Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 640

ตอนที่ 640 ไม่อาจปล่อยวาง

วันที่ 2 เดือนสิบเอ็ด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 ผู้ตรวจการกรมปกครองเฉินอวี่เจียวยื่นฎีกาเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้ายเฉินซืออวี้ร่วมสมคบกับหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์เฝิงเป่าผ่านทางรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรสวีเจี๋ย

หากเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน กล้าทำเช่นนี้ก็ย่อมเหมือนถอนขนจากปากพยัคฆ์ แต่ตอนนี้ก็แค่ตีพยัคฆ์ตายก็เท่านั้น รองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายกรมปกครองเฉินซืออวี้เองก็เป็นผู้ที่จางจวีเจิ้งตอนยังมีสติสัมปชัญญะเคยส่งเสริมให้เป็นขุนนางคนสนิท เขาถูกยื่นฎีกา ในวังก็มีราชโองการมาอย่างรวดเร็ว

ครึ่งปีหลังในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 ก็ไม่รู้ว่ามีขุนนางใหญ่มากมายเท่าไรต้องกลับบ้านเกิดในวัยชรา เฉินซืออวี้เองก็กลายเป็นหนึ่งในนั้น

หัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์เฝิงเป่าผู้เป็นผู้นำในวังในตอนนี้ก็ปิดประตูไม่พบผู้ใด บอกว่าป่วย ทุกคนต่างบอกว่าป่วยแปลว่าอันใด ในวังไม่มีส่งคนมาให้กำลังใจใดๆ

พอถึงเดือนสิบเอ็ด ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่า สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่การแย่งชิงทางการเมืองแล้ว หากเป็นจางซื่อเหวยกำลังเก็บกวาดสิ่งสกปรก เมื่อก่อนจางซื่อเหวยติดตามทำงานให้จางจวีเจิ้งอย่างนอบน้อม คิดไม่ถึงว่าพอได้เป็นมหาอำมาตย์เอง กลับมีวิธีการที่น่ำตกใจ ทุกคนเริ่มไหวตัวระวังตัว ทุกคนรู้แล้วว่าจากนี้ไปจะติดตามผู้ใด จะรับใช้ผู้ใด

หน้าจวนมหาอำมาตย์จางซื่อเหวย ในเดือนสิบยังคงเงียบเหงา พอเข้าเดือนสิบเอ็ดก็มีรถม้าไปมาขวักไขว่ ตั้งแต่ว่านลี่ครองราชย์มา ใต้หล้าล้วนเห็นว่ามหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งกุมอำนาจหลัก ในใจก็เริ่มเป็นนิสัยอย่างหนึ่งที่ว่าใต้หล้านี้เป็นของมหาอำมาตย์ปกครอง

จางซื่อเหวยได้รับการตัดสินเอาเองเช่นนี้ ก็กลายเป็นจางจวีเจิ้งคนที่สองได้ ตอนนี้มีแต่คนมาสานสัมพันธ์ ยังไม่สายเกินไป

วันที่ 16 เดือนสิบเอ็ด ขุนนางสอบสวนแห่งเสฉวนซุนจี้เซียนถวายฎีกา ขอคืนตำแหน่งให้อู๋จงสิง เจ้าย่งเสียน อ้ายมู่ เสิ่นซือเสี้ยวและโจวหยวนเปียว ในวังอนุมัติอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้สองเดือน เป็นเพราะกัวเหวยเสียนยื่นฎีกา ทำให้ถูกลดขั้นไปประจำตำแหน่งนายอำเภอเจียงซาน ตอนนี้ยื่นฎีกาอีก กลับทำให้ทั้งห้าที่โชคร้ายจากเหตุการณ์ยับยั้งการไว้ทุกข์ของจางจวีเจิ้งได้คืนตำแหน่ง

