Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 664

ตอนที่ 664 หาเรื่องใส่ตัว

เสนาบดีกรมปกครองมีสิทธิ์ตัดสินเลื่อนขั้นของขุนนางระดับห้าในเมืองหลวงลงไปและระดับสี่นอกเมืองหลวงลงไป

ขุนนางที่ระดับขั้นสูงจะตัดสินโดยเสนาบดีกรมปกครองนำหกกรมประชุมหารือ ระบบขุนนางแผ่นดินหมิงนี้จึงมีอำนาจอย่างมาก เสนาบดีกรมปกครองทั่วไปได้รับการขนานนามว่า ไท่ไจ่

ตั้งแต่รัชสมัยเจียจิ้งมา ผู้เป็นเสนาบดีกรมปกครองจะต้องได้เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ ยิ่งทำให้ตำแหน่งมั่นคงยิ่งใหญ่อีกขั้น เหยียนชิงที่ก้าวจากเสนาบดีกรมอาญามาเป็นเสนาบดีกรมปกครอง ตอนนี้จางซื่อเหวยไม่อยู่แล้ว ก็เหมือนได้กลายเป็นหัวหน้าของพรรคพวกจางซื่อเหวยไปโดยปริยาย

กรมโยธาและกรมอาญาทั้งสองผลัดกันออกมาไล่สอบหวังทง กลับถูกหวังทงใช้หลักการโต้กลับไปจนไม่อาจกล่าวอันใดได้ สถานการณ์น่าอึดอัดยิ่ง เหยียนชิงกลับเอ่ยขึ้น

เหยียนชิงเอ่ยขึ้น ที่ถามกลับไม่ใช่การกระทำเมื่อวานของหวังทง หากเป็นวันหน้าให้หวังทงรับหน้าที่อันใดในสำนักองครักษ์เสื้อแพร ทุกคนพากันอึ้งไป แต่คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนปัญญาไม่ธรรมดา เข้าใจเจตนาของเหยียนชิงในทันที คิดว่าเรื่องเมื่อวานจะมาหาจุดอ่อนเอาเรื่องหวังทงคงไม่ได้แล้ว คิดจะมาอวดบารมีข่มหวังทง กลับถูกหวังทงจัดการกลับมาเสียได้

หลังจากเรื่องนี้ไป ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเมืองหลวงคิดจะหาเรื่อง เกรงว่าคงต้องคิดถึงความร้ายกาจของหวังทงเสียก่อน หากดึงดันต่อไปคงได้แต่หาเรื่องลบหลู่ตนเอง ไม่สู้เปลี่ยนประเด็นไปไกลอีกหน่อย ขวางหวังทงไม่ให้เข้าเมืองหลวงคงไม่ได้แล้ว ลำดับถัดมาต้องจำกัดอำนาจหวังทงในเมืองหลวงว่าให้รับหน้าที่อะไรจะดีกว่า

เสนาบดีกรมปกครองดูแลคน แม้ว่ารองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรไม่อยู่ในการควบคุมของเขา แต่ในฐานะขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่ ถามเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่

บรรยากาศอึดอัดหน้าพระที่นั่งเริ่มผ่อนคลายลง เสนาบดีพานจี้สวิ้นแห่งกรมอาญาที่ไม่มีอันใดจะกล่าวก็ได้แต่ถอยกลับเข้าที่ ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยินก็ขมวดพระขนง ยังไม่ทรงเข้าใจเจตนาของเหยียนชิง แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่สนพระทัย แย้มสรวลตรัสถามขึ้นว่า

“ลั่วซือกง เจ้าเป็นหัวหน้าของหวังทง เจ้าจัดการมอบหมายอย่างไร?”

สายตาทุกครู่ไปรวมกันอยู่ที่ลั่วซือกง สีหน้าลั่วซือกงเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์คุณธรรมใหญ่ หันไปถวายบังคมฮ่องเต้ว่านลี่ทูลว่า

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมยังไม่ได้จัดการ หวังทงต่างจากคนอื่น กระหม่อมกะว่าพรุ่งนี้บ่ายจะไปพบหวังทง ถามดูว่าเขาอยากมาทำอันใดที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร”

ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ขุนนางทุกคนในห้องก็สีหน้าแปรเปลี่ยน ลั่วซือกงท่าทีเช่นนี้ก็เท่ากับโขกศีรษะให้หวังทงไปเรียบร้อยแล้ว ลั่วซือกงทูลเสร็จ ก็ยิ้มร่าหันไปถามว่า

“ไม่ทราบว่าใต้เท้าหวังอยากทำหน้าที่อันใด!?”

