ตอนที่ 663 ถกหน้าพระที่นั่ง ขุนนางบู๊สามารถมีปากมีเสียง
สำหรับขุนนางฝ่ายนอกวังแล้ว หวังทงอาจเป็นภัยใหญ่ คนที่ล้มไปด้วยน้ำมือเขามีมากมาย แต่สำหรับขุนนางฝ่ายในแล้ว หวังทงเป็นดังเทพแห่งโชควาสนา หลายคนได้ดิบได้ดีเพราะสายสัมพันธ์กับหวังทง
แน่นอนด้วยสายสัมพันธ์กับหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงและโจวอี้แห่งสำนักอาชาหลวง ใต้เท้าหวังผู้นี้ก็ยิ่งไม่อาจล่วงเกิน
ขันทีผู้นั้นนำหวังทงมาด้วยท่าทางนอบน้อมตลอดทาง ไม่กล้าชักช้า พอเข้าสู่วังหลวง ก็ยังมีอีกหลายคนเข้ามารับ นี่เป็นธรรมเนียม คนที่มารับก็มีท่าทีนอบน้อมเช่นกัน ไม่ว่าหวังทงถามก็อะไรก็ต้องตอบทุกคำถาม
“เมื่อก่อนท่านจางยังอยู่ การประชุมล้วนจัดที่หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ ตอนนี้ทำไมเปลี่ยนเป็นแบบเดิม ย้ายไปประชุมที่เฟิ่งเทียนเหมิน[1]ล่ะ”
ได้ยินขันทีเล่า หวังทงก็เข้าใจ นี่คือการออกว่าราชการหน้าพระที่นั่ง แต่ก็งงอยู่ว่าทรงให้เข้าเฝ้าด้วยเรื่องอันใด ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรมีสถานะเข้าประชุมได้ และยังยืนอยู่หน้าแถวของขุนนางบู๊ทั้งมวล แต่ตนเองเป็นแค่รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ไม่มีสถานะพอ
ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นสูงนัก เวลายังเช้าอยู่ เห็นชัด ๆ ว่ายังประชุมอยู่ ให้ตนเองไปด้วยกิจอันใด ตอนถามคำถามขันทีนำทางกลับตอบว่า
“การประชุมเริ่มได้ครึ่งชั่วยาม ฝ่าบาทก็มีราชโองการ ข้าน้อยแค่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่รู้อันใดทั้งสิ้น”
**********
การออกว่าราชการหน้าพระที่นั่งเป็นธรรมเนียมที่มาแต่สมัยฮ่องเต้จูตี้ (หมิงเฉิงจู่) กล่าวคืออยู่หน้าประตูเฟิ่งเทียนเหมินฟังกราบทูลฎีกาจากบรรดาขุนนาง แต่ไม่อาจอยู่กลางแจ้งเช่นนี้ได้ทั้งปี บางคราก็ประชุมกันอยู่ในที่พระที่นั่งข้างประตูเฟิ่งเทียนเหมิน ที่นี่ใหญ่กว่าหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อมาก
ยามนี้ยังเป็นเดือนหนึ่ง ไม่เพียงแต่อากาศหนาวหิมะปกคลุม อากาศหนาวยังไม่คลาย พระที่นั่งข้างจุดเตาผิงไฟพร้อมถ่านผงเงิน[2] อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ
“กระหม่อมหวังทงถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
“เจ้ามาถึงเมืองหลวงเมื่อคืนสินะ? รีบลุกขึ้น!”
ฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงนิ่งเรียบ ฟังไม่ออกว่าทรงกริ้วหรือดีพระทัย หวังทงขอบพระทัยเสร็จก็ยืนขึ้น ขณะลุกขึ้นก็ถือโอกาสกวาดตามองไปรอบๆ เป็นครั้งแรกที่หวังทงเข้าร่วมในการประชุมที่คนมาเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งอยู่สีพระพักตร์ไม่ดีนัก พวกจางเฉิงก็อยู่ในชุดขันทีสีแดงลายงูใหญ่ยืนอยู่ข้างฮ่องเต้ซ้ายขวา ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรวัยกลางคนยืนอยู่ด้านขวาคนแรกของฮ่องเต้ว่านลี่ ทางด้านซ้ายมีผู้หนึ่งนั่งอยู่บนแท่นศิลาสีหน้าเรียบเฉย คนที่เหลือล้วนเป็นขุนนางระดับสามขึ้นไป สีหน้าเคร่งเครียดกันหมด
หวังทงรู้จักแค่ฮ่องเต้ว่านลี่และก็จางเฉิง ที่เหลือก็พอเดาลั่วซือกงได้ ด้านซ้ายคนแรกก็ย่อมเป็นมหาอำมาตย์เซินสือหัง ได้รับพระราชทานที่นั่งต่อหน้าพระพักตร์
“หวังทง วันนี้พอออกว่าราชการ เรื่องก็ไม่มีอันใดจะหารือ แต่มากล่าวถึงเรื่องเจ้าเมื่อว่าที่ประตูตงจื๋อเหมินจับคน บอกว่าเจ้าเหิมเกริมวางอำนาจ บอกว่าเจ้าใช้อำนาจตามอำเภอใจเพราะเราให้ท้ายเจ้า เรื่องเช่นนี้ฟังแต่พวกเขาพูดก็ไม่ยุติธรรมนัก เจ้าเป็นเจ้าต้นเรื่อง ก็ควรมาอธิบายสักหน่อย!”
พระดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่เห็นได้ชัดว่าทรงเจตนาปกป้องอย่างมาก นอกจาสีหน้าเซินสือหังที่นิ่งแล้ว ที่เหลือล้วนมีสีหน้าดำคล้ำลงหลายส่วน
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอถามหวังทง”
“หวังทง นี่คือเสนาบดีกรมโยธาหยางเหว่ย เจ้าตอบตามตรง ห้ามปิดบัง”
หวังทงรับคำ หยางเหว่ยชื่อนี้หวังทงคุ้นหูอยู่ เป็นคนสนิทคนหนึ่งของจางซื่อเหวย และยังมีสายสัมพันธ์บ้านเดียวกับจางซื่อเหวย เขาออกมาถามเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ
“หวังทง เจ้าเป็นทหารองครักษ์เสื้อแพร ไม่รู้หรือว่าคำสั่งบรรพชนฮ่องเต้ ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด!”
“ข้าน้อยรู้”
“ในเมื่อเจ้ารู้ เมื่อวานเหตุใดจึงเหิมเกริมจับกุมคนที่หน้าประตูเล่า ในนั้นมีขุนนาง 12 คนจากสำนักตรวจสอบ และหน่วยงานอื่นอีก 16 คน ยังมีขุนนางจากสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วนและสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนอีก 10 กว่าคน พวกเขาแค่กล่าวไม่กี่คำ เจ้ากวาดจับทุกคนเข้าคุกไปหมด นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด เจ้าเอาคำสั่งบรรพชนฮ่องเต้ไปไว้ที่ไหนเสียเล่า!!”
“ใต้เท้าหยาง ข้าน้อยรู้ว่าขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด แต่ควรรู้ว่า เรื่องพวกนี้ควรทูลเกล้าผ่านกรมฎีกา ฎีกาตำหนิการบริหารแผ่นดิน ล้วนได้รับการยกเว้นเอาผิด แต่เมื่อคืนนอกประตูเมืองพวกนั้นนับร้อยคนตะโกนไม่หยุด บอกว่าเงินก้อนจินฮวาที่ข้านำส่งเข้าวังเป็นเลือดเนื้อหยาดเหงื่อประชา เป็นข้าขูดรีดมา ประตูตงจื๋อเหมินแต่ละวันมีคนผ่านไปมานับหมื่น ทุกคนได้ยินกันเข้า พระเกียรติฝ่าบาทใช่ว่าถูกทำลายสิ้นงั้นหรือ ข้าเป็นขุนนางในพระองค์ จะให้นั่งทนดูพวกคนชั่วร่ายทำลายพระเกียรติฝ่าบาทงั้นหรือ ทำลายเกียรติแห่งราชวงศ์งั้นหรือ ข้าเป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรมีหน้าที่ปกป้องความปลอดภัยฝ่าบาท ปกป้องพระเกียรติฝ่าบาท ดังนั้นจึงสั่งการให้จับกุมคนเหล่านั้น”
ขุนนางบู๊ส่วนใหญ่จะมีวาจามีหลักการและพูดจาฉาดฉานนั้นมีไม่มาก หวังทงเป็นหนึ่งในนั้น หยางเหว่ยอยู่ไกลจากเมืองหลวงมานาน เป็นเสนาบดีกรมอากรอยู่หนานจิง ไม่ค่อยรู้เรื่องหวังทงนัก เดิมคิดว่าอ้างบรรพชนฮ่องเต้มาตำหนิ ย่อมทำให้ขุนนางบู๊ไปไม่เป็น คิดไม่ถึงว่าจะถูกหวังทงใช้เหตุผลตีโต้กลับต่อหน้าที่ประชุมเช่นนี้
อึ้งกริบไปทันที หยางเหว่ยถึงกับนิ่งค้างอยู่กับที่นานไม่อาจกล่าวอันใดออกมาได้ ในที่ประชุมเงียบกริบ หากฮ่องเต้ว่านลี่กลับทรงพระสรวลดังขึ้นทำลายความเงียบ ได้ยินรับสั่งว่า
“ขุนนางหวังจงรักภักดียิ่ง รู้จักปกป้องพระเกียรติเรา มีความชอบไร้ความผิด ไม่ควรลงโทษ ควรให้รางวัลความชอบ!”
