Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 667

ตอนที่ 667 ขุนนางใหม่รับตำแหน่ง

อ๋องลู่ไปดำรงบรรดาศักดิ์อ๋องที่เมืองเว่ยฮุย เรื่องนี้ทุกคนเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้ ในวังเกิดเหตุใหญ่ ก็รีบขับอ๋องลู่ออกไปนอกวังดำรงบรรดาศักดิ์ที่ควรกระทำนานแล้ว

ตระกูลหย่งเซิ่งป๋อที่เป็นพ่อตาของอ๋องลู่เมื่อก่อนเพราะไปสบคบพวกมองโกลนอกด่านถูกจับได้ คนสนิทอ๋องลู่ประจำสำนักอาชาหลวงอย่างหลินซูลู่ก็ป่วยตายในวัง พระชายาอ๋องลู่ก็เป็นเพียงตระกูลบัณฑิตเล็กๆ ในเมืองหลวง

พวกโจรลัทธิไตรสุริยันก่อการร้าย ในวังจบเรื่องแล้วก็เพียงบอกว่าจัดการเรียบร้อย บรรดาขุนนางมีความชอบก็ได้พระราชทานรางวัลกันไป แต่ไม่บอกว่าผู้ใดคือหัวหน้าใหญ่ และไม่บอกว่าเกี่ยวพันกับผู้ใดบ้าง ทุกคนล้วนรู้ว่าในวังมีจุดที่ไม่อาจแตะต้องได้ แต่มองแล้วก็คิดว่าน่าจะเกี่ยวพันกับอ๋องลู่ ผู้ใดเดาไม่ออกกันบ้างเล่า?

นิสัยสวีกว่างกั๋วเหมาะแก่การทำเรื่องลับๆ เขาเองย่อมรู้ความนัยในเรื่องนี้ก่อนหน้าแล้ว และก็พอเดาได้แล้ว แต่เรื่องของราชวงศ์ นำมาคิดเล่นๆ แก้เหงาก็ได้อยู่ หากพัวพันเข้าไปแล้ว สวีกว่างกั๋วย่อมเข้าใจถึงภัยเสี่ยงนี้ดี

ถามก่อนว่าอ๋องมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ผู้ว่าในพื้นที่ควรจัดการเช่นไร จากนั้นก็ถามเองตอบเองว่านำกำลังไปปิดล้อมจวนอ๋อง จากนั้นก็ให้ตนเองไปดำรงตำแหน่งที่เมืองเว่ยฮุยมณฑลเหอหนาน การกระหน่ำกระหนาบเขาก่อนหน้ากับการบอกเป็นนัยอย่างไม่ปิดบังนี้ยังมีอันใดไม่กระจ่างได้อีกหรือ

ในห้องไม่อาจกล่าวได้ว่าอบอุ่นเพียงใด หากสวีกว่างกั๋วตอนนี้เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก หวังทงเองก็ไม่เร่งเร้า ยิ้มรออยู่ที่เดิม สวีกว่างกั๋วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า

“แม้ได้เป็นจิ้นซื่อ วันหน้าก็ใช่ว่าจะได้ไปดำรงตำแหน่งนี้ที่เมืองเว่ยฮุย คิดดูให้ดีแล้ว ไม่สู้ใจกล้าไปเป็นก็แล้วกัน ใต้เท้า ข้าน้อยขอบังอาจถามสักหน่อย ครอบครัวข้าน้อยจะเกี่ยวข้องไปด้วยหรือไม่!”

วาจาถามได้ไร้สมองมาก แต่หวังทงฟังก็เข้าใจ พยักหน้ากล่าวว่า

“หากเกิดเรื่องจริง ครอบครัวเจ้าปลอดภัย”

“เช่นนั้นก็ขอบคุณใต้เท้าแล้ว ข้าน้อยจะทำหน้าที่ให้ดี ครอบครัวย่อมเรืองอำนาจวาสนา หากทำได้ไม่ดี ก็มีใต้เท้ารองรับ เช่นนั้นก็ขอบคุณใต้เท้าแล้ว!”