“เหลวไหล รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรมีสองคน ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรอีกสองคน แต่ละคนล้วนมีหน้าที่ตน เหตุใดจึงทำลายธรรมเนียมได้ อยากทำหน้าที่อันใดก็ทำงั้นรึ!”

ทางนี้ยังพูดไม่ทันจบ ทางนั้นก็มีคนตวาดถามขึ้น ขุนนางอาวุโสหนวดเคราผมขาวยืนขึ้น เขาเป็นขุนนางใหญ่ที่มีเก้าอี้นั่งอยู่ไม่กี่คน ตามที่เคยรู้ว่าก่อนหน้า น่าจะเป็นเสนาบดีกรมพิธีการสวีเสวียหมัว

ถูกเสนาบดีกรมพิธีการถาม ลั่วซือกงก็เหมือนทำเป็นไม่ได้ยิน ได้แต่ยิ้มหันไปมองหวังทง เป็นท่าทีประจบเอาใจ ขอเพียงไม่ตาบอด ผู้ใดก็ล้วนมองออก

สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ปรากฏรอยแย้มสรวล ทุกคนในที่นั่นต่างสบตากันไปมา ล้วนแสดงแววตาอับอาย แต่ก็ทำอันใดไม่ได้

เซินสือหังยังคงสีหน้าเรียบเฉย เสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนกระแอมไอ ก้มหน้าลง ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสสุรเสียงดังว่า

“หวังทง ในเมื่อลั่วซือกงถามเช่นนี้ เจ้าคิดทำหน้าที่อันใดก็กล่าวออกมาได้เลย”

หวังทงก็เห็นท่าทีประจบของลั่วซือกง พอได้ยินคำถามนี้ ความจริง หวังทงเองก็อึ้งไปเหมือนกัน แต่สมองคิดไว คิดได้ข้อสรุปอย่างเร็ว หวังทงก้าวออกไปหนึ่งก้าว หันไปถวายบังคมฮ่องเต้ว่านลี่ และพยักหน้าให้ลั่วซือกง ทูลเสียงดังว่า

“ทูลฝ่าบาท ในเมื่อใต้เท้าลั่วถามเช่นนี้ กระหม่อมก็ขอบังอาจทูล กระหม่อมตอนอยู่เมืองหลวงก็เป็นแค่นายกองร้อยถนนทักษิณ พอไปเทียนจินก็แค่นายกองพัน ความรู้ยังน้อย ไม่มีประสบการณ์ แต่มีความสนใจในการฝึกทหาร ที่ผ่านมาก็เคยทำหน้าที่ลาดตระเวนทำคดี กระหม่อมอยากฝึกทหารองครักษ์เสื้อแพร รับหน้าที่ลาดตระเวนสืบคดี”

ทางนี้ตอบเสียงดัง ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป กุมพระโอษฐ์กระแอมไอสองสามที หันไปขยิบตาให้หวังทงสองสามที ในห้องหารือข้อราชการกัน 20 กว่าคน การแอบส่งสายตากันเช่นนี้ไหนเลยจะรอดพ้นสายตาทุกคนไปได้ เสนาบดีกรมพิธีการสวีเสวียหมัวรู้สึกงงแต่ก็หันกลับไปนั่งที่เดิม เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิงกลับถวายบังคมทูลว่า

“ฝ่าบาท หวังทงมีใจภักดีต่อแผ่นดิน ไม่อยากเสวยสุขวาสนา กลับยอมลำบากทำงาน กระหม่อมคิดว่าความจงรักภักดีนี้ควรสรรเสริญยกย่อง เป็นตัวอย่างให้ชนรุ่นหลัง”

“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าใต้เท้าเหยียนกล่าวได้ถูกต้องแล้ว!!”

“ฝ่าบาท หวังทงทำให้กระหม่อมรู้สึกละอายใจยิ่ง……”

เห็นเหยียนชิงออกมาทูล หยางเหว่ย พานจี้สวิ้นก็เข้าใจทันที ก็ตามออกมาด้วย จางหงยกพู่กันขึ้น จางเฉิงและจางหงหันมาสบตากันว่าอย่ารีบเขียนลงไปในฎีกา

ขันทีสำนักส่วนพระองค์หลายคนพยักหน้ากัน หากสวมหมวกหน้าที่นี้ให้หวังทงแล้ว คิดจะไม่ทำก็ไม่ได้แล้ว ให้เขาไม่อาจคืนคำได้อีก ฮ่องเต้ว่านลี่กระแอมไออีกสองสามที ไม่ทรงสนพระทัยจขุนนางที่ออกมากราบทูล หากตรัสถามขึ้นว่า

“หวังทง เราถามเจ้าอีกครั้ง เรื่องนี้เจ้าอยากทำหรือ?”