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูล!”
เห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดี ขุนนางที่ยืนอยู่หน้าหยางเหว่ยก้าวออกมากราบทูล ฮ่องเต้ว่านลี่หรี่พระเนตร พยักพระพักตร์ตรัสว่า
“ที่แท้เป็นขุนนางพานแห่งกรมอาญา พานจี้สวิ้น เจ้ามีข้อสงสัยอันใดจะถาม?”
ปกติในการประชุม จะเรียกขานแค่ขุนนางพาน แต่ครั้งนี้กลับทรงเรียกชื่อเต็ม ในที่นั้นต่างสบตากัน สีหน้ายิ่งย่ำแย่ เห็นชัดว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงแนะนำให้หวังทงรู้จัก สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้การแล้ว
“ฝ่าบาท พฤติกรรมและวาจาหวังทงอาจดูมีเหตุผล แต่เห็นชัดว่าคนผู้นี้วางอำนาจบาตรใหญ่ องครักษ์เสื้อแพรมีอำนาจมาก สามารถสืบคดีได้ทุกแห่ง ทำให้ใต้หล้าไม่กล้าต่อกรกล่าวอันใด ความชั่วร้ายเช่นนี้ เคยมีปรากฏในประวัติศาสตร์ พฤติกรรมและวาจาหวังทงอาจดูมีเหตุผล แต่ก็ต้องตำหนิ ยับยั้งคนชั่วไม่ให้หาช่องโหว่จากเหตุผลมาทำตามอำเภอใจพะยะค่ะ”
“หวังทง เสนาบดีพานบอกว่าที่เจ้าเป็นการกระทำตามอำเภอใจ เจ้ามีอันใดจะกล่าวไหม!?”
ได้ยินรับสั่งฮ่องเต้ว่านลี่ หวังทงก้มกายถวายบังคมหันไปทางพานจี้สวิ้น กล่าวว่า
“ใต้เท้าพานที่บ้านก็กฎบ้าน แผ่นดินก็มีกฎแผ่นดิน กฎแผ่นดินหมิงเป็นที่กำหนดมาแต่บรรพชน มีกฎหมายอ้างอิงก็ย่อมปฏิบัติตาม องครักษ์เสื้อแพรเดิมก็มีหน้าที่ดำเนินคดีอยู่ มีคนทำผิด ก็ต้องลงโทษตามกฎหมาย ไม่จับไปดำเนินคดี ก็จะเป็นการขัดต่อกฎระเบียบแผ่นดินหมิง เป็นการไม่ทำหน้าที่องครักษ์เสื้อแพร ข้าทำหน้าที่แข็งขัน ปฏิบัติตามกฎ ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ไม่มีอันใดผิด เรียกว่าการกระทำตามอำเภอใจได้อย่างไร นอกจากนี้ ในเมื่อข้าทำถูกแล้ว ไยต้องถูกตำหนิด้วย หรือว่าวันหน้าองครักษ์เสื้อแพรหรือมือปราบใต้หล้าต้องลงมือทำคดีจับคนชั่วมาลงโทษ หรือเห็นคนกำลังก่อการร้ายก็ให้ชักดาบนั่งรอดูงั้นหรือ?”
“นี่มัน……ข้ายังไม่ได้บอกว่า พวกเขาห้ามทำหน้าที่!”
“เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงเป็นคนชั่วที่ทำตามอำเภอใจเล่า คนอื่นๆ ก็ทำเหมือนกัน หรือว่าข้าทำหน้าที่ก็เป็นการกระทำของคนชั่วรึ?”