ทว่าสองเดือนต่อมา สถานการณ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ หลังราชโองการคืนตำแหน่งให้มาถึง จางซื่อเหวยยื่นฎีกา ขอให้สอบคดีเสนาบดีกรมปกครองเหลียงเมิ่งหลง ในวังเห็นชอบทำให้ได้คืนตำแหน่งเช่นกัน หากก็ยังให้กลับบ้านเกิดไปดังเดิม แม้ว่ายังกลับไปใช้ชีวิตวัยชราที่บ้านเกิด แต่ราชโองการทำให้เหลียงเมิ่งหลงพ้นโทษรับสินบนและชู้สาว ที่สำคัญก็คือ จางซื่อเหวยที่มีความผิดพร้อมเหลียงเมิ่งหลงก็พลอยพ้นความผิดไปด้วย

วันที่ 20 เดือนสิบเอ็ด จางซื่อเหวยเลื่อนตำแหน่งให้จางเมิ่งหนันแห่งหนานจิงเป็นเจ้ากรมรถม้าแห่งหนานจิง ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งไร้อำนาจ ระดับก็ไม่สูงนัก ต้องการแค่รายงานตัวเลขให้ในวังรู้เท่านั้น

แม้เป็นการเลื่อนตำแหน่งขุนนางไร้อำนาจ แต่ก็มีความหมายไม่น้อย สวีกว่างกั๋วที่อยู่ในเมืองหลวงรีบเขียนจดหมายไปแจ้งเทียนจิน ไม่เพียงแต่เขา ข่าวนี้ยังแพร่ไปทั่วใต้หล้า ไปทั่วแผ่นดิน

จางเมิ่งหนันคือผู้ใด ญาติของกาวก่ง กาวก่งเป็นมหาอำมาตย์ในสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง กาวก่งถูกจางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่าร่วมมือกันโค่นอำนาจ จางเมิ่งหนันมีความสัมพันธ์เช่นนี้ จึงได้ถูกแช่แข็งอยู่ที่หนานจิงมาถึงหกปี

การเคลื่อนไหวจางซื่อเหวยครั้งนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องการประกาศต่อใต้หล้าว่า เขากับจางจวีเจิ้งไม่ใช่พวกเดียวกัน การเคลื่อนไหวนี้ก็เพื่อส่งสัญญาณให้พรรคพวกกาวก่งที่ถูกจางจวีเจิ้งและเฝิงเป่ากดเอาไว้นานปี บอกพวกเขาว่าวันของพวกเขามาถึงแล้ว

เดิมยังมีคนเข้าใจผิด จางซื่อเหวยกับพวกหวังจ้วนแก่งแย่งกันก็เพื่อเป็นผู้นำในพรรคพวกฝ่ายจางจวีเจิ้งตอนนี้สถานการณ์กระจ่างชัดแล้ว

ทุกคนมักคิดย้อนไปถึงตอนจางซื่อเหวยเข้าสู่ขุนนางส่วนกลางก็เพราะกาวก่งส่งเสริม เป็นกาวก่งที่ส่งเสริมจางซื่อเหวยให้เป็นรองเจ้ากรมฝ่ายขวาในกรมปกครอง จึงได้เป็นจุดเริ่มแห่งเส้นทางขุนนาง

เป็นพรรคพวกกาวก่งหรือไม่ไม่สำคัญ การเคลื่อนไหวนี้เป็นการบอกทุกคนว่า จางซื่อเหวยก็คือจางซื่อเหวย ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพรรคพวกของจางจวีเจิ้ง

นายกองพันสำนักบูรพาเฝิงโหย่วหนิงลาออกจากตำแหน่ง รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรสวีเจี๋ยก็ลาออก คนสนิทกับเฝิงเป่านอกวังก็ถูกลดอำนาจวาสนา สวีเจี๋ยพาตัวเองเข้าคุกรับโทษทันที เฝิงโหย่วหนิงกลับเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้าน

