ตอนที่ 650 เหมือนกันจริง
ก่อนมาหวังทงเดาเรื่องที่เฝิงเป่าจะพูดไว้มากมาย คิดไม่ถึงว่าเฝิงเป่าจะพูดกับตนถึงเรื่องสมัยฮ่องเต้อู่จง เฝิงเป่าเล่าเหมือนคนเล่านิทานไปเรื่อยๆ หากทำให้ความคิดที่อยู่ในความทรงจำหวังทงเปลี่ยนไปมาก
ทุกคนล้วนมีจุดยืนตนเอง ตัดสินความผิดพลาดของเรื่องที่ผิดพลาด ล้วนเพราะจุดยืนต่างกัน ไม่มีผู้ใดยุติธรรมสมบูรณ์พร้อม
หลายปีมานี้ หวังทงได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มามากมาย เช่นว่าประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าเหยียนซงเป็นขุนนางชั่ว โกงกินมากมาย แต่ส่วนตัวแล้วหวังทงกลับได้ยินคนเหมือนใช้น้ำเสียงถากถาง เหยียนซงกินสินบน เป็นมหาอำมาตย์มา 20 กว่าปี สวีเจี้ยขาวสะอาดในตำแหน่งมหาอำมาตย์มาแค่สิบกว่าปี เหตุใดตระกูลสวีเจี้ยกลับมีสมบัติมากกว่าตระกูลเหยียนซงหลายเท่า ก่อนเข้ารับตำแหน่งทั้งสองเหมือนสถานะไม่ต่างกันนัก
ตอนนี้ในวงการขุนนางล้วนชมเชยแต่สวีเจี้ยมือสะอาด เหยียนซงโกงกิน เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะสวีเจี้ย กาวก่งและ จางจวีเจิ้งล้วนเป็นศัตรูกับเหยียนซง ย่อมปฏิเสธเหยียนซง เพื่อทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายถูกต้อง
จะว่าไป เหยียนซงกุมอำนาจได้ สวีเจี้ยล้มเหยียนซงได้ ผู้ใดทำให้พวกเขาได้นั่งตำแหน่งมหาอำมาตย์ ผู้ใดที่ให้พวกเขาต้องแย่งชิงกัน ประวัติศาสตร์จารึกเช่นไรนั้นไม่ปรากฏ
เฝิงเป่าปีนี้อายุ 50 กว่า เขาอยู่ในวังร่ำเรียนมาจนได้เป็นขันทีอาลักษณ์ จากนั้นได้ปฏิบัติงานสำคัญ ค่อยๆ ก้าวสู่ตำแหน่งในสำนักส่วนพระองค์จนมาเป็นเบอร์หนึ่ง
จากประวัตินี้เห็นได้ว่าเฝิงเป่าเข้าวังแต่เด็ก เกือบทั้งชีวิตที่อยู่ในวังและจวนอ๋องอวี้ เขาผ่านสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง ฮ่องเต้หลงชิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่มาสามสมัย ในสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง ห่างจากเวลาสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้อู่จงไม่นาน ในวังบางทีอาจได้สัมพันธ์กับขันทีในสมัยนั้นมากมาย เขาผ่านมาเอง เห็นมาเอง ความน่าเชื่อถือย่อมมีหลายส่วน
เหตุใดจึงกล่าวกับตนเองเช่นนี้ หวังทงก็พอจะเดาเจตนาของอีกฝ่ายได้แล้ว แต่ว่าเฝิงเป่าที่นั่งอยู่กลับยังพูดไม่จบ
“อ๋องหนิงหวังก่อกบฏ ไม่ถึงเดือนก็ถูกปราบ ฮ่องเต้อู่จงยกทัพไปปราบ ให้ปล่อยออกมาสู้ใหม่ จากนั้นก็แสดงละครจับอีกรอบ โอรสสวรรค์องค์นี้มีความสามารถเหนือสามัญ แต่เรื่องเหลวไหลก็เหนือคาดหมายเช่นกัน”
เรื่องพวกนี้หวังทงได้ยินมาหลายรอบ ในใจก็คิดว่าหรือว่ามีความนัยแฝงอยู่ เฝิงเป่ากล่าวต่อว่า
“จากนั้นก็ไปล่องใต้เพลิดเพลิน กลับเกิดเหตุตอนล่องแม่น้ำตกลงไปเป็นหวัด จากนั้นก็ไม่อาจทรงลุกจากเตียงได้อีก พอกลับมายังเมืองหลวงสองสามเดือนก็สิ้นพระชนม์”
นี่เป็นเรื่องประวัติศาสตร์จริง สีหน้าหวังทงราบเรียบ เฝิงเป่ากล่าวถึงตรงนี้ก็ยิ้มถามว่า
“หวังทง เจ้ามาจากองครักษ์เสื้อแพร เคยใกล้ชิดฝ่าบาท ข้าถามเจ้า ฝ่าบาทอยู่บนเรือ จะลื่นตกเรือได้อย่างไร?”
