ตอนที่ 304 รู้จักรุก รู้จักถอย รู้งาน
“ใต้เท้า กองกำลังองครักษ์เสื้อแพรที่เทียนจินมีในระบบเท่าไร?”
“หนึ่งพันกับสามสิบห้าคน!”
“ใต้เท้า ตอนนี้มีกำลังจริงในมือเท่าไร?”
“….”
“ข้าน้อยขอตอบแทนใต้เท้า ทั้งเจ็ดค่าย กองกำลังพลม้า ยังมีกองเสริมอีกสิบสามกอง วันนั้นข้าน้อยได้เห็นการฝึกกำลังพล กำลังพลในเมืองหลวงเรียกได้ว่าชั้นยอด แต่ข้าน้อยคิดว่ากองกำลังพร้อมอาวุธและวิธีการพวกนั้นยังไม่สู้กำลังกองเสริมของใต้เท้า”
หยางซือเฉินกล่าวออกมา หวังทงแม้ว่าสีหน้ายังคงรักษาความสงบนิ่งไว้ได้ แต่ในใจกลับพอใจยิ่ง หยางซือเฉินกล่าวต่อว่า
“แหล่งที่มาเงินทองที่เทียนจิน ภาษีที่นาน้อยสุด อันดับรองมาคือค่าป้ายสงบสุข ต่อมาก็เป็นภาษีคลองส่งน้ำ ส่วนภาษีแม่น้ำทะเลเป็นอันดับหนึ่ง ที่กล่าวมานี้ค่าป้ายสงบสุข กับภาษีคลองส่งน้ำและแม่น้ำทะเลล้วนอยู่ในมือใต้เท้า เมืองเทียนจินแม้ไม่ใหญ่ แต่ก็มีพ่อค้าตอนเหนือมารวมกันมากที่สุด เป็นแหล่งรวมสินค้า แหล่งเงินทองในมือใต้เท้าเกือบจะเทียบเท่ากับมณฑลใหญ่หลายแห่งเลยทีเดียว”
หวังทงพยักหน้า เรื่องพวกนี้ขอเพียงตั้งใจมองก็จะมองออก หยางซือเฉินเอ่ยต่อว่า
“ใต้เท้ายังควบตำแหน่งคุมงานสำนักอาวุธปืนไฟ การหลอมอาวุธปืนไฟและการผลิตอาวุธล้วนอยู่ในมือใต้เท้า ใต้เท้าเองยังเป็นถึงนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร หน้าที่ตรวจสอบก็ยังอยู่ในมือท่านอีก”
หวังทงยิ้มกำลังคิดจะพูด หยางซือเฉินก็ลุกขึ้น กล่าวเน้นย้ำชัดถ้อยชัดคำว่า
“ใต้เท้า ภัยใหญ่กำลังมาถึงตัวแล้ว!”
ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็อึ้งไปก่อนจะตามมาด้วยผ้าเช็ดหน้าซับหน้าผากสีหน้าเริ่มอยากจะร้องไห้ก็ไม่ออก อยากจะยิ้มก็ไม่ได้ วาจาตรงไปตรงมาช่างทำร้ายจิตใจ จากนั้นก็กล่าววิธีการแก้ สำหรับหวังทงเองนั้นวิธีการพวกนี้เคยพบเห็นมามากมาย เป็นหนึ่งในกลวิธีที่พบเห็นได้บ่อย หากหยางซือเฉินผู้วางตัวเหมือนมีอะไรที่ลึกล้ำ กลับใช้วิธีการเช่นนี้ ช่างน่าเบื่อที่สุด
“ท่านหยาง มีเรื่องใดก็กล่าวมาตรงๆ ไยต้องใช้วาจาอ้อมค้อม!”
