ตอนที่ 649 ฮ่องเต้อู่จง
“การกระทำของฝ่าบาทเหมือนผู้ใด?”
เฝิงเป่าถามคำถามนี้ออกมา หวังทงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะกวาดตามองในห้องรอบหนึ่ง ราวกับดูว่ามีผู้ใดแอบฟังอยู่หรือไม่
แต่คำถามนี้ก็ยากตอบ การไม่พูดไม่ใช่เพราะเกรงว่าเป็นเรื่องที่ล่วงเกิน หากหวังทงเองก็ไม่รู้ว่าเหมือนผู้ใด
“เจ้าเด็กนี่ก็ระวังตัวเสียจริง”
เฝิงเป่าหรี่ตามองหวังทง สัพยอกหัวเราะขึ้น จากนั้นก็โบกมือกล่าวว่า
“ข้าก็แค่เปิดบทสนทนา ให้ข้าพูดละกัน เหมือนฮ่องเต้อู่จง การกระทำทุกอย่างที่ทรงทำนั้นเหมือนมาก!”
ฮ่องเต้อู่จง ชื่อนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง พอหวังทงได้ยิน ก็อึ้งไปก่อนจะผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง กล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า
“เฝิงกงกง ฝ่าบาททรงพระปรีชาระดับใด จะไปเหมือนฮ่องเต้อู่จงได้อย่างไร หากวันนี้มานี่ แล้วเฝิงกงกงต้องการพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคุยกันแล้ว”
โอรสสวรรค์แห่งแผ่นดินหมิง ฮ่องเต้อู่จงได้รับการวิจารณ์ว่าเลวร้ายที่สุดผู้หนึ่ง ลุ่มหลงนารี และยังหลงเชื่อขันทีและขุนพลคนสนิท ทำร้ายขุนนางบุ๋นผู้ภักดี เหลวไหลอย่างที่สุด
ขันทีหลิวจิ่นเรืองอำนาจอย่างมาก ผู้นี้นับได้ว่าเป็นขุนนางชั่วอันดับหนึ่งในแผ่นดินหมิง หลิวจิ่นร่วมมือกับเสนาบดีกรมปกครองเจียวฟางทำเอาราชสำนักปั่นป่วน ยังทรงหลงเชื่อขุนนางบู๊อย่างเฉียนหนิงและเจียงปิน ปรากฏว่าพอฮ่องเต้อู่จงสิ้นพระชนม์ เจียงปินเกือบกบฏ
มีชีวิตเหนือผู้คนไม่ว่า ในวังยังสร้างร้านค้ามากมายเลียนแบบด้านนอกวัง ขันทีและนางกำนัลร่วมด้วย ตนเองมีชีวิตที่เสเพลอย่างมาก ในวังยังมีหอนางโลม ให้นางกำนัลแสดงเป็นนางโลมด้วย ทำลายธรรมเนียมที่มีมา เลวร้ายอย่างที่สุด
ยังไปสร้างหอเสือดาวนอกวัง เลี้ยงดูเสือดาวและบรรดาสัตว์ป่าดุร้าย เป็นที่รวมของพวกต่างชาติจากแดนตะวันตกและพวกมองโกลต่างๆ ยังใกล้ชิดกับพระนักบวชต่างชาติ ถึงขั้นชอบออกสำราญกับพวกฟะรังคี ไม่มีความเป็นโอรสสวรรค์แม้แต่น้อย