หวังทงได้สติพยักหน้า ตามมาด้วยอาการสะดุ้งวาบ จ้องมองเฝิงเป่า ถามอย่างสงสัยว่า
“เฝิงกงกง ความหมายท่านคือ?”
“เรื่องราวในบันทึกแม้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่ข้าก็รู้สึกสงสัยอยู่ดี ฮ่องเต้อู่จงแม้ลุ่มหลงสุรานารี แต่ชอบในการยุทธ์ พระพลานามัยไม่เลว ตกน้ำประชวรโรคหวัด เหตุใดพอประชวรมาถึงเมืองหลวงก็ไม่อาจฟื้นพระวรกายได้?”
หวังทงค่อยๆ ส่ายหน้า ยิ้มเฝื่อนๆ กล่าวว่า
“เฝิงกงกงอยู่วังมานานหลายปี ย่อมรู้เรื่องความนัยลับต่างๆ ไม่น้อย แต่มาเล่าให้ข้าน้อยฟังด้วยเหตุใดกัน?”
“ใจเย็นก่อนๆ ข้ายังพูดไม่จบ!”
เฝิงเป่ายิ้มขัดขึ้น หวังทงรู้สึกอึดอัด สิ่งที่เฝิงเป่าจะพูดนั้นเขาเริ่มคิดได้ภาพรางแล้ว ภาพนี้เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าจะไม่ฟังแต่ก็หาเหตุขัดไม่ได้
“ฮ่องเต้ไม่มีทายาท แม้ว่าน้อยมาก แต่ใช่ว่าไม่มี หาสายพระญาติใกล้มาครองราชย์ต่อก็ได้ แต่หลังจากฮ่องเต้อู่จงกลับเมืองหลวง พระวรกายก็ไม่ดีขึ้น คิดจะหารัชยาทมาสืบทอดราชบังลังก์จากบรรดาอ๋อง แต่ข่าวนี้ก็ไม่อาจออกจากวังไปได้ ในวังนอกวังล้วนเงียบกริบ ได้แต่มองดูฮ่องเต้อู่จงหาผู้สืบทอดราชบังลังก์ สุดท้ายให้ฮ่องเต้ซื่อจงขึ้นครองราชย์ต่อ”
พูดถึงสุดท้าย เฝิงเป่าก็จุดประเด็นสำคัญ หวังทงสะดุ้งอีกครา แต่เฝิงเป่าก็พูดต่อ ทว่าพูดเพียงคร่าวๆ ไม่ได้ชัดเจนนัก แต่ในใจหวังทงนั้นตกใจอย่างมากแล้ว
ในยุคสมัยนี้ขาดยารักษาโรค บางครั้งเป็นหวัดก็อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่โอรสสวรรค์แผ่นดินหมิงเป็นหวัดทำให้ล้มป่วย เหตุใดกลับเมืองหลวงมารักษา ยังคงทรุดลงทุกวัน จนถึงสิ้นพระชนม์ และการที่พระองค์ต้องการรัชทายาทมาสืบต่อราชบังลังก์ ข่าวยังออกไปจากในวังไม่ได้ คนพวกนี้รอให้พระองค์สิ้นพระชนม์อย่างไม่ทำอันใด มองดูพระองค์จากไป ในการนี้ย่อมมีความนัยแอบแฝง มีกลิ่นอายลอบสังหารอย่างแน่นอน ช่างไม่กล้าคิดต่อเลยจริงๆ
ที่ทำให้หวังทงตกใจมากก็คือ พวกเขาถึงกับกล้ากระทำการเช่นนี้ต่อโอรสสวรรค์ ในการนี้ย่อมเกี่ยวพันกับหลายฝ่าย ไม่น้อย เกี่ยวพันกับคนมากมายเท่าไร ตอนนี้ไม่อาจรู้ได้ แต่คิดแล้วก็ทำให้ต้องสะดุ้งวาบไปทั้งตัวเช่นกัน
“ต่อมาเมื่อฮ่องเต้ซื่อจงเสด็จมาเมืองหลวง ก็ทรงหยุดอยู่นอกเมืองหลวงไม่เข้ามา ตรัสว่ามาครั้งนี้เพื่อสืบทอดราชบังลังก์หมิง ไม่ใช่สืบทอดราชบังลังก์ฮ่องเต้อู่จง วันนั้นผู้ทำหน้าที่ดูแลเรื่องนี้อย่างไทเฮาจางและหยางถิงเหอก็ทำอันไม่ได้ ได้แต่รับปากฮ่องเต้ซื่อจง เรื่องราวนี้มีหลายคนรู้ ……”