น้ำเสียงหวังทงเริ่มไม่พอใจ หยางซือเฉินทำเหมือนไม่ได้ยิน ประสานมือคำนับกล่าวว่า
“ใต้เท้าคุมกำลังและเงินทองในพื้นที่เสบียง ยังไม่ใช้พวกไร้สามารถ หากบรรดาใต้เท้าในเมืองหลวงพูดเป็นเสียงเดียวว่าใต้เท้ามีใจคิดคดจะทำเช่นไร ใต้เท้าจะจัดการอย่างไร?”
วาจานี้เป็นความจริง หยางซือเฉินกล่าวต่อว่า
“คลองส่งน้ำ แม่น้ำทะเล ในเมือง นอกเมือง กำลังคน ยังมีสำนักอาวุธปืนไฟในมือใต้เท้าอีก สามารถหลอมอาวุธออกมาได้จำนวนมากมายมหาศาล หากมีใจคิดเช่นนั้น ย่อมเป็นภัยต่อเมืองหลวง สามารถเคลื่อนย้ายกำลังพลนับหมื่น มีทั้งเสบียงที่เทียนจิน มีทั้งเส้นทางน้ำที่ไปมาเหนือใต้ได้ นี่ไม่ใช่ภัยใหญ่หรอกหรือ”
หวังทงหน้าบึ้งกล่าวว่า
“ข้ามิได้จะทำเช่นนี้สักหน่อย!”
“แต่พบบรรดาใต้เท้าในราชสำนักกล่าวเช่นนี้ แม้ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาต่อใต้เท้า แต่ระยะทางจากเทียนจินถึงเมืองหลวงนั้นไม่กี่วัน บรรดาใต้เท้าล้วนไม่ชอบใต้เท้า หรือว่าใต้เท้าไม่รู้ว่า ‘สามคนพูดจนเป็นเสือ จากไม่มีอะไรก็มีได้’ งั้นหรือ?”
“ข้ารู้ ข้ารู้…”
หวังทงพึมพำ สิ่งที่ราชบังลังก์หวั่นเกรงที่สุดคือสิ่งใด นั่นก็คือการจากรักษาสถานะยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งได้หรือไม่ จะรักษาราชวงศ์ให้ยืนยงได้หรือไม่
ปัจจัยที่สามารถสั่นคลอนล้วนถูกกำจัด หวังทงฝึกทหาร เป็นแหล่งเงินทอง แม้ว่าทำเพื่อฮ่องเต้และแผ่นดิน แต่การรวบจัดการหลายแห่งเพื่อรวมให้มีประสิทธิภาพ ทำให้ทุกอย่างอยู่ในกำมือ กองกำลังและเงินทองล้วนอยู่ในมือสิ้น ยังมีอำนาจสั่งการสำนักอาวุธปืนไฟอีก
หากมีคนคิดโยงกัน ย่อมคิดไปถึงการคาดเดาต่างๆ ได้มากมาย ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับฮ่องเต้นั้นไม่เลว ตนอยู่ข้างนอกยังคอยแสวงหาผลประโยชน์ให้พระองค์ตลอดมา ช่วยกระชับพระราชอำนาจให้มั่นคง แต่หากมีคนยุแยงดังที่กล่าวมา ฮ่องเต้ว่านลี่จะทำเช่นไร ก็ตัดสินได้ง่ายมาก
แม้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ตัดสินพระทัยจัดการเช่นไร แต่ไทเฮาฉือเซิ่ง เฝิงเป่าและจางจวีเจิ้งก็ย่อมตัดสินใจแทน ที่ว่าเหตุใดตนยังนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคงน่ะหรือ ก็คงเป็นเพราะพละกำลังยังไม่ถึงขั้นนั้น
แต่ตอนนี้ทุกอย่างขยายตัวอย่างรวดเร็ว เวลาที่จะถูกกล่าวหาเช่นนี้ก็ใกล้เข้ามาแล้ว…
ถูกหยางซือเฉินถลกหนังพูดตรงๆ เช่นนี้ สีหน้าหวังทงก็เริ่มตึงเครียด ตกสู่ภวังค์ คิดไปครู่หนึ่งก็ยิ้มเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“ท่านหยางเตือนได้ถูกต้อง ในเมื่อในเมืองหลวงไม่วางใจ เช่นนี้ข้าก็จะวางมือก็แล้วกัน”