ทรงชอบฝึกยุทธ์ ยังเคยตั้งให้ตนเองเป็นแม่ทัพเวยอู่ นำทัพลงไปรบกับพวกเผ่ามองโกลที่เมืองเซวียนฝู่ พออ๋องหนิงหวังก่อกบฏ ยังทรงกรีฑาทัพลงใต้ไปปราบ ระหว่างทางอ๋องหนิงหวังกลับถูกหวังโส่วเหรินนำทัพมาปราบก่อน กลับทรงรับสั่งให้ปล่อยตัวอ๋องหนิงหวังไป จากนั้นก็จับใหม่ เพื่อแสดงถึงชัยชนะของพระองค์ เรื่องเหลวไหลมากมายนับไม่ถ้วน
พอกรีฑาทัพลงใต้ ก็ไปท่องเที่ยวเจียงหนานแดนใต้ของจีน ไม่ระวังพลัดตกแม่น้ำ พอเป็นไข้ก็ป่วยไม่อาจฟื้นคืน ตลอดชีวิตแม้ว่าจะเหลวไหล หากไม่มีรัชทายาท สุดท้ายต้องมอบตำแหน่งให้อ๋องที่สายเลือดตรงขึ้นมาเป็นฮ่องเต้แทน ก็คือ ฮ่องเต้เจียจิ้งนั่นเอง
สายตระกูลพระองค์ไร้ทายาท ก่อเรื่องเหลวไหลมามากมาย ขุนนางและประชาย่อมไม่วิจารณ์ในด้านดี เพราะทรงหลงเชื่อแต่ขุนนางบู๊และขันทีในวัง บรรดาบัณฑิตขุนนางทั้งหลายไม่ทรงรับฟัง ดังนั้นพอกล่าวถึงฮ่องเต้อู่จง คนสมัยนั้นจึงคิดโยงไปกับคำว่า ‘ฮ่องเต้ชั่ว’ ทันที
ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่เป็นฮ่องเต้ แม้ว่าไม่ทรงทำอันใดมาก เพราะจางจวีเจิ้งมากสามารถ แผ่นดินจึงสงบสุขมา ขุนนางบริหารแผ่นดิน หากความดีย่อมเป็นของฮ่องเต้ ตอนนี้หากราษฎรกล่าวถึงฮ่องเต้ว่านลี่ ก็ล้วนว่า ‘ฮ่องเต้ปรีชา’ แต่เฝิงเป่ากลับนำฮ่องเต้อู่จงมาเปรียบกับว่านลี่
พอหวังทงได้ยินก็อึ้งไป พอตั้งสติได้ก็โมโหในใจอย่างมาก คิดในใจ หรือว่าเฝิงเป่าถูกขับออกจากวัง จึงได้คิดแค้นใจ กล่าวว่าจากคลั่งแค้นเช่นนี้ออกมา จึงรีบลุกขึ้นตวาดดัง
“นั่งลง ๆ ฮ่องเต้อู่จงแล้วอย่างไร หรือว่าไม่ดี?”
เฝิงเป่านั่งอยู่กับที่ยิ้มถามกลับ หวังทงอึ้งไป จากวาจานี้ฟังออกว่า เฝิงเป่าเหมือนไม่ใช่เสียดสีเยาะเย้ย หวังทงเงียบลงก่อนจะนั่งลง กล่าวว่า
“ฮ่องเต้อู่จงปฏิบัติพระองค์เช่นไร บันทึกมีมากมาย ไม่ต้องพูดถึงที่แพร่ในหมู่ประชา เฝิงกงกงกล่าวเช่นนี้ เกรงว่าเป็นการล่วงเกิน ฝ่าบาทเป็นอย่างไร คนอื่นไม่รู้ หรือว่าเฝิงกงกงเองก็ไม่รู้?”
เฝิงเป่ายิ้มพยักหน้า ชี้หวังทงกล่าวว่า
“มีแต่เจ้าที่จงรักภักดี คิดแต่เพื่อแผ่นดินหมิง ดังนั้นข้าจึงลังเล ยังขอถามอีกหน่อย ข้าขอถามเจ้าว่า บันทึกนั้นผู้ใดเขียน?”
