Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 641

ตอนที่ 641 โชติช่วง

วันที่ 19 เดือนสิบสอง เฝิงเป่าที่เคยกุมอำนาจในราชวงศ์หมิงก็ขึ้นรถม้าคันหนึ่ง พร้อมองครักษ์เสื้อแพรสองนายจากเมืองหลวงไป

จากเมืองหลวงไปหนานจิงตามเส้นทางคลองส่งน้ำอย่างไรก็ต้องมีเส้นทางน้ำครึ่งหนึ่งที่เป็นน้ำแข็ง แม้ว่าเป็นวันอากาศหนาวเหน็บ แต่ในวังทุกหน่วยรู้แล้วว่า เฝิงเป่าไม่อาจอยู่ในวังหลวงต่อไปได้ ไปเมืองทงโจวรอให้น้ำในแม่น้ำละลายดีกว่า จึงล่องไปจากคลองส่งน้ำลงใต้ ตามใจเขา อย่างไรก็ไม่อาจอยู่เมืองหลวงต่อได้อีกแล้ว

หนาวตายอยู่กลางทางอย่างไรก็ดีที่สุด หนาวไม่ตายไปถึงหนานจิงก็ไม่อาจหวนกลับคืนวังหลวงได้อีกแล้ว แต่หากอยู่เมืองหลวงต่อ ทำให้หลายคนไม่อาจวางใจได้

หัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์ไม่อาจว่าง อยู่ข้างกายฮ่องเต้ว่านลี่มานาน ยังเป็นอันดับสองในสำนักส่วนพระองค์อย่างจางเฉิง ทุกคนก็ย่อมเห็นว่าคงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนี้แทน

สำนักส่วนพระองค์สามอันดับแรก อันดับหนึ่งเป็นหัวหน้าสำนักดูแลในวังทั้งหมด อันดับสองคือหัวหน้าสำนักบูรพา อันดับสามก็คือรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ หากไม่อาจควบตำแหน่งคุมกองกำลังวังหลวง เมื่อก่อนเฝิงเป่าควบสองตำแหน่งแรก จางเฉิงขึ้นตำแหน่งย่อมไม่อาจให้ได้รับประโยชน์นี้ไป หัวหน้าสำนักอาชาหลวงจางจิงไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักบูรพาสังกัดสำนักส่วนพระองค์

อันดับสามย่อมให้จางหง จางหงแม้ว่าซื่อตรง แต่ในการโค่นเฝิงเป่าก็ออกแรงร่วมไม่น้อย ย่อมได้รับผลตอบแทน กอปรกับตนเองก็ทำงานได้ดี ได้ตำแหน่งนี้ก็สมควร

เทียบกันแล้วที่ทำให้คนเหนือความคาดหมายก็คือเถียนอี้ เป็นคนสนิทอันดับหนึ่งของเฝิงเป่าในวัง ตอนเฝิงเป่าจากไปกลับไม่ได้ถูกลดตำแหน่ง หากได้เลื่อนไปเป็นขันทีประจำในห้องทำงานของสำนักส่วนพระองค์

แต่ทว่าตำแหน่งเดิมของเถียนอี้กลับตกเป็นของเจ้าจินเลี่ยง ตอนนี้เจ้าจินเลี่ยงอายุยังไม่ถึง 12 ปี กลับได้ตำแหน่งไปถึงสองตำแหน่ง สองตำแหน่งนี้ล้วนเป็นตำแหน่งสำคัญ หากไปอยู่ในมือเด็กน้อยคนเดียว มักช่างทำให้คนตกตะลึงเสียจริง

แต่ทุกคนรู้กันดีว่า เจ้าจินเลี่ยงติดตามใกล้ชิดฝ่าบาททุกวัน จะมีเวลาไปจัดการการงานที่ไหนกัน ก็คงเป็นหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงเข้ามาดูแลนั่นแหละ ก็เท่ากับเสริมอำนาจของจางเฉิงนั่นเอง

หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ไม่ควบหัวหน้าสำนักบูรพาเพื่อถ่วงดุลอำนาจ เพราะเฝิงเป่าอำนาจมากเกินไป ดังนั้นจึงทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ทำอะไรไม่ได้มากนัก เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่อาจให้เกิดขึ้นซ้ำอีก ดูแล้วตำแหน่งนี้อำนาจลดลงไม่น้อย แต่จางเฉิงยังมีอีกตำแหน่งที่ไม่มีคนทันสังเกต ก็คือหัวหน้าดูแลสำนักรักษาความสงบ

สำนักรักษาความสงบเป็นหน่วยงานใหม่ เก็บเงินค่าป้ายสงบสุขในเมืองหลวง หูตามากมาย กำลังในพื้นที่เมืองหลวงไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักบูรพา ก็แค่ตั้งมาไม่นาน ไม่ได้มีฐานอำนาจสักเท่าไร หากมีสำนักรักษาความสงบอยู่ในมือ เรื่องที่จางเฉิงทำได้นั้นมีมากมายเหลือเกิน

อีกตำแหน่งที่ทำให้คนคาดไม่ถึงก็คือ หัวหน้าสำนักอาชาหลวงกลับไม่ใช่โจวอี้ หากเป็นฉู่เจ้าเหริน ฉู่เจ้าเหรินเป็นคนสนิทของไทเฮาฉือเซิ่ง ให้ตำแหน่งนี้ก็ย่อมเป็นเรื่องสมควร และโยกซุนเจิงสั่วที่ดูแลเรื่องอาวุธมาแทนตำแหน่งฉู่เจ้าเหริน โจวอี้ยังคงอยู่ตำแหน่งเดิม

ฉู่เจ้าเหรินแม้ว่าได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักอาชาหลวง แต่เขาไม่มีความสามารถอันใดดูแล ตอนหย่งเซิ่งป๋อสมคบคิดมองโกล นอกด่านลอบโจมตีกองกำลังหู่เวย เรื่องนี้แม้ว่าเขาถูกหลอกใช้ แต่ก็เกี่ยวพันด้วยไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงหลินซูลู่ที่สร้างเรื่องอยู่ในวัง เขาปกติก็สนิทกับหลินซูลู่ไม่น้อย นี่เรียกได้ว่าอย่างไรก็ไม่อาจพ้นมลทินแปดเปื้อนไปได้

อยู่ในตำแหน่งเขานี้ ก็เพื่อไว้หน้าไทเฮา ทุกคนก็จะได้ไม่อึดอัด ฉู่เจ้าเหรินก็อยู่ในตำแหน่งนี้ไปดีๆ ก็แล้วกัน หากตนเองยังมองไม่ออก ก็ย่อมถูกฟื้นฝอยขึ้นมาลงโทษได้

ตอนนี้สำนักอาชาหลวง โจวอี้ย่อมมีอำนาจสั่งการ ซุนเจิงสั่วเป็นบุตรบุญธรรมจางจิง หัวหน้าสำนักอาชาหลวงจางจิงนั่งในตำแหน่งนาน ซุนเจิงสั่วก็ย่อมนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง

************

วันที่ 23 เดือนสิบสอง ข่าวเฝิงเป่าจากเมืองหลวงไปเป็นที่รู้กันไปทั่ว นายกองพันเฝิงโหย่วหนิงแห่งสำนักบูรพาก็ลาออกจากตำแหน่ง นำคนในครอบครัวติดตามเฝิงเป่าไปหนานจิง ทุกคนรู้ว่าทุกอย่างเป็นที่แน่นอนแล้ว

แต่ก็มีข่าวมาว่า จางซื่อเหวยส่งคนไปแจ้งด้วยวาจำที่จวนเซินสือหัง หากใต้เท้าเซินสุขภาพไม่ดี ต้องรักษาตัวให้ดี พักให้นานหน่อย อย่าให้หลงเหลืออาการที่จะเป็นอีกได้ในภายหลัง แม้ว่าในจวนเซินมีข่าวออกมาทันทีว่า ใต้เท้าเซินสุขภาพไม่ดี คาดว่าปีหน้าเดือนหนึ่งจึงจะดีขึ้นหน่อย ดีไม่ดีก็อาจขออำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิด

การเมืองในเมืองหลวงเหมือนจะอ่อนไหวอยู่สักหน่อย ล้วนรู้ว่าตอนนี้ควรทำเช่นไร? รีบไปจวนมหาอำมาตย์จางซื่อเหวยใต้เท้าจางเพื่อทักทายและมอบของขวัญ

ธรรมเนียมเมืองหลวง วันที่ 25 เดือนสิบสองแต่ละหน่วยงานจะปิดทำการ นอกจากเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่ไม่กี่คนแล้ว ก็ล้วนกลับบ้านไปฉลองปีใหม่พักผ่อนกัน รอจนวันที่ 16 เดือนหนึ่งจึงค่อยกลับมาทำงานกัน

การต่อสู้ทางการเมืองยามนี้เพิ่งตกสะเก็ด หากไม่รีบไปเยี่ยมเยือนแสดงความเป็นมิตร ใน 20 วันนี้ไม่รู้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใด ถึงตอนนั้นเพราะไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนจึงต้องถูกเตะทิ้ง เสียใจก็ไม่ทันการเสียแล้ว

แต่การมอบของขวัญต้องต้องพิถีพิถัน ไม่อาจนำเงินทองใส่หาบแบกเข้าจวนจาง หากจะซื้อภาพวาดลายอักษร ร้านที่ขายพวกนี้ตอนนี้ส่วนใหญ่ก็ปิดพัก จะไปซื้อที่ไหนกัน

จึงเป็นโอกาสของร้านในเครือสามธารา ร้านในเมืองหลวงล้วนเปิดภายใต้ชื่อของเซี่ยงเฉิงป๋อและตระกูลถังของถังซื่อไห่ ร้านพวกนี้มีสินค้าเครื่องประดับล้ำค่าจากทะเลใต้และอาหรับ เหมาะส่งมอบเป็นของขวัญ

ซื้อเครื่องประดับชิ้นหนึ่งแล้วส่งไปพร้อมเงินทองก็จะดูเป็นทางการขึ้นมาหน่อย เช่นมอบแจกันคู่จากเปอร์เซียกับเงินอีกห้าพันตำลึง ก็ดูเหมือนมีธรรมเนียมขึ้นมาหน่อย

ไม่ต้องพูดถึง หน้าประตูจวนจางซื่อเหวยย่อมคึกคัก เทียบกับสมัยจางจวีเจิ้งแล้วก็ไม่ต่างกันนัก ขุนนางน้อยใหญ่เมืองหลวงยามนี้ไม่แบ่งแยกว่าฝ่ายมือสะอาดหรือว่าพวกกินสินบน ทุกคนล้วนยิ้มแย้ม ด้านหลังมีบ่าวแบกของขวัญตามมา รถม้านำของขวัญมา ล้วนมาที่จวนจางเพื่อมอบของขวัญ

เรียกได้ว่าครึกครื้นไม่ธรรมดาราวกับตลาด ก็ไม่พอจะบรรยายภาพแห่งความอู้ฟู่ในตอนนี้ แม้ว่าอากาศหนาวเหน็บ แต่หน้าประตูจวนจางซื่อเหวยก็ไม่รู้สึกถึงความหนาวแม้แต่น้อย ทุกคนคึกคักกันอย่างที่สุด

ด้านนอกคึกคักกันเช่นนี้ ประตูจวนจางเปิดกว้าง บรรดาคนรับใช้ก็หน้าชื่นตาบานรับแขก ต้อนรับแขกที่มาจากทั่วสารทิศ

จางซื่อเหวยทำเช่นนี้ก็เพื่อบอกแก่ใต้หล้าให้รู้ทั่วกัน บอกแก่เมืองหลวงให้รู้ทั่วกัน ผู้ใดเป็นผู้ชนะ ให้ทุกคนรู้จักเจียมตัวตามน้ำ รู้ว่าผู้ใดเป็นมหาอำมาตย์แห่งแผ่นดินหมิง ผู้ใดควรจะเป็นพ่อบ้านแห่งแผ่นดินหมิง