ได้ยินเฝิงเป่าค่อยๆ สาธยายเรื่องราวแต่ละเรื่องมา หวังทงก็ลุกขึ้นยืน เดินไปมาในห้อง เรื่องพวกนี้เขาเพียงแค่เคยได้ยินมา กับที่เฝิงเป่าเล่านั้นต่างกัน แต่ที่เฝิงเป่าเล่าเหมือนว่าใกล้เคียงความจริงมากกว่า ผ่านเหตุการณ์ลัทธิไตรสุริยันก่อการในเมืองหลวงมา ทำให้หวังทงรู้ดีกับการต่อสู้ดุเดือดเสียเลือดเสียเนื้อมาด้วยตนเอง มาถึงตอนนี้ อะไรที่เรียกว่าคุณธรรมฮ่องเต้ขุนนาง หรือพี่น้องนั้น หรือแม้กระทั่งแม่ลูก ล้วนไม่อาจนำพา
“น่าขันเจ้าหยางถิงเหอ ในสมัยฮ่องเต้อู่จง เกลียดขันทีในวังและองครักษ์เสื้อแพรมาก พอฮ่องเต้อู่จงสิ้นพระชนม์ เขาลงโทษและขับไล่ออกไปหลายคน เดิมยังมีคนพวกนี้ไม่น้อยที่คอยช่วยเขา แต่พอผ่านพิธีครองราชย์ไป คนสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็มาอยู่ข้างฮ่องเต้ซื่อจง ร่วมหัวกันล้างแค้น พริบตาเดียวก็ไล่พวกหยางถิงเหอออกจากวังหลวงไปได้หมด”
“เฝิงกงกง ท่านเล่ามาทั้งหมดนี้ต้องการอันใด!!? หรือว่าจะเปรียบฮ่องเต้อู่จงกับฝ่าบาทว่าทรงพระปรีชางั้นหรือ?”
หวังทงหยุดเดิน สองตาจ้องมองเฝิงเป่า ถามน้ำเสียงนิ่ง เฝิงเป่าเป็นหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์มาสิบปี มีบารมีทั่วหล้า ย่อมไม่ถูกรัศมีหวังทงกดดัน ได้แต่ยิ้มกล่าวว่า
“ข้ามาเล่าเรื่องพวกนี้ที่นี่ เจ้าอย่าได้คิดถึงฝ่าบาททางนั้น หวังทง นี่เป็นเรื่องล่วงเกินยิ่ง!”
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเฝิงเป่าผู้เรืองอำนาจก็มีเวลาที่ผ่อนคลายไม่ยี่หระเช่นนี้ได้ หวังทงไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี ได้แต่ยิ้มไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก
เฝิงเป่ายิ้มโบกมือ ยกนิ้วขึ้นกล่าวว่า
“ฝ่าบาทขึ้นครองราชยมา มีหลายเรื่องที่ไม่ต่างจากรัชสมัยก่อน เรื่องแรก นอกวังสร้างลานฝึกหู่เวย เลือกบรรดาลูกหลานขุนนางบู๊มาเรียน ร่วมฝึกยุทธ์ เรื่องสอง ตั้งสำนักรักษาความสงบคอยสืบความลับแต่ละแห่ง ยังเก็บภาษีอีก เรื่องที่สาม เปิดทะเลที่เทียนจิน ยังตั้งด่านภาษีที่คลองส่งน้ำ เรื่องที่สี่ ใกล้ชิดขุนนางบู๊ รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทงเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท ทรงพระเมตตามาก เรื่องที่ห้า ฝึกกองกำลังใหม่ ตั้งกองกำลังหู่เวยที่เทียนจินให้หวังทงบัญชาการ ทหารเก่งกล้า สร้างชื่อสิบทิศ”
หวังทงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เฝิงเป่ากางนิ้วทั้งห้าออก กล่าวว่า