“ย่อมเป็นขุนนางบัณฑิตแห่งหอฮั่นหลินหย่วน”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่เขาเขียน ที่เขาไม่ชอบ ย่อมไม่กล่าววาจาดี เจ้าทำเทียนจินรุ่งเรืองเพียงนี้ ทุกปีส่งเงินเข้าวันล้านกว่าตำลึง มีผู้ใดบอกว่าเจ้าดีหรือไม่ เมืองหลวงมีขุนนางดีเขียนสรรเสริญเจ้าหรือไม่?”
หวังทงส่ายหน้า ไม่อ้าปากด่าก็ไม่เลวแล้ว ไม่เช่นนั้นสวีกว่างกั๋วเอาเงินมากมายไปเมืองหลวงเพื่อการใดกัน เฝิงเป่าพยักหน้า กล่าวต่อว่า
“ดังนั้น ที่ฮ่องเต้อู่จงทำไปไม่ได้เป็นดังที่เจ้าคิด ข้ายังจำบันทึกได้ว่าฮ่องเต้อู่จงไปเมืองอิงโจวสู้กับมองโกล เจ้าเคยได้ยินไหม?”
เป็นศึกใหญ่ที่เรียกว่า ศึกชัยชนะใหญ่อิงโจว ที่เป็นเรื่องเล่าในหมู่ประชากับที่บันทึกโดยขุนนางนั้นมีไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่เห็นเป็นเรื่องตลกน่าขัน เพราะองค์ชายมองโกลนำทัพลงใต้ ฮ่องเต้อู่จงนำทัพห้าหมื่นไปรบ สองฝ่ายปะทะกันที่เมืองอิงโจว (เหอหนานในปัจจุบัน) กันหลายวัน สุดท้ายทัพหมิงสังหารศัตรูได้ 16 คน ทัพใหญ่สูญเสียไป 50-60 คน การศึกครั้งนี้เป็นศึกใหญ่อวดบารมี แต่สังหารได้แค่ 16 ฮ่องเต้อู่จงกลับเรียกว่าศึกชัยชนะใหญ่ เข้าใจว่าเป็นเรื่องน่าขัน
หวังทงพยักหน้า เฝิงเป่ากล่าวว่า
“ข้าจำได้ประโยคหนึ่งเขียนว่า ‘ตกในวงล้อม โชคดีทหารร่วมแรงต่อสู้ช่วยไว้ ฮ่องเต้ปลอดภัย’ ที่อิงโจวตอนนั้น ฮ่องเต้อู่จงยังลงมือสังหารด้วยพระองค์เองไปหนึ่ง”
เรื่องนี้หวังทงพอจำได้อยู่ เฝิงเป่าเอ่ยถามอีกว่า
“เจ้าก็เคยออกนอกด่านไปรบ โอรสสวรรค์นำทัพห้าหมื่นออกรบด้วยพระองค์เอง หากทัพมองโกลสังหารมาถึงตรงหน้า บรรดาทหารอารักขาต้องเข้าช่วยกันสู้ตายถวายชีวิต การรบดุเดือดเช่นนี้เจ้าเองคงคิดออก แม้ฮ่องเต้อู่จงต้องเข้าต่อสู้ด้วยพระองค์เอง คนอารักขาไปไหน? ทหารอื่นๆ เล่า? สุดท้ายหรือว่าสังหารได้เพียงแค่ 16 จริง?”