เสนาบดีหกกรมนอกจากเสนาบดีกรมพิธีการเซินสือหัง ที่เหลือก็ล้วนมากันครบ คนที่จางซื่อเหวยเสนอแต่งตั้งก็ล้วนมากันครบ อัดแน่นเต็มห้อง เช่นกัน ก็เพื่อให้คนนอกดูว่า จางซื่อเหวยตอนนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด

พวกบัณฑิตด้านนอกทั่วไปที่ความรู้สึกไว ก็เตรียมเขียนบทความสรรเสริญ ย่อมได้รับคำชมเชยไม่น้อย คำว่า “บรรดาผู้มีคุณธรรมดูแลแผ่นดิน” ต้องนำมาใช้แน่นอน

ที่เรียกว่า “บรรดาผู้มีคุณธรรมดูแลแผ่นดิน” ก็คือในราชสำนักล้วนเป็นผู้มีคุณธรรม ใต้หล้าย่อมเป็นสุข ถือเป็นคำสรรเสริญที่มีต่อมหาอำมาตย์และขุนนางในวังที่ไพเราะที่สุด

ทุกคนล้วนมีตำแหน่งบัณฑิตกัน บทความผู้ใดก็ย่อมไม่ด้อยไปกว่ากันเท่าไร คนด้านนอกคิดถึงคำนี้ได้ คนในก็ย่อมคิดได้ก่อนแล้ว

จางซื่อเหวยรับแขกอยู่ในโถงกลาง ที่กำลังนั่งอยู่นั้นล้วนเป็นบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่ ขุนนางใหญ่หกกรม ด้านนอกล้วนเป็นคนสนิทของจางซื่อเหวยให้การต้อนรับ

“วันนี้น่ายินดียิ่ง ยังมีผู้มีความรู้มารวมตัวกัน ไม่สู้เขียนอักษรไว้เป็นที่ระลึกดีไหม?”

การได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้มาทีละขั้น อักษรพู่กันย่อมต้องโดดเด่น แต่อักษรจางซื่อเหวยเรียกได้เพียงแค่ว่าธรรมดาเท่านั้น แต่คนสนิทรู้ว่า จางซื่อเหวยชอบเขียนพู่กันอวด ตอนนี้กล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อเอาอกเอาใจ

บรรดาคนในห้องล้วนอยู่กับจางซื่อเหวยมาหลายปี บ้างทำงานด้วยกัน บ้างสนิทกัน ล้วนรู้ว่าเขาชอบเช่นนี้ มีคนเสนอ ทุกคนก็ย่อมเห็นตาม

จางซื่อเหวยจะวางตัวสุขุมเพียงใด จะเก็บอาการเพียงใด ยามนี้กลับมีสีหน้ายินดีปรีดาออกนอกหน้า ได้ยินคนเสนอเช่นนี้ ก็ถ่อมตัวไปสองสามคำ จากนั้นก็ยิ้มรับ

ย่อมมีคนรับใช้ที่หัวไวรีบออกไปเตรียมเครื่องเขียน เสนาบดีกรมโยธาคนใหม่หยางเวยรูปร่างอ้วน ในจวนจางซื่อเหวยมีท่อไอร้อนที่เรียกว่ามังกรใต้ดิน ไอร้อนขึ้นมาจากพื้น ในห้องอบอุ่นอย่างมาก หยางเวยสวมเสื้อผ้าหนา หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยกมือขึ้นปาดก่อนยิ้มกล่าวว่า

“ห้องของท่านมหาอำมาตย์ช่างอบอุ่นจริง ไม่ทราบว่าใต้เท้าเซินก็เป็นเช่นนี้หรือไม่?”