พอกล่าวจบ สวีกว่างกั๋วก็คุกเข่าโขกศีรษะอย่างแรง ตอนลุกขึ้นอีกครั้งก็ดูผ่อนคลายนอบน้อมขึ้นมาก ยิ้มกล่าวว่า

“วันนั้นพวกเขามาพบข้าน้อย พอพูดถึงจิ้นซื่อ ก็ทำเอาข้าน้อยหน้ามืดตามัว คิดไม่ถึงว่าติดตามใต้เท้าหวังจะมีอนาคตเพียงนี้”

บอกว่าเสี่ยงภัย แต่อ๋องลู่ตอนนี้คงยังก่อเรื่องไม่ได้ ขอเพียงสวีกว่างกั๋วดำรงตำแหน่งผู้ว่านี้ไปอย่างราบรื่นสองสามปี กลับมาย่อมมีอนาคตไกล อย่างไรก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามพระประสงค์

“ใต้เท้า ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวแม้ระดับขุนนางต่ำต้อย แต่ก็มีคนมาก วาจาวิพากษ์วิจารณ์ใต้หล้าล้วนถูกพวกนี้ควบคุมไว้ ใต้เท้าอย่าได้มองข้ามไป ครั้งสองครั้ง บางทีใต้เท้าอาจได้รับพระเมตตาปกป้องจากฝ่าบาท แต่ใต้เท้าอย่างไรคงเคยได้ยินว่าวาจาฝูงชนหนักดังทอง สะสมพอกพูนหนักยิ่ง หากไม่รับมือให้ดี ย่อมต้องสร้างความยุ่งยากตามมา!”

เห็นหวังทงไม่ค่อยสนใจเท่าไร สวีกว่างกั๋วก็นิ่งไป ก่อนจะเปลี่ยนใหม่กล่าวว่า

“ใต้เท้าไม่ในใจ พวกข้าน้อยลูกน้องใต้เท้ามากมายยังต้องอาศัยใต้เท้าดูแล ขอใต้เท้าระวังด้วย!”

หวังทงหัวเราะดังลั่น โบกมืออย่างไม่ยี่หระ กล่าวว่า

“ขุนนางบัณฑิตชิงหลิว ขุนนางบัณฑิตชิงหลิว หากทำงานซื่อสัตย์จริง ข้ายังไว้หน้าอยู่บ้าง เช่นหลี่ซานไฉนี้ ข้าย่อมต้องมีวิธีจัดการคนเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องกังวล!”

เห็นหวังทงกล่าวกับตนเองเช่นนี้ สวีกว่างกั๋วก็ไม่กล่าวอันใดต่อ ได้แต่ถอนหายใจ ใต้เท้าหวังมาเมืองหลวงได้ไม่นาน ไปมาหาสู่กับพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวก็ไม่นาน ไม่รู้ว่าพวกนี้ยุ่งยากรับมือเพียงใด สักวันหนึ่งคงได้รู้ด้วยตนเองเสียที

สวีกว่างกั๋วเริ่มมองตนเองเป็นเหมือนคนในครอบครัวหวังทงไปอย่างไม่ทันรู้ตัว คิดถึงผลดีผลร้ายเสร็จสรรพ

***********

มารับตำแหน่งเมืองหลวง มีข้อโต้แย้งกับบรรดาขุนนางในราชสำนัก กระหนาบสวีกว่างกั๋ว จัดการเรื่องที่ฮ่องเต้ว่านลี่ให้หาคนไปทำได้ วันๆ หวังทงไม่ได้ว่างเว้นจากการงาน

แต่เขาก็ได้รับรู้เรื่องที่เมืองหลวงล้วนสนใจเขา การกระทำของเขาล้วนมีคนจับตาดูมากมาย วันที่ 4 เดือนสอง ข่าวที่ทุกคนได้มาก็คือหวังทงส่งคนไปเทียนจินทำงานสองสามคน ไม่รู้เรื่องใหญ่อันใด ไม่มีคนสนใจต่อ

ตั้งแต่มีขุนนางบัณฑิตชิงหลิว 30 กว่าคนมีโทษลบหลู่เบื้องสูง ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเมืองหลวงก็สงบปากลงมาก แม้ว่าหวังทงมีเรื่องให้พวกเขาเอาผิดมากมาย แต่วิธีการหวังทงทำให้พวกเขากลัว ไม่มีผู้ใดกล้าหาเรื่องต่อ

บรรดาขุนนางใหญ่ที่ไม่เป็นมิตรกับหวังทงก็ไม่เคลื่อนไหว ถึงกับห้ามไม่ให้คนของตนเคลื่อนไหว ให้หวังทงหาเรื่องลำบากตัวเองไป

หวังทงไปฝึกทหารใหม่ คุมวินัยทหาร ลาดตระเวนสืบคดี ล้วนแต่เป็นงานที่ทำให้ตนเองลำบากเองทั้งสิ้น ไม่ต้องทำอันใด รอให้หวังทงทำงาน ให้เขาขายหน้า ถึงตอนนั้นค่อยยื่นฎีกา ค่อยให้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่โปรดปรานไปเอง ถึงตอนนั้นค่อยหาทางจัดการก็ได้