ได้ยินคำตอบเช่นนี้ หยางซือเฉินถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง ตามมาด้วยการคำนับอย่างรู้สึกนับถือเอ่ยว่า
“ใต้เท้าช่างหลักแหลมกว้างไกล ข้าน้อยนับถือยิ่ง”
สามารถเคลื่อนกองกำลังหลายหมื่นแล้วอย่างไร ละแวกนี้มีกองกำลังนับแสนจากเมืองจี้โจว เมืองหลวงอีกนับแสน ยังมีเมืองเซวียนฝู่อีกเกือบแสน เมืองเหลียวโจวอีกนับแสน แม้แต่ซานตง เหอหนานก็ยังมี ถึงตอนนั้นทัพใหญ่มาถึง พวกกระจิบทั้งหลายจะยังมีประโยชน์ใช้สอยอันใดได้อีก
***********
วันที่ 5 เดือนเก้า หวังทงถวายฎีกาต่อฮ่องเต้ว่าตนเองภารกิจมากมายไม่อาจตั้งใจปฏิบัติหน้าทุกอย่างให้ดีได้ เกรงว่าจะเสื่อมเสียต่อความไว้วางพระทัยของฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทส่งขุนนางมารับหน้าที่ต่อ
และยังมีจดหมายลับอีกฉบับ รายงานว่านอกจากงานของนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรที่เทียนจิน ยังมีภารกิจที่รับปากกับฝ่าบาทว่าจะฝึกกองกำลังกองหนึ่ง ตอนนี้มีสามพันคน มีพลม้าอีก ควรจะเป็นไปตามธรรมเนียมราชสำนัก ส่งนายทหารมาควบคุมสักนายหนึ่ง
เงินค่าป้ายสงบสุข ภาษีจากคลองส่งน้ำและแม่น้ำทะเล สามแหล่งนี้ก็เพื่อเตรียมเงินก้อนจินฮวา แม้ว่าจำนวนไม่มาก แต่ก็มีเข้าออกไม่น้อย จำเป็นต้องรอบคอบ ขอให้ในวังส่งคนมาตรวจนับเอง
***********
“หวังทงผู้นี้ รู้จักไตร่ตรองเรื่องราวให้กระจ่าง”
ฎีกาได้ม้าเร็วนำส่งมาเมืองหลวงก็ไปตามขั้นตอนส่งไปยังสำนักส่วนพระองค์ก่อน ฎีกาจากนอกพื้นที่ส่งเข้าเมืองหลวงก็ต้องเรียงลำดับความเร่งด่วน หวังทงได้จัดในอันดับต้นๆ สำนักส่วนพระองค์และบรรดาใต้เท้าผู้ใหญ่ในคณะเสนาบดีใหญ่ต่างมิได้รู้สึกว่าเทียนจินจะมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนอันใด แต่จำเพาะหวังทงเป็นขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้เท่านั้น
ตอนฎีกามาถึง จางเฉิงรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ยังไม่ทันได้อ่าน ก็ต้องส่งไปให้เฝิงเป่าที่เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ได้อ่านก่อน พลิกอ่านไปครู่หนึ่งก็ยิ้มกล่าวคำวิจารณ์เช่นนี้ออกมา
หลังจากยิ้มแล้ว เฝิงเป่าก็อ่านอย่างละเอียดอีกรอบ หยิบปากกากาชาดแดงลงไป คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวเสียงดังกังวานขึ้นว่า
“จางกงกง เชิญทางนี้!”