เสนาบดีพานจี้สวิ้นแห่งกรมอาญาตาโตเบิกจ้อง ใบหน้าแดงก่ำ ยกสองมือขึ้นก่อนทิ้งลง กล่าวน้ำเสียงแหบแห้งว่า
“วาจาร้อยลิ้น เจ้า……เจ้าก็แค่ขุดหลุมล่อบรรดาบัณฑิต ให้พวกเขาเกิดโทสะวิพากษ์วิจารณ์ เจ้าอาศัยจังหวะจับกุม……”
“ใต้เท้าพานเป็นเสนาบดีกรมอาญา ไยจึงกล่าวเช่นนี้ เมื่อวานจับกุมผู้ล่วงเกินเบื้องสูง มีทั้งปากคำและพยาน ล้วนมีลายนิ้วมือประทับพร้อม ในนี้ยังมีทหารศาลอาญาใหญ่เป็นพยานด้วย ข้าเข้าเมืองมารับตำแหน่ง อารักขาเงินก้อนจินฮวามาส่งเข้าวัง ก็เป็นงานที่ทำปกติเท่านั้น เรียกว่าล่อหลอกขุดหลุมได้อย่างไร……”
วาจานี้โต้กลับชัดๆ ว่าพานจี้สวิ้นยังมีคุณสมบัติพอจะเป็นเสนาบดีกรมอาญาหรือไม่ พานจี้สวิ้นติดอ่างพูดไม่ออก ข้างๆ มีคนคิดจะพูด แต่พานจี้สวิ้นกลับร้อนใจอย่างมากกล่าวว่า
“เงินก้อนจินฮวาจากเทียนจินส่งเข้าวังทุกเดือนก็แค่แสนกว่าตำลึง เหตุใดปีนี้ครั้งเดียวก็เอามาถึงล้านกว่าตำลึง นี่ไม่ใช่ขุดหลุมพรางล่อแล้วคืออันใด!?”
ได้ยินคำถามไร้เหตุผลเช่นนี้ หลายคนในที่นั่นพากันถอนหายใจ หวังทงยิ้มก้มตัวลงกล่าวว่า
“ในวังต้องการให้เทียนจินนำส่งเงินก้อนจินฮวาทั้งหมดในเดือนหนึ่ง ข้าก็ปฏิบัติ ใต้เท้าพานว่าเป็นหลุมพราง ข้าก็ไม่อาจรู้ได้แล้ว!?”
“จางปั้นปั้น มีเรื่องนี้ไหม?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงตรัสถาม จางเฉิงด้านหลังก้มกายถวายบังคมกราบทูลว่า
“ทูลฝ่าบาท เป็นเช่นนี้พะยะค่ะ ในวังปีก่อนเกิดเหตุไฟไหม้ พระตำหนักหลายแห่งถูกทำลาย ซ่อมแซมต้องใช้เงินมาก ปีนี้ในวังกว่าจะได้เงินก้อนจินฮวาก็ต้องเดือนสาม พวกกระหม่อมจึงหารือให้ทางเทียนจินส่งของทั้งปีมาก่อน สำนักส่วนพระองค์เคยได้แจ้งกับคณะเสนาบดีใหญ่แล้วด้วยพะยะค่ะ”
สายตาทุกคนจ้องมองไปยังเซินสือหัง เซินสือหังลุกขึ้นถวายบังคมกราบทูลตามว่า
“กระหม่อมได้รับเรื่องจากสำนักส่วนพระองค์และสำนักอาชาหลวงมาพะยะค่ะ ตอนนั้นคิดว่าเป็นเรื่องในวัง จึงไม่ได้กล่าวออกไป ดังนั้นจึงไม่ได้แจ้งบรรดาขุนนางทั้งหลาย คิดไม่ถึงว่ามีเหตุเข้าใจผิดเช่นวันนี้ได้ นี่เป็นความผิดกระหม่อม ขอฝ่าบาททรงลงอาญาด้วยพะยะค่ะ”
“อำมาตย์เซินไม่มีความผิดอันใด เราต้องการใช้เงิน กรมอากรหาไม่ได้ ยังต้องให้เทียนจินหามา นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดออกไป เจ้าทำได้ถูกต้องแล้ว ขุนนางพาน มีข้อสงสัยอันใดอีกหรือไม่?”
เสนาบดีหกกรมและขุนนางหน่วยงานต่างๆ มีทั้งที่เป็นพวกจางซื่อเหวย หรือที่จางซื่อเหวยส่งเสริมมา แต่เซินสือหังนั้นไม่ใช่ พอเขากล่าวจบ ในที่นั้นทุกคนผู้ใดยังไม่เข้าใจ เสนาบดีพานจี้สวิ้นสีหน้าซีดขาวแล้วขาวอีกหลายครา ในที่สุดก็สงบลงได้ก้มตัวลงทูลว่า
“กระหม่อมไม่มีอันใดถามแล้วพะยะค่ะ”
เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิงกระแอมไอขึ้น ก้าวออกมาถวายคำนับกราบทูลว่า
“ฝ่าบาท หวังทงมาดำรงรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ไม่ทราบว่าแบ่งหน้าที่อันใดให้พะยะค่ะ?”
———————-
[1] ในสมัยต่อมาเรียกว่าประตูไท่เหอเหมิน เป็นประตูหน้าและประตูที่ใหญ่ที่สุดของวังหลวง เป็นที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการหน้าพระที่นั่งไท่เหอเตี้ยน ขุนนางจะยืนอยู่กลางลานด้านหน้าระหว่างประตูและพระที่นั่ง
[2] ถ่านชนิดพิเศษในสมัยโบราณ มีความร้อนนาน