“ใต้เท้าเซินรู้สึกว่าหนำวนี้หนำวนัก ยากจะทำนทน”

มีคนแซวรับ ทุกคนพากันหัวเราะฮาครืน เต็มไปได้เจตนาเยาะ เซินสือหังแต่ไรมาก็ไม่ค่อยแสดงออก กับทุกคนก็รักษาระยะห่าง ทุกคนไม่ค่อยประทับใจเขาสักเท่าไร

เครื่องเขียนพร้อมแล้ว บนโต๊ะปูกระดาษสำหรับเขียนอักษรพู่กันตัวใหญ่ไว้แล้ว จางซื่อเหวยยกพู่กันจุ่มหมึก กำลังจะเขียนก็ลังเล ถามตัวเองว่า

“เขียนอันใด?”

“สถานการณ์ยามนี้ ท่านมหาอำมาตย์ไม่สู้เขียนว่า” บรรดาผู้มีคุณธรรมดูแลแผ่นดิน “?”

รองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายกรมปกครองยิ้มกล่าวขึ้น การเสนอเช่นนี้ ทุกคนย่อมร้องเห็นด้วย การเสนอเช่นนี้เหมือนเป็นการยกย่องจางซื่อเหวย และยังสรรเสริญทุกคนในห้องอีกด้วย ย่อมเหมาะสมที่สุด

จางซื่อเหวยพยักหน้าเห็นด้วย หันไปก้มลงเขียน อักษรเขียนได้อย่างไรไม่วิจารณ์ ทุกคนได้เห็นแล้วก็ต้องร้องชมอย่างพร้อมเพรียง จางซื่อเหวยวางพู่กันลง พออกพอใจอย่างมาก

ในยามนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงคนด้านนอกเอะอะโวยวายดังเข้ามา เดิมข้างนอกก็ไม่ได้เงียบ หากทุกคนล้วนอยู่ในบรรยากาศมงคลยินดีก็ไม่แปลก หากตอนนี้เงียบกริบ ไม่ถูกต้อง และเสียงยังดังไปทางห้องรับแขก

“ขอทางหน่อย ข้ามีเรื่องสำคัญรายงานนายท่าน……”

เสียงตะโกนนี้ คนในห้องได้ยินกันชัดเจน จางซื่อเหวยละสายตามาอักษรภาพ ขมวดคิ้ว พ่อบ้านที่รับใช้อยู่ในห้องรีบไปเปิดประตูออกไป

“วันเวลาเช่นนี้ทำอะไรกัน ยังรู้ธรรมเนียมกันอยู่ไหม!!?”

“เจ้ามาจากไหน เหตุใดไม่คุ้นหน้า!!?”

“……ข้าน้อยเป็นพ่อบ้านจากจวนที่ผูโจว……”

ในห้องได้ยินเสียงตอบด้านนอกชัดเจน ทุกคนย่อมรู้ว่าจางซื่อเหวยเป็นคนผูโจว มณฑลซานซี อยู่ๆ ได้ยินเสียงข้างนอกดังมาอย่างตกใจว่า

“ที่เจ้าว่ามาจริงหรือ……”

กำลังคิดอย่างงงๆ อยู่นั้น ในห้องก็เปิดประตูผัวะออกมาทันที พ่อบ้านที่ออกไปกับชายวัยกลางคนสีหน้าซีดเผือดในชุดหนังกันหนาวเข้ามาด้านใน ด้านนอกลมแรงหนาวเสียดผิว ทุกคนอดไม่ได้ต้องห่อตัว ชายวัยกลางคนเข้ามาถึงถลาไปกับพื้นโขกศีรษะสะอื้นไห้ว่า

“นายท่าน ……นายท่านจากไปแล้ว……”

เมื่อครู่ในห้องยังมีแต่เสียงยินดี ชั่วขณะหนึ่งก็เงียบกริบ จางซื่อเหวยราวถูกสายฟ้าฟาด ทุกคนอึ้งอยู่กับที่

ระบบบัญญัติแผ่นดินหมิง หากขุนนางใดบิดาจากไป ต้องรายงาน ออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดไปไว้ทุกข์สามปี เรียกว่าการไว้ทุกข์เพื่อความกตัญญูดังเช่นสมัยจางจวีเจิ้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version