การประชุมขุนนางจบลงแล้ว ฎีกาเหล่านี้ถูกส่งตรงมาที่นี่ คนนอกราชสำนักย่อมไม่รู้ว่าบรรดาคนในสำนักส่วนพระองค์ต้องทำงานหนักเช่นนี้
ได้ยินเสียงเรียกเฝิงเป่า จางเฉิงก็รีบเดินเข้ามา เฝิงเป่าส่งฎีกาในมือให้ ยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าเด็กน้อยหวังทงนี้คิดการได้เหมาะสมดีมาก ทางนั้นที่เขาต้องดูแลมีมากเกินไป ไม่เหมาะสมนัก จางกงกงก็คัดเลือกคนในวังเราส่งไปที่นั่นสักสองสามคนละกัน!”
เฝิงเป่ากุมอำนาจฝ่ายในไว้เพียงผู้เดียว แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ผู้ใกล้ชิดข้างกายฮ่องเต้ก็คือจางเฉิง ก็ควรให้เกียรติอยู่บ้าง หวังทงยังเป็นคนของฮ่องเต้และจางเฉิง ก็มอบให้จางเฉิงไปจัดการละกัน
อย่างไรเงินก้อนจินฮวาสองล้านสองตำลึง กรมอากรรับผิดชอบจัดหามาแค่หนึ่งล้าน อีกหนึ่งล้านก็ต้องให้หวังทงเป็นผู้รวบรวม นี่เป็นเรื่องที่ทำเพื่อในวัง เฝิงเป่าย่อมรู้สึกดีต่อหวังทงไม่น้อย
ออกมาจากสำนักส่วนพระองค์ จางเฉิงก็รู้สึกโมโหอยู่บ้าง ในใจคิดว่าหวังทงมีสิทธิส่งสารลับรายงาน กลับยังใช้การส่งฎีกาเปิดเผยที่ทุกคนรับรู้ นี่มิใช่เป็นการเอาใจออกห่างหรือ?
แต่คนระดับเขาก็ย่อมคิดกระจ่างถึงกลนัยที่ซ่อนอยู่ในนี้ได้ ผลที่หวังทงต้องการก็คือให้คนรู้ยิ่งมากยิ่งดี ทำให้ทุกคนรู้ถึงสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมด รู้ว่าแม้นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทงได้อำนาจใหญ่ในมือ ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย แต่ก็ยังรู้จักเจียมตน มิมีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูง
*********
“ทหารแค่ไม่กี่พัน เงินก็แค่ไม่กี่แสนเข้าออก หวังทงระวังมากเช่นนี้ทำไมกัน เราให้เขาทำงาน เราก็ย่อมไว้ใจ จางปั้นปั้น เขียนจดหมายถึงหวังทง ให้เขาทำงานไปตามสบายไม่ต้องกังวล ไม่ต้องเรื่องพวกนี้”
เมื่อได้ทอดพระเนตรฎีกาหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รู้สึกไม่พอพระทัย ในความคิดของพระองค์ นี่เป็นเรื่องที่เกินความจำเป็น
อำนาจใหญ่ตอนนี้ในวังอยู่ในมือเฝิงเป่า นอกวังอยู่ในมือจางจวีเจิ้ง วาจาเป็นที่ยอมรับ ตัดสินทุกเรื่องได้ก็อยู่ที่ไทเฮาฉือเซิ่ง ว่านลี่ออกว่าราชการอยู่ทุกวันนี้ กล่าวว่าตัดสินพระทัยราชกิจ ไม่สู้กล่าวว่าเรียนรู้งาน สิ่งเดียวที่อยู่ในพระราชอำนาจ สามารถทรงสั่งการเรียกใช้ได้ก็มีเพียงสำนักรักษาความสงบกับกองพันองครักษ์เสื้อแพรที่เทียนจินเท่านั้น