“ห้องเสือดาวสร้างนอกวัง ฮ่องเต้อู่จงไปสำราญที่นั่น แต่มีคนบอกว่าทรงฝึกทหาร นี่มันต่างอันใดกับลานฝึกหู่เวย เรื่องสอง สำนักรักษาความสงบเป็นหน่วยสืบความลับ ในวังมีสำนักบูรพาขององครักษ์เสื้อแพรสืบข่าว สมัยฮ่องเต้อู่จง หลิวจิ่นสร้างสำนักคอยจับตาดูสำนักบูรพาและสำนักปัจจิมของพวกองครักษ์เสื้อแพร สำนักรักษาความสงบยังทำมากกวาที่เก็บภาษีด้วย เรื่องที่สาม เทียนจินการค้าทะเลรุ่งเรือง คลองส่งน้ำตั้งด่านภาษี เรื่องนี้ไม่รู้ว่าทำลายเงินทองของพวกตระกูลทางใต้ไปมากมายเท่าไร เทียบกับการค้าทางทะเลของฮ่องเต้อู่จงแล้วต่างกันตรงไหน เรื่องที่สี่ ฮ่องเต้อู่จงทรงไว้พระทัยเฉียนหนิงและเจียงปิน ฝ่าบาททรงไว้พระทัยเจ้ามากกว่าอ๋องลู่อีก เรื่องที่ห้า ตั้งกองกำลังหู่เวยฝึกทหารกล้า เทียบกับสมัยฮ่องเต้อู่จง เจียงปินรวบรวมกำลังทหารชายแดนมาที่เมืองหลวงฝึกร่วมกัน แตกต่างกันตรงไหน เจ้าดูสิ ที่ข้ากล่าวมาทั้งหมด เอามาโยงกันได้หมด”
หวังทงจ้องมองเฝิงเป่า เฝิงเป่ายิ้มเย็นเยียบพลางยกชาขึ้นจิบ หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“แต่ที่ข้าและฝ่าบาททำนั้นก็ล้วนเพื่อแผ่นดินหมิงเรา เรื่องพวกนี้ อันใดไม่ใช่เพื่อแผ่นดิน การค้ารุ่งเรือง ก็ทำให้เงินในท้องพระคลังเต็ม หากไม่มีสำนักรักษาความสงบ ลัทธิไตรสุริยันในวังก่อการใหญ่ครั้งนั้นเกรงว่าคงพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินไปแล้ว หากไม่มีกองกำลังหู่เวย จะได้รับชัยชนะใหญ่ที่ประจักษ์ทั่วหล้าเช่นนั้นถึงสองครั้งได้อย่างไร หากไม่มีการค้าทะเลเทียนจินตั้งด่านภาษี ทุกปีในวังจะมีเงินนับล้านตำลึงเข้าท้องพระคลังได้อย่างไร หากว่าหวังทงเป็นขุนนางชั่ว หลายปีลำบากมาทุกวัน ทำงานหนักมาตลอด ราชสำนักโจมตีข้าไม่น้อย แต่เคยกล่าวหาว่าข้ารับสินบนยักยอกเงินหลวงหรือไม่ มีกล่าวหาว่าข้าเหลวไหลหรือไม่!? เทียบเช่นนี้ ช่างเหลวไหลสิ้นดี!!!”
กล่าวถึงสุดท้าย หวังทงก็ขึ้นเสียงดัง ที่ก่อร่างสร้างตัวมาทั้งหมด หรือว่าไม่ใช่เพื่อแผ่นดินหมิง ไม่ใช่เพื่อฮ่องเต้ว่านลี่ เฝิงเป่ากลับเอาไปเปรียบกับพวกคนในสมัยฮ่องเต้อู่จงได้ หวังทงอดโมโหไม่ได้ ความโมโหเกิดจาก หนึ่ง ถูกนำไปเปรียบ สอง เพราะรู้สึกหวั่นเกรง หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัว หรือว่าที่ตนทำมาทั้งหมด ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่กับตนกำลังเดินไปบนชะตาเดียวกับฮ่องเต้อู่จง
“ฝ่าบาทอยู่ในวังก็ทรงเบื่อหน่าย ทรงระวังพระองค์มาห้าปี ตอนนี้นับว่าหายใจดังไม่ต้องหวั่นเกรงได้แล้ว สนมที่ทรงพอพระทัยมีแค่สี่ห้าคน ทรงใช้ชีวิตอย่างปกติสามัญ จากนี้จะทรงใช้เงินอย่างไรกัน……”
เฝิงเป่ากล่าวพึมพำกับตนเอง ก่อนจะส่ายหน้ากล่าวว่า
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าพูดกับเจ้าเรื่องพวกนี้ทำไมกัน?”