“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องพะยะค่ะ เรื่องพวกนี้ยุ่งยากมาก ใต้เท้าหวังเพิ่งกลับมาเมืองหลวง ไม่สู้ไปทำความคุ้นเคยกับ สำนักองครักษ์เสื้อแพรเหนือก่อนดีไหมพะยะค่ะ?”

ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงถามอีก ลั่วซือกงก็ถามอีก ทุกคนเข้าใจความหมายดียิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงอยากให้หวังทงไป แต่พวกเหยียนชิงกลับพยายามตอกปิดฝาโลงคำพูดของหวังทง

เรื่องเช่นนี้คิดอย่างไรก็เข้าใจได้ ที่หวังทงพูดมานั้นล้วนเป็นงานที่ไม่มีประโยชน์อันใด ดังนั้นฮ่องเต้ว่านลี่จึงทรงรั้งไว้ หากหวังทงกลับคุกเข่าโขกศีรษะกล่าวว่า

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมอยากทำงานนี้พะยะค่ะ”

พอได้ยินหวังทงทูล สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็แปรเปลี่ยน หากยังคงโบกพระหัตถ์ตรัสอย่างเบื่อหน่ายว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลั่วซือกง เจ้าก็ไปจัดการละกัน!!”

*************

“ฝ่าบาททรงให้หวังทงอยู่ต่อ พระราชทานเลี้ยงหอปัจจิม ~~~

หลังเลิกประชุม บรรดาขุนนางใหญ่ออกจากพระที่นั่งข้างไป ก็มีขันทีตามมาถ่ายทอดพระราชโองการ รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเข้าเมืองไม่ถึงสองวัน ในวังก็พระราชทานเลี้ยง พระเมตตาขั้นนี้ไม่มีผู้ใดเทียบได้

สีหน้าขุนนางทั้งหลายต่างหมองคล้ำลงพากันเดินออกไป มหาอำมาตย์เซินสือหังกับเสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนสีหน้านิ่งเฉยเดินอยู่หน้าสุด ไม่นานก็ทิ้งระยะห่างกัน

“วางท่าวางทางใหญ่โต ก็แค่เรียนตำรามางูๆ ปลาๆ หากไม่ใช่ท่านจางซื่อเหวยยกขึ้นมา ไหนเลยจะมานั่งตำแหน่งเสนาบดีกรมทหารนี่ได้ ตอนจะใช้งานกลับทำบ่ายเบี่ยง คนชั้นต่ำจริงๆ”

มีคนกล่าวได้ดุเดือด จางเสวียเหยียนเมื่อก่อนเป็นเจ้ากรมอากร แต่เพราะแต่งหนังสือชื่อ บันทึกบัญชีว่านลี่ จางจวีเจิ้งเห็นว่ามีความชอบจึงได้เลื่อนให้เป็นเสนาบดีกรมอากร จากนั้นท่ามกลางการต่อสู้ของพรรคพวกจางซื่อเหวยและจางจวีเจิ้ง จางเสวียเหยียนผู้นี้ไม่มีฝักฝ่าย ไม่เคยล่วงเกินผู้ใด จึงได้ถูกยกให้ขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ ตามความคิดของพรรคพวกจางซื่อเหวยแล้ว จางเสวียเหยียนจากกรมอากรมาสู่กรมทหาร และได้เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ ตามหลักควรยืนข้างเดียวกัน คิดไม่ถึงว่าจางเสวียเหยียนกลับเอาแต่นิ่งไม่พูด ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทำให้ทุกคนเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างมาก

แต่ตอนนี้จางซื่อเหวยกลับไปไว้ทุกข์แล้ว เซินสือหังเป็นมหาอำมาตย์ เขาย่อมอยากเห็นว่ามีเสนาบดีในหกกรมที่ไม่เหมือนคนอื่นอยู่ จะได้ลดการถูกล้อมกรอบคนเดียว ปรากฏจางเสวียเหยียนถูกขุนนางโดดเดี่ยว แต่คนอื่นทำอันใดเขาไม่ได้

“อย่าเพิ่งไปยุ่งกับจางเสวียเหยียน พอกลับไปให้ส่งคนเร่งยื่นฎีกาชื่นชมหวังทง ทหารชั้นต่ำก็คงเป็นทหารชั้นต่ำ ไม่รู้หนักเบา ถึงกับไม่เลือกไปสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหนือใต้ แต่กลับเลือกไปฝึกทหาร หากต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยจนขยับไม่ได้ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงได้!”