เห็นสิ่งที่หวังทงต่อสู้จนได้มากซึ่งอำนาจมากมายขนาดนี้แล้ว อยู่ๆ ก็มีฎีการมาขอบอกว่าจะปล่อยหลุดจากมือไป งานมากมายไม่อาจดูแลคนเดียวได้ ฮ่องเต้น้อยก็รู้สึกร้อนพระทัยขื้นมาทันที
ส่งใครไปฮ่องเต้ก็ไม่ต้องการ ในวังนอกวังไม่ใช่คนเฝิงเป่าก็เป็นคนจางจวีเจิ้ง ส่งไปคนหนึ่งก็เท่ากับไปแบ่งอำนาจพระองค์ไป
“ฝ่าบาท หวังทงทำนั้นก็ถูกต้องแล้ว อำนาจมากมายในมือคนเดียว ช้าเร็วย่อมถูกขุนนางในราชสำนักหยิบยกมาพูดถึง ตอนนี้ขอแบ่งสรรอำนาจเอง แต่อย่างไรก็ยังอยู่ในพระราชอำนาจของฝ่าบาท หากรอให้ขุนนางในราชสำนักกล่าวถึงเรื่องนี้ ตอนนั้นเกรงว่าก็ไม่อาจอยู่ในดุลยพินิจของพระองค์แล้ว…”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยืดพระวรกายขึ้นตรง ก่อนจะหงายพิงลงที่ประทับทันที ในใจจางเฉิงคิดว่า “อย่างไรก็เป็นเด็กน้อยที่ไม่อาจเก็บอารมณ์ไว้ได้” จากนั้นก็ก้าวขึ้นมากราบทูลด้วยรอยยิ้มว่า
“ฝ่าบาท ส่งคนไปก็ส่งไปสิพะยะค่ะ อย่างไรตอนนี้ก็มีคนที่ทรงไว้วางใจอยู่ที่เทียนจิน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับพระวรกายตรงขึ้นมาก จางเฉิงทูลเนิบนาบว่า
“สำนักอาวุธปืนไฟก็ให้นายกองเริ่นย่วนจากกรมโยธาผู้นั้นเป็นหัวหน้า หวังทงทำหน้าที่ตรวจสอบ กองกำลังหลายพันนั้นก็ให้ไช่หนานทำหน้าที่ตรวจสอบ ส่วนการเก็บเงินก็ให้หวังทงหาคนมาทำหน้าที่เก็บเงินไป ส่งชื่อมาให้ฝ่าบาททรงอนุมัติเห็นชอบก็พอ”
การจัดการเช่นนี้ก็เท่ากับไม่ได้แตะต้องแกนหลักที่หวังทงมีอยู่ตอนนี้ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อผู้รับผิดชอบเท่านั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ทรงแย้มสรวลกว้าง
*********
ไทเฮาฉือเซิ่งและไทเฮาเหรินเซิ่งทรงรู้ข่าวนี้พอๆ กับที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรู้ มีนางกำลังคนสนิทกระซิบว่า ไทเฮาเหรินเซิ่งทรงอ่านฎีกาแล้วก็ตรัสว่า “ช่างเป็นเด็กรู้ธรรมเนียม รู้ว่าเป็นแผ่นดินนี้เป็นของผู้ใด” ไทเฮาฉือเซิ่งพลอยพยักพระพักตร์ยิ้มเห็นด้วย
*********
พวกสำนักนาวาสุคนธ์ในมือพอมีเงินสะสม ช่วงสำนักรุ่งเรือง พวกเขาคิดว่าวันเวลาดีๆ ของตนจะยืนยาวเช่นนี้ไปอีกร้อยอีกพันปี
ตอนนี้ต้องมาตกต่ำเช่นนี้ ก็ไม่ยอมไปใช้แรงงานแลกเงินถูกๆ พวกนั้นมา พากันแกร่วอยู่บ้านไม่น้อย มีเงินเล็กน้อยจะให้มัวอยู่แต่ในบ้านก็ย่อมทนไม่ไหว ทุกวันได้แต่ร่ำสุราเล่นการพนันกันไป
หม่าต้าฟู่ที่พักอยู่ตลาดเหรินโฮ่วในประตูเมืองด้านตะวันออกของเมืองเทียนจินคืนนี้ไม่สนใจเสียงร้องไห้ด่าทอของภรรยา คว้าเงินสองตำลึงเศษๆ ที่เหลือติดบ้านออกไปบ่อนทอยเต๋าละแวกใกล้บ้าน