วันที่ 1 เดือนสิบสอง ผู้ตรวจการกรมทหารซุนเหว่ยยื่นฎีกาเหลาคานแห่งกรมสอบสวน เหลาคานก็เป็นคนสนิทคนหนึ่งของจางจ วีเจิ้ง ตอนนี้ได้แต่เรียกได้ว่าเก็บกวาดแล้ว

ซุนเหว่ยถูกยื่นฎีกา เหลาคานก็ยื่นฎีกาขอลาออกกลับบ้านเกิดเอง ในวังอนุมัติ

จากนั้นก็ไม่ใช่ว่ากวาดล้างสิ้นซาก รองเจ้ากรมฝ่ายขวากรมพิธีการเฉินจิงปังเลื่อนเป็นรองเจ้าการมฝ่ายซ้ายแห่งกรมปกครอง เฉินจิงปังก็เหมือนพวกหวังจ้วน เป็นคนที่จางจวีเจิ้งจัดวางไว้ก่อนตาย จางซื่อเหวยวางฐานอำนาจไม่ธรรมดา ย่อมไม่กวาดล้างสิ้นซาก อย่างไรก็ต้องเก็บเอาไว้บ้าง

จางจวีเจิ้งจากไปได้ 17 วัน จางซื่อเหวยเคยจัดการตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจอันใดตำแหน่งหนึ่ง ก็คือเสนาบดีกรมอากรแห่งหนานจิงนามหยางเวย แม้ว่าเป็นตำแหน่งไร้อำนาจ แต่ระดับก็ยังเรียกได้ว่าเสนาบดี ยามนี้เสนาบดีกรมอากรเมืองหลวงว่างลง จึงจัดให้หยางเวยเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนและยังย้ายเสนาบดีกรมอาญาเหยียนชิงมาเป็นเสนาบดีกรมปกครอง ให้พานจี้ซวิ่นเป็นเสนาบดีกรมอาญาแทน และเดิมที่เป็นเสนาบดีกรมโยธาอย่างจางเสวียเหยียนก็ให้ไปเป็นเสนาบดีกรมทหาร และเช่นกัน เสนาบดีกรมอากรแห่งหนานจิงที่เป็นตำแหน่งไร้อำนาจอย่างหวังหลินก็ได้มาเป็นเสนาบดีกรมทหารแห่งหนานจิง หกหน่วยงานแห่งหนานจิงที่เหมือนกับเมืองหลวงมี เสนาบดีกรมทหารนั้นสำคัญที่สุดมีอำนาจที่สุด และยังแต่งตั้งจางเจียอิ้นรองเจ้ากรมฝ่ายขวาแห่งกรมสอบสวนไปเป็นรองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายกรมทหาร ตำแหน่งนี้กุมอำนาจดูแลค่ายทหารในเมืองหลวง

ส่วนหลี่จื๋อผู้เป็นศิษย์ที่จางจวีเจิ้งภาคภูมิใจนั้น ถูกแต่งตั้งไปเป็นผู้ตรวจการ ตำแหน่งผู้ตรวจการนี้แม้ว่าเป็นผู้ตรวจการสังกัดกรมสอบสวนแต่ไม่อยู่ในอำนาจสั่งการของกรมสอบสวน หากเป็นฮ่องเต้ เมื่อได้รับแต่งตั้งจากฮ่องเต้ ไม่ว่าขุนนางระดับใดก็มีอำนาจล้นเหลือ อำนาจการทหารในพื้นที่เมืองหลวงนั้นยามนี้ตกในมือจางซื่อเหวยเกือบหมดแล้ว

ยามนี้ เป็นวันที่ 17 เดือนสิบสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 จางซื่อเหวยก็ประสบผลสำเร็จ จัดวางคนสนิทของตนเข้าสู่ตำแหน่งต่างๆ ในเมืองหลวงที่สำคัญไว้หมดแล้ว เมืองหลวงนี้เขาใหญ่แต่ผู้เดียว พวกเดิมของจางจวีเจิ้งบ้างก็มาขอเป็นพวก บ้างก็จากเมืองหลวงไป แตกกระจัดกระจายไปหมด

