับทหารเข้ามาเสริมกองทัพเพิ่ม สองหน่วยคัดเลือกพลปืนไฟเพิ่ม แต่ละค่ายก็จัดการระบบใหม่

เรื่องคนมีปัญหาไม่มาก ทหารทุกคนได้เห็นการสังหารด้วยปืนไฟบนสนามรบมาแล้ว รู้ว่าหากได้เป็นพลปืนไฟย่อมได้ขึ้นอีกระดับ ทุกคนอยากเลื่อนขั้น การจะคัดเลือกได้คนเก่งก็ง่ายมาก แต่งานผลิตจากโรงช่างกลับทำไม่ทัน เวลาหนึ่งเดือนทำออกมาได้แค่ 200 กระบอก

ก็มิใช่ว่าจงใจให้ช้า แต่เพราะเครื่องจักรกำลังน้ำไม่เพียงพอ ตอนนี้เป็นช่วงน้ำในแม่น้ำเป็นน้ำแข็ง ส่วนใหญ่ใช้แรงงานสัตว์ ประสิทธิภาพจึงต่ำ ย่อมไม่อาจทำให้เร็วได้

แต่พอเริ่มฝึกพลปืนไฟ หวังทงก็ให้ความสำคัญอย่างมาก จะต้องมาตรวจสอบด้วยตนเอง ตื่นแต่เช้า รีบจัดการธุระงานเอกสารให้เสร็จ ให้ทหารติดตามเตรียมการอารักขา ขี่ม้ามาดูที่ลานฝึกด้วยตนเอง แต่ยังไม่ทันออกจากจวน ก็มีคนนำเทียบเชิญมาที่หน้าประตู

เรื่องมาเจอกัน ก็ย่อมให้เรื่องการทหารไว้อันดับแรก ทุกคนรู้ดี เทียนจินแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดยิ่งใหญ่พอจะรั้งหวังทงจากการงานได้ แต่พอถามถึงสถานะที่มา ก็ได้แต่ปล่อยคนให้เข้าไป

“ใต้เท้าชีกลางวันนี้จะมาจัดงานเลี้ยงหอหลินไห่?”

ได้เห็นเทียบเชิญหวังทงก็อึ้งไป คิดไม่ถึงว่าชีจี้กวงแห่งจี้โจวจะมาเชิญเช่นนี้ เป็นเรื่องกะทันหันมาก หลังสงครามกู่เป่ยโข่วมาเชิญหวังทงไปพบ หวังทงก็เดินทางกลับทันที มาบัดนี้ ชัยชนะเป็นที่ทราบทั่วหล้าแล้ว ทุกอย่างก็จบลงแล้ว สองฝ่ายไม่มีความจำเป็นที่ต้องพบหน้ากันอีก มาเชิญในเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีเจตนาอันใดกัน?

คนระดับนี้เรียนเชิญ ไม่ว่าด้วยน้ำใจหรือเหตุผล หวังทงก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ได้แต่ให้พลปืนไฟก็ให้ฝึกไปตามปกติ ตนเองก็ไปเตรียมตัวไปงานเลี้ยง

ข่าวชีจี้กวงมาเทียนจินนั้นหวังทงเองก็รู้ เดิมคิดว่าเพียงแค่ไปตรวจดูการทำงานของซุนจื้อปิน คิดไม่ถึงว่าจะมาเพื่อเชิญตนร่วมงานเลี้ยง

***********

หอหลินไห่แปลว่าติดทะเล แต่แท้จริงไม่ได้อยู่ริมทะเล กลับอยู่ทางด้านใต้ของหอกลองกลางเมืองเทียนจิน เป็นบริเวณจวนพักอันเงียบสงบของคหบดีชั้นสูง หวังทงมาถึงหน้าประตู ที่มาเชิญถึงหน้าประตูกลับเป็นซุนจื้อปินขุนพลป้องกันเทียนจินในสังกัดจี้โจว เป็นการให้เกียรติที่สูงมาก สองฝ่ายพบกันก็คำนับตามมารยาท ซุนจื้อปินยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้าบ้านเชิญด้านบน ท่านแม่ทัพรอท่านอยู่ที่ชั้นสองแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version