ได้ยินเฝิงเป่าเล่ามาเช่นนี้ หวังทงก็จมอยู่ในภวังค์ความคิด คิดดูให้ดี เรื่องการบนี้ล้วนเป็นคนนอกเขียน กองกำลังหู่เวยใช้อาวุธปืนไฟรบระยะประชิด การรบตายและบาดเจ็บไปหลายสิบ แต่ฮ่องเต้อู่จงนำทัพใหญ่ออกรบดุเดือดกับมองโกลด้วยดาบ การบาดเจ็บล้มตายรวมกันไม่ถึงร้อย ฮ่องเต้อู่สังหารไปหนึ่งคนคิดว่าไม่ใช่ความเท็จ ถึงขั้นนี้ ทหารอารักชาจะสังหารไปเท่าไรกัน
“ข้าตอนนั้นได้อ่านบันทึกนี้ก็งงอยู่ เป็นคนสำนักอาชาหลวงอธิบายให้ข้ารู้ ข้าจึงได้เข้าใจ ไม่เช่นนั้นด้วยศักยภาพขององค์ชายมองโกลเช่นนั้น ตลอดสมัยฮ่องเต้อู่จง เหตุใดจึงไม่กล้าลงใต้มาอีก หากไม่ใช่เพราะศึกอิงโจวครั้งนั้นทำให้เขาบาดเจ็บหนัก”
ได้ยินเฝิงเป่ากล่าวเช่นนี้ หวังทงก็ส่ายหน้า ในใจสับสน การอธิบายใหม่นี้แม้ว่ามีเหตุผล แต่เกี่ยวอันใดกับฮ่องเต้ว่านลี่ ยิ่งไม่น่าเกี่ยวโยงกันได้แม้แต่น้อย
“เจ้าน่าจะรู้ว่า ท้องพระคลังหมิงเราว่างเปล่ามาตั้งแต่เมื่อใด?”
“……น่าจะตั้งแต่ฮ่องเต้ซื่อจง……”
หวังทงจำได้ว่ากลางสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง ทางเหนือมีเผ่าอันต๋า ทางตะวันออกเฉียงใต้มีโจรสลัดรุกราน เงินทองส่วนใหญ่ก็ถูกใช้ไปในการรบ ห ตั้งแต่นั้นมาท้องพระคลังก็เริ่มร่อยหรอว่างเปล่า เฝิงเป่าส่ายหน้ากล่าวว่า
“ตั้งแต่ฮ่องเต้เสี้ยวจงแล้ว ท้องพระคลังไม่มีเงินแล้ว……”
ฮ่องเต้เสี้ยวจงก็คือฮ่องเต้หงจื้อ เป็นบิดาของฮ่องเต้อู่จง เป็นยุคที่รุ่งเรือง คิดไม่ถึงว่าเฝิงเป่ากลับเล่าอีกแบบว่า
“บารมีองค์ชายมองโกลเริ่มขยายตัว เงินทองใช้จ่ายเพื่อชายแดนไม่ได้น้อยไปกว่ายามนี้ ฮ่องเต้เสี้ยวจงทรงใจกว้างกับบรรดาขุนนางบุ๋น ปากของคนพวกนี้ก็ว่าทรงพระปรีชา เข้าครอบครองที่ดินมากมาย และตอนนั้นการค้าทะเลยังรุ่งเรือง พวกเขาทำการค้าไม่จ่ายเงินสักแดง ด้านหนึ่งรายจ่ายมาก ด้านหนึ่งภาษียิ่งเก็บยิ่งน้อย ท้องพระคลังก็ย่อมไม่มีเงินเหลือ”
หากเป็นดังที่กล่าวมา ก็เหมือนกับตอนที่ฮ่องเต้ว่านลี่ขึ้นครองราชย์ หากยามนั้นไม่มีนโยบายจัดเก็บภาษีและเรียกแรงงาน ไม่รู้คลังหลวงผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไร เฝิงเป่าเปิดประเด็นแล้ว ก็ค่อยๆ เล่าต่อเนื่องว่า
“ฮ่องเต้อู่จงขึ้นครองราชย์ คิดจะทำให้คลังมีเงินเต็ม วิธีการไม่มาก ว่ากันว่าเขาคิดได้สองทาง หนึ่งก็คือการค้าทางทะเล สองก็คือเก็บภาษีจากบรรดาขุนนาง”