มีคนกล่าวขึ้น คนรอบๆ ก็เห็นด้วย กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“ยกลั่วซือกงขึ้นมานับเป็นความผิดพลาดโดยแท้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่รู้ดีชั่วเช่นนี้ได้……”

“อย่าผิดประเด็น หวังทงจึงเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง หากในวังใกล้ชิดเขา เช่นนั้นยังมีพวกเราไว้ทำไมกัน หรือว่าพระเมตตาเช่นวันนี้พวกท่านดูไม่ออกกัน?”

*************

“ฝ่าบาท ขนมต่างชาติพวกนี้แม้ว่าหวานหอม แต่อย่าเสวยเยอะ คนที่กินมาหากไม่ออกกำลังกาย ร่างกายก็จะรับไม่ไหว พระวรกายฝ่าบาทค่าดังทองคำ……”

“เป็นเพราะเจ้ามา เราจึงได้กินหลายชิ้น ปกติกินจนเอียนแล้ว”

ณ พระตำหนักข้าง จางเฉิงกับเจ้าจินเลี่ยงรอรับใช้อยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่นั่งตรงข้ามกับหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่คว้าตะเกียบขึ้นมาคีบขนมเนยในจานเงินเสวยอย่างเอร็ดอร่อย พอได้ยินหวังทงกล่าวจึงได้แต่วางลงอย่างหงุดหงิด

“ฝ่าบาท หวังทงทูลได้ถูกต้องแล้ว หมอหลวงก็กล่าวเช่นนี้ ขนมเนยพวกนี้มันเกินไป เสวยมากไม่ได้พะยะค่ะ”

ฮ่องเต้ว่านลี่ผลักจานเงินออก ตรัสว่า

“รู้แล้วๆ หวังทง สำนักองครักษ์เสื้อแพรใต้ดูแลการทหาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรเหนือดูแลประชา ส่วนกองเอกสาร สำนักงานองครักษ์เสื้อแพรดูแลเอกสาร สามที่นี้เจ้าเลือกอันใดไม่เลือก ดันไปเลือกฝึกทหารใหม่ ตรวจสอบวินัยทหาร ลาดตระเวนสืบคดี เจ้าไม่เห็นหรือว่าขุนนางทั้งหลายพากันออกมาตอกฝาโลงงานนี้ให้เจ้ากันใหญ่ ก็เพราะกลัวเจ้าเปลี่ยนใจ งานยากลำบากและยุ่งยากพวกนี้ยังต้องล่วงเกินผู้อื่นอีก เจ้าไปทำทำไม่กัน!”

หวังทงฟังแล้วก็รู้สึกได้ว่าทรงบ่นไม่พอพระทัย กำลังจะลุกขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่รีบโบกมือกล่าวว่า

“นั่งคุยๆ”

“ฝ่าบาท หากกระหม่อมไปสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหนือหรือกองเอกสารสำนักงานองครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติหน้าที่ เกรงว่าราชสำนักก็คงไม่เลิกรา ถึงตอนนี้ก็คงยังไม่ยอมแพ้ กระหม่อมเพิ่งเข้าเมืองหลวงมา ไยต้องหาเรื่องให้ทรงร้อนพระทัยด้วย งานองครักษ์เสื้อแพรก็มีงานสืบคดีและหาข่าว เป็นกำลังหลักหนึ่งในเมืองหลวง ตอนนี้เป็นระบบเองแล้ว กระหม่อมขอบังอาจถามฝ่าบาท เป็นฝ่าบาทกุมอำนาจองครักษ์เสื้อแพรมากกว่า หรือว่าขุนนางข้างนอกกุมมากกว่า หรือองครักษ์เสื้อแพรดูแลตนเองมากกว่า”

“ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหลายคนล้วนแต่งตั้งโดยคณะเสนาบดีใหญ่ และยังเป็นพวกที่สืบทอดจากต้นตระกูล เรากุมอำนาจได้ไม่มาก……”

“ฝ่าบาท ที่กระหม่อมทำไป ก็เพื่อยึดกุมอำนาจองครักษ์เสื้อแพรขึ้นใหม่เพื่อฝ่าบาท!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version