วันที่ 7 เดือนสอง หวังทงในชุดขุนนางบู๊ระดับสามคอกลมหมวกแพร ขี่ม้าออกจากบ้าน วันนี้เขาไปทำงานที่สำนักองครักษ์เสื้อแพรวันแรก

ที่พักหวังทงห่างจากสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่ไกลนัก ขี่ม้าไปใช้เวลาระยะหนึ่ง ตำแหน่งรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเป็นขุนนางบู๊ระดับสาม เป็นตำแหน่งสำคัญในเมืองหลวง ย่อมไม่อาจทำอะไรลวกๆ ถานเจียงนำกำลังทหารในชุดมัจฉาเวหาองครักษ์เสื้อแพรเพิ่ม 10 นายอารักขาไป

ตลอดทาง 20 กว่านายขี่ม้ามาอย่างยิ่งใหญ่ ราษฎรตามทางก็หลีกทางให้ ใกล้เบื้องพระบำทเช่นเมืองหลวงนี้ ย่อมไม่เหมือนเทียนจิน วิ่งผ่านถนนมาสองสาย แม้มีคนหลีกทางให้ แต่สายตาที่มองคนกลุ่มนี้ย่อมไม่เหมือนกัน ยังมีคนแอบหันไปสุมหัวหัวเราะกัน

ถนนเมืองหลวงคนมาก รถมาก ม้ามาก หวังทงก็ไม่กล้าตะบึงม้าไป ย่อมสังเกตเห็นปฏิกิริยาราษฎรสองข้างทาง ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนหวาดกลัว ราวกับกำลังหัวเราะเยาะ

ไปรับตำแหน่งก็เป็นงานสำคัญ หวังทงย่อมไม่เสียเวลาระหว่างทาง แต่ก็ออกคำสั่งให้ทหารอารักขานายหนึ่งออกไปสอบถาม ตนเองล่วงหน้าไปก่อน

ขณะยังเดินทางอยู่ ทหารที่ให้ไปสอบถามก็ตามมาทัน ทหารผู้นี้ก็ฉลาด ไม่ลงจากม้ามาถาม กลับไปหาที่ลับตาผูกม้าไว้ จากนั้นถอดชุดมัจฉาเวหาออก สวมชุดธรรมดา ราษฎรข้างทางย่อมไม่ทันสังเกตว่าเป็นผู้ใด พอถูกหลอกถามก็เล่าหมด

“พวกเขาว่าอย่างไร เจ้าบอกมาตามนั้น! ข้าส่งเจ้าไปถาม หรือว่าไม่กล้าจะฟัง!”

ได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ ทหารที่สอบถามมาจึงได้เล่าว่า

“ถามคนหนึ่งมาว่า ใต้เท้าประหลาด แต่งกายชุดขุนนางใหญ่ก็เหมือนเล่นงิ้ว?”

พอกล่าวเช่นนี้ หวังทงก็ผ่อนม้าช้าลง สนใจถามขึ้น

“อย่างไร?”

เห็นหวังทงไม่โมโห ก็วางใจ อธิบายต่อว่า

“บอกว่า ในเมื่อใต้เท้าสวมชุดขุนนางคอกลมพร้อมหมวกแพรดำแบบขุนนางบุ๋นก็ย่อมต้องนั่งเกี้ยว แต่ใต้เท้าสวมชุดขุนนางเช่นนี้ขี่ม้า และยังมีทหารอารักขา ทำเหมือนมือปราบศาลซุ่นเทียน”

หวังทงอึ้งไป หลุดหัวเราะออกมาถามขึ้น

“พวกเขาไม่รู้หรือว่าข้าเป็นขุนนางบู๊? ขุนนางบู๊ไม่ขี่ม้าไปนั่งเกี้ยว เสียภาพลักษณ์หมด?”