“……เรื่องนี้ก็ช่าง……ไหนเลยจะง่ายเพียงนั้น……”
ได้ยินเช่นนี้ หวังทงอดไม่ได้ส่ายหน้าพูดอะไรไม่ออก เก็บภาษีจากขุนนาง ล้วนแตะต้องเอาผลประโยชน์ของบรรดาขุนนางทั่วหล้า เปิดการค้าทะเล ก็เท่ากับแย่งประโยชน์กับตระกูลใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ราชสำนักมีขุนนางจากใต้เยอะ คนเหล่านี้มาจากที่ใด ย่อมมาจากตระกูลใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ คิดถึงปีนั้นที่ฮ่องเต้เจียจิ้งปราบโจรสลัด สุดท้ายยังถูกบีบให้ดื่มยาพิษตาย ก็รู้แล้วว่าคนพวกนี้อิทธิพลใหญ่เพียงใด
“ใช่ ไม่ง่ายเลย ด่าเจียงปิน เฉียนหนิง ยังมักบอกว่าเจียงปิน เฉียนหนิงนอกจากนำทัพจากเหลียวโจวมาเมืองหลวงแล้ว ยังรวบรวบกำลังทหารจากหลายตระกูลชายแดนมาฝึกที่เมืองหลวง ทำเอาเอิกเกริก ผู้คนจิตใจหวั่นไหว คิดไปถึงการก่อการร้าย ข้าถามเจ้า ตอนนี้ใต้หล้า ขุนพลทหารแต่ละแห่งฟังราชสำนักหรือว่าฟังแม่ทัพตน?”
บทสนทนาเฝิงเป่าข้ามไปมาเร็ว อันนี้หวังทงเองก็คุ้นเคยอยู่ เงียบไปก่อนจะกล่าวว่า
“ย่อมฟังแม่ทัพตน”
“ราชสำนักแจกเบี้ยหวัด กลับฟังแต่แม่ทัพตน เอาไปเลี้ยงทัพตนเอง เจียงปินและเฉียนหนิงทำ ก็คือเปลี่ยนรูปแบบกองกำลังแบบเดิมที่ใช้การไม่ได้ ให้ทหารทั้งหลายแต่ละแห่งมาเป็นทหารของราชสำนัก……”
หวังทงได้แต่ส่ายหน้าไม่หยุด กองกำลังเป็นฐานอำนาจและเงินตราของพวกเขา เจียงปินและเฉียนหนิงแย่งชิงไปเช่นนี้ จะไม่ทำให้พวกเขาเสียอำนาจใหญ่ได้อย่างไร กล่าวต่อว่า
“การค้าทางทะเลและภาษีล้วนล่วงเกินบรรดาขุนนางและพ่อค้าทางตะวันออกเฉียงใต้ วิธีการกวาดทหารส่วนตัวมาก็ล่วงเกินบรรดาแม่ทัพต่างๆ ทำเช่นนี้ ใช่ว่าเป็นการล่วงเกินใต้หล้าทั้งปวงหมดสิ้นหรอกหรือ”
“ย่อมล่วงเกินหมดสิ้น ดังนั้นคนที่ฮ่องเต้อู่จงใช้งาน หลิวจิ่นเหตุใดจึงเรืองอำนาจ เฉียนหนิงกับเจียงปินเหตุใดจึงเรืองอำนาจ ก็เพราะไม่มีใครใช้งานได้ ท้องพระคลังร่อยหรอว่างเปล่า ได้แต่ส่งคนออกเก็บภาษีแต่ละแห่ง ขุนนางบุ๋นค้าน ได้แต่อาศัยขันทีส่วนในบริหารงาน ทหารชายแดนต่อต้าน ก็ได้แต่ต้องนำทัพออกศึกเอง หึๆ ที่ข้าได้ยินมากับที่พวกเจ้าได้ยินมาจากนอกวังนั้นต่างกันอยู่ เชื่อได้หรือเชื่อไม่ได้ก็ไม่รู้ แต่ทว่า มีคนว่า อย่างไรก็น่าจะมีเหตุผลตามนี้อยู่หลายส่วน”
เฝิงเป่าเล่าไปเรื่อยๆ