***********

วันที่ 18 เดือนสิบสอง สำนักขันทีต่างๆ ในวังเริ่มเตรียมงานปีใหม่กันแล้ว แต่บรรยากาศกลับไม่ได้คึกคักเหมือนแต่ก่อน ทุกคนพากันหวาดหวั่นหากไม่กล้ากล่าวออกมา

ในวังที่เหมือนว่ามีอำนาจเทียมฟ้าอย่างเฝิงกงกงอยู่ๆ ก็สูญสิ้นอำนาจ นอกวังเป็นที่โจษจัน ทุกคนต้องระวังให้มากหน่อย ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าวันหน้าจะเกิดอันใด ตนเองจะโดนไปด้วยหรือไม่

ทุกคนล้วนรู้ว่า ตอนนี้ในวัง สำนักส่วนพระองค์มีอันใดต้องรายงานต่อจางเฉิง ฝ่าบาททุกวันยังคงไปถวายพระพรที่ ตำหนักฉือหนิงกง แต่ไทเฮาอ้างว่าทรงประชวรไม่ให้เข้าเฝ้ามาสิบกว่าวันแล้ว ฝ่าบาทไม่ได้เข้าเฝ้า ได้แต่กลับไปอย่างทำอันใดไม่ได้

หากเป็นเมื่อก่อน ในวังย่อมรู้ว่าไทเฮาไม่พอพระทัยฝ่าบาท ฝ่าบาทจะฝากคนมาขอเข้าเฝ้าสักครา แต่ตอนนี้ไม่ให้เข้าเฝ้าก็ไม่ให้เข้าเฝ้า ฝ่าบาทก็ไม่ขอเข้าเฝ้า จากนั้นก็กลับไป เหมือนดังปกติ แต่ก็เหมือนไม่เหมือนกับเมื่อก่อนมากนัก

วันนี้อาลักษณ์สำนักส่วนพระองค์เถียนอี้ไปคุกเข่าหน้าห้องทรงอักษร ว่ากันว่าขันทีเถียนไปคุกเข่าที่หน้าห้องทรงอักษรเอง เถียนอี้เป็นคนสนิทของเฝิงกงกงในวัง ไปที่นั่นทำอะไรทุกคนก็ยังงง หากไม่มีผู้ใดโง่พอจะเข้าไปสอบถามหรือวิจารณ์

ณ ห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับอยู่บนเก้าอี้ จางเฉิงกับจางจิงยืนอยู่ซ้ายขวา บนโต๊ะมีผ้าแพรวางอยู่ พู่กันหมึกพร้อมสรรพ ฮ่องเต้ว่านลี่กลับลังเล ยกพู่กันขึ้นและวางลงหลายครา

ได้ยินเสียงจากประตู เจ้าจินเลี่ยงเปิดประตูเข้ามา หันไปปิด หากยังมีลมหนาวพัดเข้ามาระลอกหนึ่ง ทุกคนขยับตัว เจ้าจินเลี่ยงเข้าไปรายงานทูลว่า

“ฝ่าบาท เถียนอี้ไม่ยอมไป บอกว่าฝ่าบาทไม่ให้เข้าเฝ้า ก็ขอให้คิดถึงเฝิงเป่าที่รับใช้พระองค์มานาน ทรงไปพบเฝิงเป่าสักครา…”

ฮ่องเต้ว่านลี่เพิ่งยกพู่กันขึ้น ก็ได้ยินเจ้าจินเลี่ยงรายงาน รำคาญพระทัยจนต้องวางลง ตรัสว่า

“อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ ต้องให้เราแข็งตายจึงจะพอใจใช่หรือไม่ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พบแล้วหรือว่ายังทำอันใดได้ เสี่ยวเลี่ยง ตามองครักษ์มาพาตัวออกไป ตามหมอหลวงมาดูอาการด้วย”

เจ้าจินเลี่ยงรีบก้มหน้ารับพระบัญชา ก่อนจะออกไปจัดการตามรับสั่ง ได้ยินเสียงร้องตะโกนร่ำไห้ด้านนอก คิดว่าคงเป็นเถียนอี้ เสียงค่อยๆ ไกลออกไป ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า

“เฝิงเป่าอยู่ในวังมา ปกติมีคนมากมายเท่าคุกเข่าเรียกขานว่าบรรพชน พอเกิดเรื่อง ที่เข้ามาขอร้องให้มีแต่เถียนอี้ผู้เดียว คนเช่นนี้ไม่ลืมคุณ แต่ก่อนมักได้ยินคนบอกว่าเถียนอี้หากไม่ได้ทำงานในวัง ได้ออกไปนอกวังก็ย่อมได้เป็นขุนนางในคณะเสนาบดีเชียว อย่างอื่นไม่รู้ หากจิตใจนี้ไม่เลวเลย!”

จางจิงและจางเฉิงที่ยืนอยู่สบตากัน เถียนอี้ได้รับคำชมเช่นนี้ กลับทำให้รู้สึกว่าหลังภัยมักมีความโชคดี วันหน้าคงใช้งานได้ ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรไม้ที่วางอยู่ ก่อนจะตกในภวังค์ตรัสว่า

“จำได้ว่าตอนนี้เรายังเล็ก พอถึงหน้าหนาว เฝิงต้าปั้นก็จะสวมเสื้อหนาวและหมวกให้เรา จากนั้นก็ไปดูดอกเหมยและมนุษย์หิมะด้วยกัน ตอนนั้นเรามีความสุขมาก ปกติไม่ได้ พอท่านจางสอนเสร็จ ต้องเขียนหนังสืออ่านหนังสือ หากผิด เฝิงต้าปั้นก็จะหน้าบึ้ง เรากลัวมาก……”

ตรัสถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ส่ายพระพักตร์ยิ้มตรัสว่า

“ตอนนี้ไปพบเฝิงต้าปั้น เรายังกลัวอยู่บ้าง……หรือว่า……เราไปพบสักครา……”

“ฝ่าบาท เรื่องนี้…เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด หากไปพบ คนนอกรู้เข้าจะคิดเช่นไร……ไทเฮาไม่ให้เฝิงเป่าเข้าเฝ้าแล้ว ตอนนี้ให้พระองค์ตัดสินพระทัยไปได้เลย หากไปพบ หากมีอะไรกลับคืนมา หรือว่าฝ่าบาทยังอยากกลับไปทรงเป็นแบบเดิมอีก?”

ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่รำพึงรำพัน จางเฉิงก็รีบออกเตือนขึ้น ยามนี้ไม่สนใจแล้วว่าเสียธรรมเนียมหรือไม่ กล่าวถึงผลดีผลร้ายตรงไปตรงมา ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ไปมา ก่อนจะเงียบแล้วยกพู่กันขึ้น ก่อนจะวางลงอีก ตรัสว่า

“จางปั้นปั้น ท่านมาเขียนหน่อย เฝิงเป่าอายุมาก เราทนเห็นทำงานหนักไม่ได้ ส่งไปพักที่หนานจิง ปูนบำเหน็จหนึ่งพันตำลึง”

จางเฉิงรีบลงมือเขียน สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มเย็นชา ตรัสว่า

“คนที่จางจวีเจิ้งเคยขับไล่ออกจากราชสำนักไป ตอนนี้ล้วนเป็นคนจางซื่อเหวย ต้าปั้นไปแล้ว ก็ยังมีจางซื่อเหวยอีกหรือนี่ ช่างน่าสนุกจริง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version