ทหารที่ไปถามผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ได้สุดความสามารถ ได้ยินก็เกาหัวแกรกๆ กล่าวว่า

“ข้าน้อยเองก็ถามมา ข้างๆ มีคนบอกว่าเมืองหลวงนี้อย่างไรต้องให้เกียรติ ตำแหน่งขุนนางใดก็ต้องแต่งตามนั้น แต่งแบบไหนก็ต้องให้เกียรติตามนั้น หากผิดไปจากนี้ ก็ย่อมถูกคนหัวเราะเยาะเอา”

ทุกคนผ่อนม้าช้าลง ถานเจียงฟังอยู่เช่นกัน พอได้ฟัง เขาก็มองสีหน้านิ่งเฉยของหวังทง ยังคิดว่าหวังทงไม่พอใจ จึงได้ อธิบายว่า

“นายท่านไม่ต้องไปสนใจวาจาไร้สาระพวกนี้ เมืองหลวงเน้นเรื่องหน้ำตา ภายนอกทำให้ดี ภายในอย่างไรไม่มีคนสนใจ”

ถานเจียงกล่าวจบ หวังทงก็ดึงบังเหียนม้า ทุกคนก็หยุดตาม ยังคิดว่าหวังทงจะโมโห หรือไม่ก็จะแต่งตัวให้เหมาะตามตำแหน่ง ก็ไม่ยาก ก็แค่แจ้งให้หน่วยงานทราบ

ถูกทุกคนมองมา หวังทงก็เงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า

“ราษฎรผู้นั้นกล่าวไม่ผิด ทำงานอันใดก็ควรแต่งกายเช่นนั้น เราเป็นทหารองครักษ์เสื้อแพร ข้าสวมชุดขุนนางคอกลมพร้อมหมวกแพรดำ ดูแล้วเหมือนขุนนางบุ๋น ย่อมต้องโดนหัวเราะเยาะ พวกเจ้าสวมชุดมัจฉาเวหาครั้งแรก ดูแล้วก็ขัดๆ”

ทุกคนมองกันไปมา ก่อนจะหัวเราะฮาลั่นพร้อมกัน ตอนอยู่เทียนจินแต่งกายแบบชุดต่อสู้บ้างหรือสวมเกราะบ้าง มาแต่แบบมัจฉาเวหานี้ทำเอาดูขัดตาไปบ้างจริงๆ

“กลับไปเปลี่ยนชุดเกราะกันก่อน ฝึกทหารใหม่ คุมวินัยทหาร ข้าจะต้องทำให้พวกเขาได้ประจักษ์กันก่อน!!”

************

ที่ปรึกษาลั่วซือกงหลายคนถูกเขาให้ออก แม้ว่ามีคนข่มขู่เขาว่าจะเปิดโปงเรื่องเมื่อก่อน แต่ลั่วซือกงกลับไม่สนใจ วันที่ที่เห็นในพระที่นั่งข้างมา ทำให้ลั่วซือกงเข้าใจกระจ่างยิ่ง ตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนที่จางจวีเจิ้งยังอยู่ ทุกอย่างตอนนี้อยู่ที่ฮ่องเต้ว่านลี่พระองค์เดียวแล้ว

ในเมื่อฮ่องเต้ว่านลี่โปรดปรานหวังทง เช่นนั้นคนก็ทำตามก็แล้วกัน ไม่ต้องไปสนใจคนอื่น ตระกูลลั่วเป็นองครักษ์เสื้อแพรมาตั้งเท่าไร ส่งต่อมารุ่นสู่รุ่น อาศัยว่าไม่เคยตัดสินใจผิดพลาด ลั่วซือกงตอนนี้งงอยู่เรื่อง เหตุใดฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงแต่งตั้งหวังทงเป็นผู้บัญชาการไปเสียเลย ยังให้หวังทงทำงานลำบากพวกนั้นอีก

วันนี้รู้ว่าหวังทงจะมา ลั่วซือกงก็ออกจากบ้านมาแต่เช้า นายกองร้อยของแต่ละหน่วยงานในสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็มารอรับกันพร้อมหน้า เหลือก็แค่รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรอีกท่าน และยังมีผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรอีกสองที่ไม่เห็นหน้า

ออกมารอรับได้ชั่วยามแล้ว เดิมคิดว่ารอไม่นานก็มา คิดไม่ถึงว่ารอจนเกือบเที่ยง ยังไม่เห็นแม้เงา ลั่วซือกงอดไม่ได้มองไปตามทางที่จะมา เขาส่งคนไปดู ตอนนี้ยังไม่กลับมา ลั่วซือกงร้อนใจ คนที่เหลือก็ย่อมด่าในใจ

“เหมือนพื้นดินสะเทือน……”

“เจ้ารอนานจนหน้ามืดแล้ว……ไม่สิ……เหมือนว่าแผ่นดินไหว……”

พื้นแผ่นดินไหวจริง ปากทางที่ทำการมีขบวนม้าปรากฏขึ้น ม้า 20 กว่าเรียงหน้ามาอย่างเป็นระเบียบ พระอาทิตย์ยามเที่ยงสาดส่อง เกราะทหารม้าส่องประกายแวววับจับตา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version